จิตภาวนา
โดย นักบุญอัลฟอนโซ
จิตภาวนา 03 จุดมุ่งหมายของจิตภาวนา
จุดมุ่งหมายของจิตภาวนา
เพื่อการฝึกหัดจิตภาวนา
หรือการรำพึงที่เกิดผลอย่างแท้จริงกับวิญญาณ
เราจะต้องเข้าใจถึงเป้าหมายของภาวนา
1. เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
เรารำพึงภาวนาเพื่อว่า เราจะได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า สติปัญญาของเราไม่อาจมีความปรารถนาที่จะทำความดี และเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้าได้มากเท่ากับ ความปรารถนาที่จะทำความดี และความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าที่เราจะมีได้ในขณะรำพึงภาวนา โดยเฉพาะความสุภาพ ความไว้ใจ ความเสียสละตนเอง ข้อตั้งใจต่าง ๆ ความรักและการเป็นทุกข์ถึงบาป นักบุญเทเรซากล่าวว่า การแสดงความรักจะมีอยู่ได้ก็เฉพาะในวิญญาณที่ร้อนรนด้วยความรักอันศักดิ์สิทธ์เท่านั้น
ความบริบูรณ์แห่งความรักนี้ดำรงอยู่ได้ โดยการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับพระเป็นเจ้า ดังที่ไดโอนีซีอุส เอโรพาไก กล่าวไว้ว่า ผลลัพธ์สำคัญของความรักคือการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับผู้ที่ตนรัก เขาจะไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นหนึ่งเดียวกัน นักบุญเทเรซากล่าวเช่นกันว่า "ทุกคนที่สวดภาวนาต้องมีเป้าหมายอยู่ที่การทำตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า เขาต้องมั่นใจว่า ภายในความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์นี้ เขาจะได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่จากพระเป็นเจ้า และก้าวหน้าในชีวิตภายในอย่างรวดเร็ว"
มีหลายคนพูดว่า พวกเขาสวดภาวนาแล้วแต่ไม่พบพระเป็นเจ้า เหตุผลเพราะว่า พวกเขาสวดภาวนาด้วยจิตใจที่ยังเต็มไปด้วยความผูกพันฝ่ายโลก นักบุญเทเรซากล่าวว่า "จงตัดใจออกจากสิ่งฝ่ายโลก แสวงหาพระเป็นเจ้าแล้วจะพบ" "พระเจ้าทรงดีต่อคนทั้งปวงที่คอยท่าพระองค์อยู่"(พคค 3:25) ดังนั้นเพื่อเราจะได้พบพระเป็นเจ้าในการภาวนา เราต้องสลัดตัวเราออกจากสิ่งของฝ่ายโลก และพระเป็นเจ้าจะตรัสกับเรา "เราจะพานางเข้าไปในถิ่นทุรกันดารและปลอบใจนาง" (ฮชย 2:14) นักบุญเกรโกรีกล่าวว่า เพื่อจะพบพระเป็นเจ้านั้น ความสงบฝ่ายกายนั้นไม่เพียงพอ แต่ต้องมีความสงบฝ่ายจิตใจด้วย วันหนึ่งพระคริสตเจ้าทรงตรัสแก่นักบุญเทเรซาว่า "เราปรารถนาจะพูดกับวิญญาณมากมาย แต่โลกได้ทำเสียงดังภายในจิตใจของพวกเขา พวกเขาจึงไม่ได้ยินเสียงของเรา" นักบุญลอเรนซ์ จัสติเนียน กล่าวว่า เมื่อวิญญาณที่ตัดขาดจากโลกและสวดภาวนา พระเป็นเจ้าจะตรัสกับเขา ทำให้เขาเข้าใจในความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเขา วิญญาณของเขาจะร้อนรนไปด้วยความรักของพระองค์ ภายในความสงบแห่งการภาวนา วิญญาณนั้นจะสนทนากับพระเป็นเจ้าอย่างไม่หยุดหย่อน
2. เพื่อจะได้รับพระหรรษทานจากพระเป็นเจ้า
เราจะต้องรำพึงภาวนา เพื่อจะได้รับพระหรรษทานที่จำเป็นในการก้าวหน้าในหนทางศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อหลีกหนีบาป และเป็นหนทางนำเราสู่ความครบครัน
ประโยชน์สูงสุดที่เราได้รับในการรำพึงภาวนาคือ การสวดภาวนา พระเป็นเจ้าจะไม่ทรงประทานพระหรรษทานแก่ผู้ใดที่ไม่ภาวนา นักบุญเกรโกรีกล่าวว่า "พระเป็นเจ้าประสงค์ให้เราวอนขอจากพระองค์ ให้เราบังคับพระองค์ และในที่สุดพระองค์จะพ่ายแพ้ต่อการรบเร้าวอนขอของเรา" พระเป็นเจ้าทรงพร้อมรับฟังเราเสมอ แต่ในขณะรำพึงภาวนา เป็นเวลาที่พระเป็นเจ้าจะสนทนาอยู่กับเรา เวลานี้เองที่พระองค์ทรงปรารถนาจะประทานตามที่เราวอนขอ
ในการรำพึงภาวนา เราต้องวอนขอความพากเพียรและความรักจากพระองค์ ความพากเพียรจนถึงที่สุดไม่ใช่พระหรรษทานประการเดียวโดด ๆ หากแต่เป็นสายโซ่แห่งพระหรรษทานที่ได้มาโดยการภาวนา หากเราหยุดภาวนาเมื่อใด พระเป็นเจ้าจะหยุดให้ความช่วยเหลือแก่เราเมื่อนั้น และเราจะต้องตาย ผู้ที่รำพึงภาวนาจะพบกับความยากลำบากในการพากเพียรในพระหรรษทานจนวาระสุดท้าย ให้เราระลึกคำกล่าวของพาราฟอกที่ว่า "พระเป็นเจ้าจะทรงประทานความพากเพียรแก่เราได้อย่างไร หากเราไม่วอนขอ? เราจะวอนขอได้อย่างไรหากเราไม่รำพึงภาวนา? หากปราศจากการภาวนา เราไม่อาจจะสนิท สัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าได้เลย"
อาศัยความกระตือรือร้นในการภาวนา เราจะได้รับความรักจากพระเป็นเจ้า นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ กล่าวว่า ฤทธิ์กุศลทุกประการมาจากความเป็นหนึ่งเดียวในความรักของพระเป็นเจ้า
ดังนั้นให้เราภาวนาอยู่เสมอ เพื่อวอนขอความพากเพียรและความรัก เพื่อเราจะได้ภาวนาด้วยความวางใจยิ่งขึ้นไปอีก ให้เราระลึกถึงคำสัญญาที่พระคริสตเจ้าทรงให้ไว้แก่เราว่า สิ่งใดก็ตามที่เราวอนขอจากพระบิดาในนามของพระองค์ พระบิดาจะประทานสิ่งนั้นให้ ดังนั้นให้เราภาวนาเพื่อตัวเราเองและเพื่อเห็นแก่พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเป็นเจ้า ให้เราภาวนาเพื่อผู้อื่นด้วย พระเป็นเจ้าจะทรงพอพระทัยยิ่งนัก หากเราวิงวอนต่อพระองค์เพื่อคนบาปและผู้ที่ไม่เชื่อ "ข้าแต่พระเจ้า ขอชนชาติทั้งหลายสรรเสริญพระองค์ ให้ชนชาติทั้งหลายสรรเสริญพระองค์"(สสด 67.5) ให้เราพูดว่า พระเจ้าข้า จงทำให้พวกเขารู้จักพระองค์ เราได้อ่านในประวัติของนักบุญมารี มักดาเลนา แห่งปัสซี พระเป็นเจ้าทรงดลใจให้ท่านภาวนาเพื่อคนบาป และเมื่อภาวนาให้คนบาปแล้ว ก็ขอให้เราภาวนาเพื่อวิญญาณในไฟชำระด้วย
3. เราต้องไม่แสวงหาความบรรเทาฝ่ายวิญญาณในจิตภาวนา
เราต้องไม่แสวงหาความบรรเทาฝ่ายวิญญาณในจิตภาวนา แต่เพียงเพื่อให้รู้ถึงน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าเท่านั้น กษัตริย์ซามูเอลตรัสว่า "พระเจ้าข้าขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่" ( 1ซมอ 3:9) พระสวามีเจ้าข้า โปรดให้ข้าพเจ้าทราบถึงพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อข้าพเจ้าจะได้กระทำสิ่งนั้น มีบางคนที่รำพึงภาวนาตราบเท่าที่เขาได้รับความบรรเทาฝ่ายวิญญาณ เมื่อใดที่เขาไม่ได้รับความบรรเทานี้ เขาก็หยุดรำพึงภาวนา พระเป็นเจ้าทรงปลอบประโลมวิญญาณที่พระองค์ทรงรักในการรำพึงภาวนาเสมอ ๆ และทรงโปรดให้วิญญาณนั้นได้ลิ้มรสความสุขที่พระองค์ทรงตระเตรียมให้ในสวรรค์เป็นการล่วงหน้า เพราะความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเขา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คู่รักฝ่ายโลกไม่อาจเข้าใจได้ ใครที่มีเฉพาะความรักฝ่ายโลกนี้ จะไม่มีความปรารถนาความสุขในสวรรค์เลย หากว่าพวกเขาฉลาด พวกเขาคงจะละทิ้งความสุขสบายฝ่ายโลก และไปขังตัวเองอยู่ในอารามเพื่อสนทนากับพระเป็นเจ้าเป็นการส่วนตัว การรำพึงภาวนาคือการสนทนาระหว่างพระเป็นเจ้าและวิญญาณ ซึ่งวิญญาณจะเข้าหาพระเป็นเจ้าด้วยความรัก ความปรารถนา ความยำเกรง และการวอนขอ พระเป็นเจ้าจะสนทนากับเขาภายในจิตใจ ทำให้เขาล่วงรู้ถึงความดีของพระองค์ ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเขา และสิ่งที่เขาจะสามารถทำให้พระองค์พอพระทัยได้
ความสุขเช่นนี้ใช่จะมีอยู่เสมอไป เพราะโดยส่วนมากแล้ว วิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์จะประสบกับความแห้งแล้งภายในจิตใจระหว่างรำพึงภาวนา นักบุญเทเรซากล่าวว่า " พระเป็นเจ้าทรงพิสูจน์ผู้ที่พระองค์ทรงรัก โดยอาศัยความแห้งแล้งและการประจญ" ท่านกล่าวเสริมอีกว่า "ถึงแม้ความแห้งแล้งฝ่ายวิญญาณนี้จะมีอยู่จนตลอดชีวิตของเรา ก็ขออย่าได้ละทิ้งการภาวนา เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึง เราจะได้รับรางวัล" ช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้งเป็นเวลาที่เราจะได้รับรางวัลอย่างมากมาย และเมื่อเรารู้สึกว่า เราเย็นชาปราศจากความปรารถนาที่จะทำดี และไม่อาจทำความดีได้เลย ให้เราสุภาพถ่อมตนและมอบตัวเราแด่พระเป็นเจ้า และการรำพึงนี้จะนำผลประโยชน์มาให้อย่างมากมาย หากว่าเราไม่รู้ว่าจะภาวนาว่าอย่างไร อย่างน้อยให้เราภาวนาว่า "พระเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วย ขอทรงอย่าทอดทิ้งข้าพเจ้า" ให้เราวอนขอจากพระแม่มารี ผู้เป็นที่ลี้ภัยของเราด้วย ความสุขจะมีแก่ผู้ที่ไม่ละทิ้งการรำพึงภาวนาในขณะที่เขากำลังจะหมดหวัง