Skip to main content

59    จิตภาวนา

จิตภาวนา 01 จิตภาวนามีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความรอด

book

"พระเป็นเจ้าทรงประทาน พระหรรษทานที่จำเป็น ในการปฏิบัติตามพระบัญญัติให้แก่ผู้ชอบธรรมทุกคน
และประทานพระหรรษทานแห่งการกลับใจให้แก่คนบาปทุกคน"

1.จิตภาวนาส่องสว่างจิตใจ

            ประการแรก หากปราศจากจิตภาวนา วิญญาณก็ปราศจากแสงสว่าง นักบุญออกัสตินกล่าวว่า ใครที่หลับตาจะมองไม่เห็นทาง ความจริงฝ่ายจิตนั้นเราไม่อาจจะมองเห็นได้ด้วยสายตาทางกาย  แต่มองเห็นได้ด้วยสายตาทางจิต  โดยอาศัยการรำพึงพิจารณา ดังนั้นใครที่ไม่ทำจิตภาวนาก็ไม่พบความจริง ทั้งไม่รู้ถึงความสำคัญของความรอดนิรันดรและหนทางที่จะได้รับความรอด  ความพินาศของวิญญาณมากมายเกิดจากการละเลยในการพิจารณาถึงหนทางแห่งความรอดและวิถีทางเพื่อจะได้รับความรอด "แผ่นดินทั้งสิ้นถูกทำให้ร้างเปล่า  และไม่มีผู้ใดเอาใจใส่เรื่องนั้น" (ยรม 12:11) พระสวามีเจ้าตรัสว่า ใครที่เฝ้ารำพึงถึงความจริงแห่งความเชื่ออยู่เสมอ กล่าวคือ รำพึงถึงความตาย การพิพากษา และความสุขหรือความทุกข์นิรันดรที่รอคอยเราอยู่นั้น เขาจะไม่ตกอยู่ในบาปเลย "ไม่ว่าจะทำสิ่งใด จงคิดถึงบั้นปลายชีวิต แล้วเจ้าจะไม่ทำบาปเลย" (บสร 7:36) กษัตริย์ดาวิดกล่าวว่า จงเข้าใกล้ชิดพระเป็นเจ้า แล้วพระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมองเห็น "จงเข้ามาใกล้พระองค์ และพบความสว่าง" อีกตอนหนึ่งพระสวามีเจ้าตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงคาดเอวของท่านไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่" (ลก 7:35) นักบุญโบนาเวนตูราตีความว่า ตะเกียงนี้หมายถึงการทำจิตภาวนา เพราะพระเป็นเจ้าทรงตรัสกับเราในการภาวนา และทรงส่องสว่างเพื่อให้เราได้พบหนทางแห่งความรอด "พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพเจ้า" (สดด 119:105)

            นักบุญโบนาเวนตูรากล่าวว่า จิตภาวนาเป็นดังกระจกเงาที่ส่องให้เราเห็นตำหนิในวิญญาณของเรา ในจดหมายถึงสังฆราชแห่งออสมา นักบุญเทเรซา เขียนว่า "โดยการภาวนา พระเป็นเจ้าทรงเผยให้เราเห็นความบกพร่องภายในวิญญาณของเราอย่างชัดเจน" ใครที่ไม่ทำจิตภาวนาก็ไม่รู้ข้อบกพร่องของตน ดังที่นักบุญเบอร์นาร์ดกล่าวว่า หากผู้ใดไม่ทำจิตภาวนา เขาจะไม่รู้เลยว่า อันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อความรอดนิรันดรมาสู่เขาแล้วและเขาไม่คิดแม้แต่จะหลบหนี  แต่ถ้าใครทำจิตภาวนาจะเห็นความผิดของตนทันที เขาจะเห็นอันตรายของความหายนะ พร้อมทั้งหนทางที่จะแก้ไขด้วย เมื่อกษัตริย์ดาวิดรำพึงถึงนิรันดรภาพ ท่านก็เร่งรีบในการฝึกปฏิบัติฤทธิ์กุศลและทำกิจใช้โทษบาปของตนอย่างร้อนรน "ข้าพเจ้าพิจารณาถึงสมัยก่อน ข้าพเจ้าจำปีที่นมนานแล้วได้....ข้าพเจ้าตรึกตรองและวิญญาณจิตข้าพเจ้าก็เสาะหา" (สดด 77:5-6) เจ้าสาวในบทเพลงซาโลมอนกล่าวว่า "ดอกไม้ต่าง ๆ นานากำลังปรากฏบนพื้นแผ่นดิน เวลาสำหรับวิหคร้องเพลงมาถึงแล้ว และเสียงคูของนกเขาก็ได้ยินอยู่ในแผ่นดินของเรา" (ซลม 2:12) เมื่อวิญญาณออกไปอยู่โดดเดี่ยวและสำรวมตนในการรำพึงและสนทนากับพระเป็นเจ้า  ดังเช่นนกเขาที่อยู่โดดเดี่ยว  เมื่อนั้นความตั้งใจดีก็จะผุดขึ้นมา ดังเช่นดอกไม้  เมื่อนั้นก็เป็นเวลาของการหักล้างถางพง คือการแก้ไขข้อบกพร่องที่เราได้พบเห็นในการทำจิตภาวนา นักบุญเบอร์นาร์ดกล่าวว่า "จงคิดถึงเวลาแห่งการหักล้างถางพงใกล้ที่ใกล้เข้ามา เมื่อเวลาแห่งการภาวนาได้สิ้นสุด" เพราะในการรำพึงด้วยความร้อนรนเสมอๆ นั้น เป็นเครื่องนำความประพฤติและแก้ไขข้อบกพร่องของเรา

 

2.  จิตภาวนานำวิญญาณไปสู่การฝึกปฏิบัติฤทธิ์กุศล

            หากปราศจากการรำพึงแล้ว เราจะไม่มีพละกำลังในการต่อสู้กับการ ประจญล่อลวง และฝึกหัดฤทธิ์กุศลแห่งพระวรสาร

            บุญราศีบาโธโลมิว มาริทิบุสกล่าวว่า การรำพึงเปรียบเช่นไฟที่เผาเหล็กให้ร้อน เพราะเหล็กที่เย็นนั้นแข็งและไม่อาจดัดแปลงให้เปลี่ยนไปตามต้องการได้ แต่หากนำไปเผาไฟ  เหล็กจะอ่อนตัวและทำให้เป็นรูปร่างต่างๆ ได้ตามต้องการ ในการปฏิบัติตามคำสอนและคำแนะนำของพระเป็นเจ้า เราต้องมีจิตใจที่อ่อนน้อม พร้อมรับฟังการดลใจจากพระเป็นเจ้าและปฏิบัติตาม สิ่งนี้เองที่กษัตริย์ซาโลมอนวอนขอต่อพระเป็นเจ้า "เพราะฉะนั้นขอพระองค์ทรงประทานความคิด ความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์" (ซลม 2:12) บาปทำให้จิตใจเราแข็งกระด้าง ดื้อดึง โน้มเอียงไปในการแสวงหาความสุขฝ่ายเนื้อหนัง และต่อต้านกฎแห่งจิต ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวว่า "แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า" (รม 7:23) มนุษย์จะมีจิตใจที่อ่อนน้อมและเชื่อฟังก็โดยอาศัยพระหรรษทานที่ได้รับจากการรำพึง  มนุษย์จะร้อนรนด้วยไฟแห่งความรักของพระเป็นเจ้า และมีจิตใจที่อ่อนน้อมเชื่อฟังการดลใจของพระเป็นเจ้า ก็โดยการรำพึงถึงความดีของพระเป็นเจ้า ความรักที่พระเป็นเจ้ามีต่อเขา และพระคุณต่างๆ ที่พระองค์ประทานให้มนุษย์ แต่หากปราศจากจิตภาวนาแล้ว จิตใจของมนุษย์จะดื้อกระด้างและไม่เชื่อฟังจนถึงแก่ความพินาศไปในที่สุด "ผู้มีใจดื้อดึงย่อมได้รับผลร้ายในบั้นปลาย" (บสร 3:25)  นักบุญเบอร์นาร์ดกล่าวเตือนพระสันตะปาปายูจีนน์ไม่ให้ละเลยการรำพึง เพราะการทำงานที่มากมาย "โอ้ ยูจีนน์ ข้าพเจ้ากลัวว่างานมากมายของท่านจะทำให้ท่านจิตใจแข็งกระด้าง โดยที่ท่านไม่ล่วงรู้หรือเกลียดชังมันเลย"

            บางคนอาจคิดว่า เวลานาน ๆ ที่ใช้ในการภาวนานั้น ควรเอามาทำงานจะเป็นประโยชน์กว่า เขาคิดว่าการสวดภาวนานาน ๆ เป็นการเสียเวลา แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า จิตภาวนาทำให้วิญญาณได้รับพละกำลังที่จะเอาชนะศัตรูและฝึกหัดฤทธิ์กุศล นักบุญเบอร์นาร์ดกล่าวว่า "จากเวลาที่ใช้ไปนี้เอง ทำให้เราได้รับพละกำลังมากมาย" พระสวามีเจ้าเองทรงรับสั่งแก่เจ้าสาวของพระองค์ว่า "เธอทั้งหลายจะไม่เร่งเร้าหรือไม่ปลุกความรักให้ตื่นกระพือขึ้น จนกว่าความรักจะจุใจแล้ว" (ซลม 3:5) ที่พระองค์ตรัสว่า "จนกว่าความรักจะจุใจ" เพราะการพักผ่อนนอนหลับของวิญญาณในจิตภาวนาเป็นไปด้วยความเต็มใจ ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตจิตด้วย ใครที่ไม่พักผ่อนก็ไม่มีพละกำลังในการทำงาน เขาจะเดินเซไปมา หมดเรี่ยวแรง วิญญาณไม่ได้รับพละกำลังและการพักผ่อนในการรำพึง ก็ไม่มีพละกำลังต่อสู้กับการประจญและโซเซไปมา เมื่อเราย้อนดูประวัติของบุญราศี ซิสเตอร์มารี แห่งพระผู้ถูกตรึงกางเขน ในขณะที่ภาวนา ท่านได้ยินปีศาจคุยโวว่า มันได้ทำให้ซิสเตอร์ท่านหนึ่งละเลยการรำพึงภาวนารวมกัน หลังจากนั้นมันก็พยายามล่อลวงซิสเตอร์ท่านนั้นให้ตกอยู่ในอันตรายของการทำบาปหนัก ผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้าจึงวิ่งไปหาซิสเตอร์ท่านนั้น และโดยความช่วยเหลือของพระเป็นเจ้า ซิสเตอร์จึงไม่ตกในบาปหนัก จงดูอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่วิญญาณที่ละเลยการทำจิตภาวนา นักบุญเทเรซากล่าวว่า ใครที่ละเลยจิตภาวนาก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยปีศาจให้พาตัวเขาไปนรก แต่เขาจะพาตัวของเขาเองไปที่นั่น เจ้าอาวาสไดโอเคิลกล่าวว่า "ผู้ที่ละเลยจิตภาวนา ในไม่ช้าเขาจะเป็นเดียรฉานหรือไม่ก็ปีศาจ"

 

3.  จิตภาวนาช่วยให้เราภาวนาอย่างถูกต้อง

            หากปราศจากการวอนขอ พระเป็นเจ้าจะไม่ทรงประทานความช่วยเหลือแก่เรา และหากปราศจากความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้าแล้ว เราก็ไม่สามารถปฏิบัติตามพระบัญญัติได้  การภาวนาวอนขอมีความจำเป็นทีเดียวในการทำจิตภาวนา เพราะใครที่ละเลยการรำพึงและหลงใหลในสิ่งฝ่ายโลก จะไม่รู้ว่าวิญญาณของเขาขาดแคลนสิ่งใด อันตรายจะมาสู่ความรอดของเขา เขาจะไม่รู้วิธีเอาชนะการประจญล่อลวง หรือแม้แต่ความสำคัญของการภาวนาวอนขอ ในที่สุดเขาจะเลิกภาวนา เลิกวอนขอพระหรรษทานจากพระเป็นเจ้า และพินาศไปในที่สุด พระสังฆราชพาราฟอกให้หมายเหตุประกอบจดหมายของนักบุญเทเรซาไว้ว่า "ความรักจะสิ้นสุดไปได้อย่างไร หากพระเป็นเจ้าทรงประทานความพากเพียร? พระองค์ประทานความพากเพียรให้เราได้อย่างไร หากเราไม่วอนขอจากพระองค์? เราจะวอนขอจากพระองค์ได้อย่างไร หากปราศจากจิตภาวนา? หากปราศจากจิตภาวนา วิญญาณจะได้รับความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้าในการรักษาฤทธิ์กุศลได้อย่างไร?" คาร์ดินัลเบลามีนกล่าวว่า สำหรับท่านแล้ว ใครที่ละเลยจิตภาวนา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะดำเนินชีวิตโดยปราศจากบาป

            บางคนกล่าวว่า "ถึงผมไม่ได้ทำจิตภาวนา แต่ผมก็ท่องบทสวดต่าง ๆ มากมาย" แต่เราก็ต้องรู้ถึงสิ่งที่นักบุญออกัสตินต้องการบอกเราว่า เพื่อจะได้รับพระหรรษทานจากพระเป็นเจ้า การภาวนาด้วยลิ้นเท่านั้นไม่เป็นการเพียงพอ เราจำเป็นต้องภาวนาด้วยหัวใจของเรา กษัตริย์ดาวิดกล่าวว่า "ข้าพเจ้าหลั่งคำคร่ำครวญของข้าพเจ้าออกมาต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์"(สดด 142:2) นักบุญโทมัสกล่าวว่า "เสียงร้องคร่ำครวญนั้นไม่ใช่เสียงของเขาเอง (ไม่ใช่เสียงที่ออกมาจากวิญญาณ) นั่นเป็นเสียงของร่างกาย แต่ความคิดคำนึงของเขาตะหากที่เป็นเสียงร้องหาพระเจ้า เป็นเสียงจากภายใน ซึ่งพระองค์ทรงรับฟัง" นักบุญเปาโล พร่ำสอนว่า "จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา"(อฟ 6:18) โดยทั่วไปแล้ว การท่องบทสวดด้วยความวอกแวกนั้น มาจากร่างกาย ไม่ใช่จิตใจ ยกตัวเอย่างเมื่อเราสวดนาน ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่เคยทำจิตภาวนา ดังนั้นพระเป็นเจ้าจึงไม่รับฟังเขา และไม่ประทานพระหรรษทานที่เขาวอนขอ หลายคนสวดสายประคำ สวดนพวารแม่พระ ทำกิจศรัทธาต่าง ๆ แต่ยังคงตกในบาป ส่วนผู้ที่ทำจิตภาวนา ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะตกในบาป  เขาอาจเลิกการรำพึงหรือไม่ก็เลิกทำบาป ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง  ผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า จิตภาวนาและบาปไม่อาจอยู่ร่วมกันได้  เราเห็นได้จากประสบการณ์ของเราว่า ไม่ค่อยเห็นคนที่ทำจิตภาวนาจะเป็นศัตรูกับพระเป็นเจ้า และพวกเขาไม่โชคร้ายจนตกในบาป  อาศัยความพากเพียรในจิตภาวนา พวกเขาจะแลเห็นความน่าสมเพชของตนและหวนกลับไปหาพระเป็นเจ้า  นักบุญเทเรซากล่าวว่า วิญญาณที่ประมาทเอ๋ย หากเจ้าพากเพียรในจิตภาวนาแล้ว พระสวามีเจ้าจะนำเจ้ากลับไปสู่ความรอด

 

 

book

จิตภาวนา 01 จิตภาวนามีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความรอด