Skip to main content

Headline

book

70-77 นิทานเปรียบเทียบ

033

70. เศรษฐีเบาปัญญา


    พระเยซูเจ้าทรงเตือนผู้ที่อยู่กับพระองค์ว่า “จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด เพราะชีวิตของคนเราไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเขา แม้ว่าเขาจะมั่งมีมากเพียงใดก็ตาม”     พระองค์ยังตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังอีกว่า ”เศรษฐีคนหนึ่งมีที่ดินที่เกิดผลดีอย่างมาก  เขาจึงคิดว่า "ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันไม่มีที่พอจะเก็บพืชผลของฉัน"  เขาคิดอีกว่า "ฉันจะทำอย่างนี้ จะรื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม จะได้เก็บข้าวและสมบัติทั้งหมดไว้  แล้วฉันจะพูดกับตนเองว่า "ดีแล้ว ท่านมีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี จงพักผ่อน กินดื่มและสนุกสนานเถิด"  แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า "คนโง่เอ๋ย คืนนี้ เขาจะเรียกเอาชีวิตท่านไป แล้วสิ่งที่ท่านได้เตรียมไว้จะเป็นของใครเล่า  คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนเองแต่ไม่เป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้า ก็จะเป็นเช่นนี้ (ลก 12 : 15-21)

 

71. แกะที่พลัดหลง

034
    บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูท่าน  ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า ‘คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา'  พระองค์จึงตรัสเรื่องอุปมานี้ให้เขาฟัง“ท่านใดที่มีแกะหนึ่งร้อยตัว ตัวหนึ่งพลัดหลง จะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในถิ่นทุรกันดาร ออกไปตามหาแกะที่พลัดหลงจนพบหรือ  เมื่อพบแล้ว เขาจะยกมันใส่บ่าด้วยความยินดี  กลับบ้าน เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมา พูดว่า "จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่พลัดหลงนั้นแล้ว"  เรา บอกท่านทั้งหลายว่าในสวรรค์จะมีความยินดีเช่นนี้เพราะคนบาปคนหนึ่งกลับใจ มากกว่าความยินดีเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจใหม่” (ลก 15 : 1-7)

 

72. ชุมพาบาลที่ดี


    เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีfผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน    ลูกจ้าง ที่ไม่ใช่ผู้เลี้ยงแกะและไม่เป็นท่านของแกะเมื่อเห็นสุนัขป่าเข้ามาก็ละทิ้งบรรดาแกะและหนีไปสุนัขป่าแย่งชิงแกะ และฝูงแกะก็กระจัดกระจายไป    ลูกจ้างวิ่งหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้างไม่มีความห่วงใยฝูงแกะเลย    เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีเรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา    พระบิดาทรงรู้จักเราฉันใดเราก็รู้จักพระบิดาฉันนั้นเรายอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา”
    ชาวยิวมีความคิดเห็นแตกต่างกันอีกเพราะพระวาจานี้  หลายคนพูดว่า "คนนี้ถูกปีศาจสิง กำลังพูดเพ้อเจ้อ ท่านทั้งหลายฟังเขาทำไม"  คนอื่นพูดว่า “ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ใช่ถ้อยคำของผู้ถูกปีศาจสิง ปีศาจรักษาตาของคนตาบอดได้หรือ?” (ยน 10 : 11, 19-21)

 

73. ลูกล้างผลาญและลูกที่คิดว่าตนทำดีแล้ว


          พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ชายผู้หนึ่งมีบุตรสองคน  บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า  "พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด" บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน    ต่อมาไม่นาน บุตรคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังประเทศห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น
        ‘เมื่อเขาหมดตัว  ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น   และเขาเริ่มขัดสน  จึงไปรับจ้างอยู่กับชาวเมืองคนหนึ่ง  คนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา
        เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้  เขาจึงรู้สำนึกและคิดว่า "คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว  ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า "พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ  ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด"  เขาก็กลับไปหาบิดา ‘ขณะที่เขายังอยู่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา บุตรจึงพูดกับบิดาว่า “พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก” แต่บิดาพูดกับผู้รับใช้ว่า ”เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้  จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด  เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก” แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น

              ส่วนบุตรคนโตอยู่ในทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้บ้าน ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องรำ  จึงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น  ผู้รับใช้บอกเขาว่า “น้องชายของท่านกลับมาแล้ว บิดาสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย”   บุตรคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน บิดาจึงออกมาขอร้องให้เข้าไป  แต่เขาตอบบิดาว่า “ลูกรับใช้พ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเลย พ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อน ๆ  แต่พอลูกคนนี้ของพ่อกลับมา เขาคบหญิงเสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อจนหมด พ่อยังฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วให้เขาด้วย”
         บิดาพูดว่า “ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก แต่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก” (ลก 15 : 11-32)

 

74. เศรษฐีกับลาซารัส


     เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน  คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว  อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีมีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา  วันหนึ่งคนยากจนผู้นี้ตายทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม    เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้     เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก  จึง ร้องตะโกนว่า “ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้”  แต่อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดี ๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลว ๆ  บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน  ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่iขวางอยู่ ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย”
       เศรษฐีจึงพูดว่า “ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก  เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย”  อับราฮัมตอบว่า “พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด” แต่เศรษฐีพูดว่า “มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ”  อับราฮัมตอบว่า   “ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ”  (ลก 16 : 19-31)

 

75. ฟาริสีกับคนเก็บภาษี


    ครั้งหนึ่งพระเยซูเจ้าได้พบกับฟาริสีบางคน เขาเหล่านั้นคิดว่าได้ปฏิบัติพระบัญญัติของพระเจ้าแล้วและมักดูหมิ่นคนอื่นๆ    พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับเขาเหล่านั้นเป็นคำอุปมาว่า “มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี  ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้  ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า"  ส่วน คนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าได้แต่ข้อนอก พูดว่า "ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด"  เราบอกท่านทั้ง หลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับ  เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” (ลก 18 : 9-14)

 

 76. ความเชื่อของคนตาบอด

035
       ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินมาใกล้เมืองเยริโค ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง    เมื่อเขาได้ยินเสียงผู้คนผ่านมา เขาจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”มีคนบอกเขาว่า พระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา    คนตาบอดจึงร้องขึ้นว่า “ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิดท่านข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด”    ผู้คนที่เดินข้างหน้าได้ดุว่าเขาบอกให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า “พระโอรสชองกษัตริย์ดาวิดท่านข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด”     พระเยซูเจ้าทรงหยุดตรัสสั่งให้นำคนนั้นเข้ามา    เมื่อเขาเข้ามาใกล้พระองค์ตรัสถาว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้”    เขาทูลว่า”พระเจ้าข้าให้ข้าพเจ้ามองเห็นเถิด”    พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงมองเห็นเถิดความเชื่อของท่านช่วยทานให้รอดพ้นแล้ว”    ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้อีกและเดินตามพระองค์ไปพลางถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าประชาชนทั้งปวงเห็นเช่นนั้น ต่างร้องสรรเสริญพระเจ้า (ลก 18 : 35-43)

 

77. ศักเคียสกับการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา

036
       พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้น  ชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี เป็นคนมั่งมี  เขาพยายามมองดูว่าใครคือพระเยซูเจ้า แต่ก็มองไม่เห็นเพราะมีคนมากและเพราะเขาเป็นคนร่างเตี้ย  เขาจึงวิ่งนำหน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้า  เพราะพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงที่นั่น  ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรตรัสกับเขาว่า “ศักเคียส  รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้” เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี  ทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า  “เขาไปพักที่บ้านคนบาป” ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน และถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า” พระเยซูท่านตรัสว่า “วันนี้  ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว  เพราะคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วย  บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและเพื่อช่วยผู้ที่เสียไปให้รอดพ้น” (ลก 19 : 1-10)

 

 

book

70-77 นิทานเปรียบเทียบ

78-86 ปัสกาของพระเยซูเจ้า

66-69 ความเชื่อในพระองค์