การแต่งงานแบบคาทอลิก (ตามหลักกฎหมายพระศาสนจักรคาทอลิก)
การแต่งงานคาทอลิก, บทความ, กฎหมายพระศาสนจักร
บทความนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ของผู้เขียน ในฐานะผู้ให้การอบรมและเตรียมตัวผู้สมรสกว่า 6 ปีที่วัดพระมหาไถ่ กรุงเทพฯไม่ว่าเป็นกรณีการแต่งงานระหว่างคาทอลิกด้วยกัน หรือในกรณีต่างฝ่ายต่างถือศาสนา อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่จะแต่งงานแบบคาทอลิก ต้องผ่าน 5 ขั้นตอน (5 Steps) ตามลำดับดังนี้...
Step 1: อบรมคู่สมรส (เพื่อจะได้รับใบประกาศ)
โดยทั่วไป คู่บ่าว-สาวไปจะต้องเข้าร่วมอบรมด้านคำสอนในเรื่อง "ความหมายการแต่งงานตามกฎหมายพระศาสนจักรคาทอลิก" ซึ่งเป็นขั้นแรกสุดเพื่อการเตรียมตัวสู่พิธีจารีตแต่งงานแบบคาทอลิก
และโดยทั่วไป เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสของวัดนั่นๆ ที่คู่บ่าว-สาวมีความประสงค์จะใช้เพื่อประกอบพิธี จะเป็นผู้ให้การอบรมตามหัวข้อดังนี้
(1) คำสอนเรื่องการแต่งงานตามความหมายของคาทอลิก
(2) คุณธรรมในชีวิตคู่ ชีวิตครอบครัวและความรักคำสอนของคริสตชน
ฯลฯ
อย่างไรก็ตามบางสังฆมณฑล อาทิเช่นอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ จะมีการเปิดอบรมรวมกันที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก เพื่ออำนวยความสะดวกแก่คู่บ่าว-สาวในเขตกรุงเทพฯ
สำหรับความหมายการแต่งงานแบบคาทอลิกตามกฏหมายของพระศาสนจักรมีดังนี้...
กฎหมายพระศาสนจักรคาทอลิก มาตรา 1055
วรรค 1
พันธสัญญาการแต่งงาน คือ พันธสัญญา ที่ชายและหญิง นำชีวิตทั้งครบของตน มาหลอมเข้าเป็นชีวิตหนึ่งเดียว ธรรมชาติของพันธสัญญานี้มุ่งสู่ ความดีของคู่ชีวิต และการให้กำเนิดบุตรหลาน รวมทั้งให้การศึกษาอบรม การแต่งงานระหว่างผู้ได้รับศีลล้างบาป ได้รับการยกขึ้นจากพระคริสตเจ้า ให้มีศักดิ์ศรีเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์.
วรรค 2
เพราะเหตุนี้ สัญญาการแต่งงานระหว่างผู้ได้รับศีลล้างบาป ไม่สามารถมีผลทางกฎหมาย โดยไม่เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ ในเวลาเดียวกัน
กฏหมายมาตรา 1055 มีคีย์เวิร์ดอยู่ที่
(1) การแต่งงานเป็น "พันธสัญญา" ที่ชายและหญิงพึ่งกระทำต่อกัน พันธสัญญา ต่างกับ สัญญา ตรงที่ สัญญาสามารถยกเลิกได้ ตามกฎของสังคมและชุมชน แต่พันธสัญญาซึ่งชายและหญิงได้กระทำต่อกันต่อหน้าพระเจ้า จะลบล้างไม่ได้ ดังนั้นคำสอนแรกที่คู่บ่าว-สาวต้องเรียนรู้คือ สำหรับคาทอลิกแล้ว จะไม่มีการหย่าหลังจากที่ได้แต่งงานอย่างถูกต้องแล้ว (แต่หากชีวิตคู่มีปัญหาจริงๆ อาจจะมีการขอดำเนินการเพื่อ "ประกาศการแต่งงานว่าเป็นโมฆะ")
(2) การแต่งงานเพื่อ "ความดีของกันและกัน"
นิยามของความดีของคู่สมรส อาจจะหมายถึงความสุขและสวัสดิภาพ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความเชื่อ ดังนั้นคู่บ่าว-สาว ต้องพิจารณาและตั้งใจว่า จะดูแลกันและกัน รักษาความสุขและสวัสดิภาพแก่กันและกัน
(3) การแต่งงานเพื่อ "การมีบุตร" และ ทำตามหน้าที่ความรับผิดชอบของบิดา-มารดาคือ "ให้การศึกษาแก่บุตรของตน"
การให้การศึกษานี้ ไม่ได้หมายถึงการให้ทางศึกษาโดยทั่วไป แต่รวมไปถึงการดูแลการเจริญเติบโต ให้การอบรม และรักษาความเชื่อในศาสนาด้วยเช่นกัน
กฎหมายพระศาสนจักรคาทอลิก มาตรา 1056
ลักษณะเฉพาะที่เป็นแก่นแท้ของการแต่งงาน คือ ความเป็นหนึ่งเดียว (เอกภาพ unity)
และ การแยกจากกันมิได้ (indissolubility) การแต่งงานของคริสตชนมีความมั่นคงพิเศษ โดยเหตุผลของการเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์
(1) เอกภาพ (unity) มีความหมายตามคำสอนของคาทอลิกดังนี้
(1.1) เอกภาพคือ "ความซื่อสัตย์" (fidelity) เขาทั้งสองต้องรักเดียวใจเดียว ดังคำกล่าวของคู่บ่าว-สาวเวลาแลกเปลี่ยนแหวนที่ว่า "จงรับแหวนวงนี้เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความรักและความซื่อสัตย์ของ ผม/ดิฉัน"
(1.2) เอกภาพคือ "ความสัมพันธ์ตามชีวิตคู่" (both physical and spiritual relationship) ดังจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวเอเฟซัส บทที่ 5 ข้อ 31 ที่ว่า “เพราะเหตุนี้เอง ผู้ชายจะละบิดามารดาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน”
ความสัมพันธ์ทางร่างกายจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตคู่ นักบุญยอหน์ปอลที่ 2 กล่าวในเทววิทยาทางร่างกายไว้ว่า "ในความสัมพันธ์ทางร่างกายในการแต่งงาน เป็นความสามารถที่จะแสดงความรักต่อกันและกัน ซึ่งบุคคลเป็นของขวัญให้แก่กัน ทำให้การมีอยู่เพื่อกันและกันอย่างมีความหมายและมีคุณค่า"
ชายและหญิงอนุญาตให้ใช้ร่างกายของกันและกันเพื่อความสุข และเสริมสร้างความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา ชีวิตครอบครัวและชีวิตคู่จึงเป็นสถานะที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่พระเป็นเจ้าทรงอวยพร
ด้วยเหตุนี้ หากชายและหญิงขาดความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ที่กล่าวมาในข้างต้น ให้ถือว่าเป็นข้อขัดขวางที่พระศาสนจักรไม่อนุญาตให้ทำพิธีแต่งงานตามแบบคาทอลิกได้ (ดูข้อขัดขวาง "ภาวะที่ไม่อาจจะมีเพศสัมพันธ์ได้")
(2) การแยกจากกันมิได้ คือ หย่าร้างไม่ได้นั่นเอง
กฎหมายพระศาสนจักรคาทอลิก มาตรา 1057วรรค 1
การแต่งงานเกิดขึ้นจากการยินยอมของทั้งสองฝ่าย ซึ่งแสดงออกโดยชอบด้วยกฎหมาย
ระหว่างบุคคลที่สามารถแต่งงานได้ตามกฎหมาย การยินยอมนี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยอำนาจของมนุษย์ใดๆวรรค 2
การยินยอมของการแต่งงาน คือ กิจการของอำเภอใจ ซึ่งชายและหญิงมอบและรับตนเองแก่กันและกัน เพื่อทำให้เกิดการแต่งงานด้วยพันธสัญญาอันเรียกคืนไม่ได้
สรุปคำสอนเรื่องความหมายของการแต่งงาน
และ คำสาบานของคู่บ่าว-สาวในพิธี
Step 2: ผ่านการสัมภาษณ์
คำถามที่ต้องเตรียมตัวตอบกับบาทหลวงหรือเจ้าหน้าที่โบสถ์
2.1 ความสมัครใจ
ในการสัมภาษณ์บาทหลวงหรือเจ้าหน้าที่ของโบสถ์จะถามความสมัครใจดังเช่น ในการแต่งานครั้งนี้ ไม่มีใครบังคับและเป็นด้วยความสมัครใจใช่หรือไม่? และไม่มีใครบังคับอีกฝ่ายหรือไม่?
ด้านล่างเป็นตัวอย่างของคำถาม ซึ่งเป็นคำถามด้านคำสอนตามกฎหมายพระศาสนจักรดังที่ได้บรรยายไว้ในข้างต้น ซึ่งบางทีผู้ถามอาจจะให้คู่บ่าว-สาว อธิบายความหมายของ "เอกภาพ" และ "การหย่าร้างไม่ได้" กว่ามีความหมายอย่างไร และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามคำสอนและความหมายของการแต่งงานดังกล่าวหรือไม่?
ส่วนในข้อที่ 22-27 (ด้านล่าง) จะเป็นคำถามเรื่องความสมัครที่ต้องการ "การยืนยัน" ของคู่บ่าว-สาว อีกครั้งหนึ่ง...
2.2 คำถามเรื่องคุณสมบัติ และข้อขัดขวางต่างๆ
กฎหมายพระศาสนจักรคาทอลิก มาตรา 1058ทุกคนซึ่งกฎหมายไม่ห้าม สามารถทำสัญญาแต่งงานได้ (ข้อขัดขวางต่างๆ- impediments)
ในทางกฎหมายพระศาสนจักรแล้ว ผู้ที่จะสามารถทำพันธสัญญาต้องมีคุณสมบัติ และไม่มี "ข้อขัดขวางต่างๆ" คุณสมบัติอาทิเช่น ฝ่ายหนึ่งฝ่ายเป็นคาทอลิก อายุถึงเกณฑ์แล้ว เป็นโสดและไม่เคยแต่งงานมาก่อน ฯลฯ ในส่วนข้อขัดขวางตามกฎหมายของพระศาสนจักร บาทหลวง(หรือเจ้าหน้าที่โบสถ์) ถามคำถามเรื่อง "ข้อขัดขวาง" ดังนี้...
(1) อายุไม่ถึงเกณฑ์
(2) ภาวะที่ไม่อาจจะมีเพศสัมพันธ์ได้ (ขัดต่อคำสอนเรื่อง "เอกภาพ" ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคู่สมรส)
(3) เคยแต่งงานมาก่อน (นอกจากจะได้รับการประกาศจากพระศาสนจักรว่าเป็น “โมฆะ” แล้ว >"อ่านบทความ การแต่งงานเป็นโมฆะ") หรือได้รับ อภิสิทธิ์นักบุญเปาโล หรือ อภิสิทธิ์นักบุญเปโตร (โดยสันตะสำนัก)
(4) การแต่งงานกับผู้ที่ไม่ใช่คาทอลิก
(4.1) Mixed marriage: คาทอลิก แต่งกับ คริสตชนนิกายอื่นๆ
(4.2) Disparity of cult: คาทอลิก แต่งกับ ผู้ที่ไม่ใช่คริสตชน
อย่างไรก็ตาม ข้อขัดขวางทั้งข้อ 4.1 – 4.2 สามารขออนุญาตได้จากพระศาสนจักร โดยมีการทำสัญญาดังนี้
|
(5) ฝ่ายชายได้รับศีลบรรพชา (เป็นบาทหลวงคาทอลิก) มาก่อน
(6) คู่สมรสเคยปฏิญาณตัวถาวรในชีวิตนักบวช
(7) กรณีการลักพาตัว
(8) กรณีการก่ออาชญากรรม
(9) เป็นญาติกันทางสายเลือด โดยตรง หรือ ขั้นที่ 3 (Collateral line up to 3rd degree)
(10) เคยจดทะเบียนสมรสกับผู้อื่นมาแล้ว ทางกฎหมาย
(11) เป็นพ่อ-แม่ทูนหัวกัน และ
(12) เป็นพ่อ-แม่อุปภัมภ์กันทางกฎหมายบ้านเมือง
ข้อขัดขวางบางอย่างสามารถอนุโลม หรือขอเอกสารยกเว้นของขัดขวาง (dispensation) จากพระศาสนจักรได้ อาทิเช่น ข้อที่ 4 การแต่งงานต่างฝ่ายต่างถือ หรือ ข้อที่ 9 เป็นญาติในขั้นที่ 3
ข้อขัดขวางบางประการ ถือเป็นเด็ดขาด และไม่สามารถยกเว้นได้ อาทิเช่น การแต่งงานระหว่างญาติสายตรง คู่บ่าว-สาวเป็นผู้เยาว์ ฯลฯ
Step 3: รวบรวม และ ดำเนินเอกสาร
เป็นหน้าที่ขอบาทหลวงอธิการของโบสถ์ที่ต้องดำเนินเอกสารที่จำเป็นสำหรับคู่บ่าว-สาว ที่มีความประสงค์จะแต่งงานในโบสถ์นั่นๆ ในกรณี A . บ่าว-สาวเป็นคาทอลิกทั้งคู่ ไม่จำเป็นต้องส่งเอกสารไปส่วนกลางของพระศาสนจักรท้องถิ่น (สำนักมิสซังฯ) แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เคสการแต่งงานจะเป็นแบบ B. การแต่งงานระหว่างคาทอลิกและต่างศาสนา เราต้องเตรียมเอกสารเพื่อส่งไปสำนักมิสซา เพื่อขอเอกสารอนุญาตให้แต่งงานแบบต่างคนต่างถือในโบสถ์ได้
สำหรับเอกสารที่ต้องเตรียม ทางผู้เขียนได้ทำ Checklist เอกสารต่างๆ ดังต่อไปนี้
เคส A. กรณีเจ้าบ่าว-สาว เป็นคาทอลิกทั้งคู่
โดยเบื้องต้น ถ้าเจ้าบ่าว-สาว เป็นคาทอลิกทั้งคู่ จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องของเอกสารและการขออนุญาต เพราะเราต้องการเอกสารเบื้องต้น ดังนี้...
ใบสัมภาษณ์คู่สมรส (โดยเจ้าวัดหรือผู้แทน)
ใบรับรองการผ่านการอบรมคู่สมรส
เอกสารใบรับรองศีลล้างบาป ออกให้โดยวัดที่ฝ่ายคาทอลิกรับศีลล้างบาป โดยระบุว่าเคยรับศีลกำลังแล้ว และทางวัดออกเอกสารให้เพื่อใช้ในการสมรส โดยทางวัดออกเอกสารให้ไม่เกิน 6 เดือน
เคส B. กรณี คาทอลิก กับ ไม่ใช่คาทอลิก
การแต่งงานกับคนต่างศาสนาถือว่าเป็น "ข้อขัดขวาง" ตามกฎพระศาสนจักรคาทอลิก อย่างไรก็ตามข้อขัดขวางนี้สามารถขออนุญาตได้ โดยทางสำนักงานศาลพระศาสนจักรท้องถิ่น เอกสารนี้เรียกว่า "ใบอนุญาตยกเว้นข้อขัดขวาง (Dispensation) โดยทางเจ้าวัดหรือเจ้าหน้าที่ของโบสถ์ ต้องเตรียมเอกสารดังนี้...
ใบสัมภาษณ์คู่สมรส (โดยเจ้าวัดหรือผู้แทน)
ใบรับรองการผ่านการอบรมคู่สมรส
สำหรับฝ่ายคาทอลิก
เอกสารใบรับรองศีลล้างบาป ออกให้โดยวัดที่ฝ่ายคาทอลิกรับศีลล้างบาป โดยระบุว่าเคยรับศีลกำลังแล้ว และทางวัดออกเอกสารให้เพื่อใช้ในการสมรส โดยทางวัดออกเอกสารให้ไม่เกิน 6 เดือน
คำสัญญาของฝ่ายคาทอลิก ว่าจะไม่ละทิ้งความเชื่อ และเซ็นต์ยอมรับของอีกฝ่ายหนึ่ง
สำหรับฝ่ายที่ไม่ใช่คาทอลิก
เอกสารยืนยันว่ายังไม่เคยแต่งงานมาก่อน (Affidavit) เซ็นต์โดยญาติ
สำเนาใบประชาชน (ขอผู้ที่เซ็นต์รับรอง)
ทางสังฆมณฑลอาจขอเอกสารอื่นๆ ซึ่งคู่บ่าว-สาว ต้องเตรียมเผื่อไว อาทิเช่น รูปถ่าย หรือ สำเนาบัตรประชาชนของตน
Checklist อื่นๆเพื่อเตรียมตัวในวันพิธีแต่งงาน
(พ่อแม่) พยานสองคน (ต้องแจ้งรายชื่อ ตั้งแต่วันสัมภาษณ์)
ดอกไม้
บทอ่านที่เลือก
ผู้อ่านบทอ่าน
นักขับร้องในโบสถ์
แหวนแต่งงาน
จองวันซ้อมพิธีฯ
หนังสือพิธี
ขบวนแห่: ผู้ถือเทียน(2) ผู้ถือดอกไม้(1) ผู้ถือแหวน(1) เพื่อนเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าสาว ฯลฯ
ซองทำบุญให้พระสงฆ์
ช่างภาพ
อื่นๆ..........
โดยปกติ ทางวัดจะเป็นผู้จัดเตรียมนักขับร้อง และเซ็ตดอกไม้ประดับวัด หรือมีผู้อ่านบทอ่าน และผู้ช่วยพิธีกรรม อย่างไรก็ตามทางบ่าว-สาว ควรติดต่อทางโบสถ์และเจ้าอาวาสวัดแต่เนิ่นๆ Checklist ดังกล่าวช่วยให้คู่บ่าว-สาว เห็นภาพรวมในการเตรียมตัวก่อนวันแต่งงาน
Step 4: นัดซ้อมพิธีแต่งงานกับทางวัด
โดยปกติบาทหลวงผู้ประกอบพิธีจะนัดเฉพาะคู่บาว-สาวมาซ้อมกันก่อนวันแต่งงาน ส่วนผู้ร่วมขบวนคนอื่นๆ อาจจะนัดซ้อมกันที่หน้างาน ในวันประกอบพิธีกรรม
Step 5: เข้าพิธีสมรส
ในวันสมรสคู่บ่าว-สาวอาจจะมีความวุ่นวายใจ ตื่นเต้น กังวลใจอยู่บ้าง แต่ในที่สุดพิธีกรรมทางศาสนาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด จะมีสิ่งใดมีค่าไปมากกว่าพระพรขององค์พระเจ้า ที่จะทรงประทานให้แก่เราในวันแต่งงาน เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะสมบูรณ์แบบไปทุกๆอย่าง ในวันงานอาจจะมีข้อผิดพลาด ผิดคิว ก็ขอให้มองข้ามไป แต่ให้โฟกัสอยู่ที่พิธีกรรม ด้วยความสำรวมใจ รำพึงตามบทเทศน์สอนของพระสงฆ์ และตั้งใจในการกล่าวคำปฎิญาณด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง
>>> ดาวน์โหลด หนังสือพิธีกรรมแต่งงานแบบคาทอลิก "รักในพระคริสต์"
>>> Download Liturgical Booklet of Eucharistic Celebration and Holy Matrimony in Roman Catholic Rite
>>> ดาวน์โหลดบทความ "การแต่งงานแบบคาทอลิก" (5 ขั้นตอนที่ต้องผ่าน)
Father M
Written by
บาทหลวง วรวุฒิ สารพันธุ์ C.Ss.R. JCL
Catholic Priest & Canonist
Author & Administrator
Faith4Thai.com
*juris canonici licentiatus
หรือ JCL เป็นปริญญาทางกฏหมายพระศาสนจักร
Email:
FaceBook: Worawut Saraphan
Iine ID: mcssrsp