Skip to main content

book

12-21 ประกาศกโมเสส

011

12. พระเป็นเจ้าช่วยชีวิตโมเสส

    โยเซฟและพี่ๆ ของเขาได้สิ้นชีวิตลง ลูกหลานของพวกเขาชาวอิสราเอลได้เจริญเติบโตอาศัยอยู่ในอียิปต์ ที่นั่นได้กลายเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่    วันเวลาผ่านไปหลายปี กษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ในอียิปต์ พระองค์มิได้ทรงรู้จักโยเซฟ ทรงประกาศแก่ประชาชนว่า "ดูซิ ชาวอิสราเอลมีจำนวนมากและมีกำลังมากกว่าเราดังนั้น ข้าจะต้องหยุดมัน สิ่งแรกที่กษัตริย์ฟาโรห์ทำก็คือ เกณฑ์ให้ชาวอิสราเอลทำงานตรากตรำและสร้างเมืองปิธมและราเมเสสให้พระเจ้าฟาโรห์ เพื่อเป็นคลังเก็บเสบียงอาหาร     ต่อมา พระองค์ได้ประกาศให้ฆ่าบุตรชายแรกเกิดของชาวอิสราเอลด้วยการถ่วงน้ำในแม่น้ำไนล์ และเมื่อเขาไม่มีบุตรชายที่จะเจริญเติบโตขึ้นมาทดแทน พระองค์ก็คิดว่าชนชาติอิสราเอลก็จะเสื่อมสลายหมดไป
    ได้มีมารดาคนหนึ่งต้องการจะช่วยชีวิตบุตรชายน้อยๆ ของเธอ ตอนแรกเธอจึงซ่อนบุตรนั้นไว้สามเดือน    เมื่อซ่อนไว้นานกว่านั้นไม่ได้แล้ว        นางจึงนำตะกร้าสานด้วยต้นกกมาแล้วยาด้วยยางมะตอยและชัน วางเด็กไว้ในตะกร้านั้นแล้วนำไปวางไว้ในพงอ้อริมฝั่งแม่น้ำ        พี่สาวของเด็กชื่อมีเรียมยืนคอยเฝ้าอยู่ห่าง ๆ เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก
    พระราชธิดาของพระเจ้าฟาโรห์เสด็จมาสรงที่แม่น้ำ ขณะที่บรรดานางกำนัลเดินไปตามริมแม่น้ำ พระราชธิดาทอดพระเนตรเห็นตะกร้าอยู่ในพงอ้อ จึงรับสั่งให้นางกำนัลไปนำมา  เมื่อทรงเปิดตะกร้าก็ทอดพระเนตรเห็นทารกกำลังร้องไห้อยู่ ก็ทรงสงสาร    พี่สาวของเด็กนั้นก็ทูลถามว่า “จะให้ดิฉันไปเรียกแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงเด็กนี้ให้พระองค์ไหมคะ” พระราชธิดาของพระเจ้าฟาโรห์รับสั่งว่า “ไปเรียกมาซิ” เด็กหญิงนั้นก็ไปเรียกมารดาของทารกมา พระราชธิดาของพระเจ้าฟาโรห์จึงตรัสกับนางว่า “จงนำเด็กคนนี้ไปเลี้ยงให้ฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้าง” หญิงนั้นก็นำทารกไปเลี้ยงไว้    เมื่อเด็กเติบโตพอสมควรแล้วนางก็นำไปถวายพระราชธิดาของพระเจ้าฟาโรห์ พระราชธิดาทรงรับเขาเป็นบุตร และทรงตั้งชื่อว่า โมเสส
    เมื่อโมเสสเติบโตมีอายุมากขึ้นก็พำนักอยู่ในพระราชวัง    เขาถูกเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ขึ้นเยี่ยงชาวอียิปต์ แต่เขาไม่เคยลืมว่าเขายังเป็นชาวฮีบรูผู้ซึ่งถูกบังคับให้ทำงานหนักเยี่ยงทาส    ครั้งหนึ่งเมื่อเขาเห็นชาวอียิปต์คนหนึ่งกำลังทุบตีชาวฮีบรู เพื่อนร่วมชาติของเขา โมเสสเกิดความเดือดดาลคนอียิปต์คนนั้นมาก เขาจึงฆ่าชาวอียิปต์คนนั้น        ดังนั้น เขาจึงต้องหนีไปอยู่ที่เมืองมีเดียน และทำงานเป็นคนเลี้ยงสัตว์ในบ้านชองบุโรหิตชื่อเยโธร (อพย 1-2)

 

13. พระเป็นเจ้าส่งโมเสสไป

012

    โมเสสเลี้ยงฝูงแพะแกะของเยโธร ผู้เป็นพ่อตาและสมณะแห่งมีเดียน วันหนึ่งเขาต้อนฝูงแพะแกะข้ามทะเลทรายไปถึงโฮเรบ ภูเขาของพระเจ้า    ที่นั่นเขาได้พบกับพุ่มไม้ที่เต็มไปด้วยหนามที่กำลังลุกเป็นไฟแต่พุ่มไม้นั้นกลับไม่ไหม้ไฟ    ด้วยความอยากรู้อยากเห็นโมเสสเดินเข้าไปใกล้ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า “โมเสส โมเสส เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” โมเสสยกมือขึ้นปิดหน้า ไม่กล้ามองดูพระเจ้า    แต่พระเจ้าก็ตรัสกับเขาว่า “เราสังเกตเห็นความทุกข์ยากของประชากรของเราในอียิปต์ เราได้ยินเสียงร้องเพราะความทารุณของนายงาน เรารู้ดีถึงความทุกข์ทรมานของเขา  เราลงมาช่วยเขาให้พ้นมือชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น ไปสู่แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่ ไปยังแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ไปยังที่อาศัยของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส  เราได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของชาวอิสราเอล และเห็นเขาถูกชาวอียิปต์ข่มเหงอย่างทารุณ  บัดนี้ เราจะส่งท่านไปเฝ้า.          พระเจ้าฟาโรห์ เพื่อนำชาวอิสราเอลประชากรของเรา ออกจากอียิปต์”
        โมเสสทูลพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่จะไปเฝ้าพระเจ้าฟาโรห์ และนำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์”  พระองค์ตรัสว่า “เราจะอยู่กับท่าน” แต่โมเสสก็มีข้อโต้แย้งกับพระเจ้าอีกว่า “เมื่อข้าพเจ้าไปหาชาวอิสราเอลแล้วบอกเขาว่า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงส่งข้าพเจ้ามาหาท่าน” ถ้าเขาถามข้าพเจ้าว่า “พระองค์ทรงพระนามว่าอะไรเล่า” ข้าพเจ้าจะตอบเขาอย่างไร  พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า ”เราคือเราเป็น”    แต่โมเสสยังไม่ต้องการจะเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า เขาจึงตอบพระเจ้าว่า “โปรดเถิดพระเจ้าข้า โปรดอภัยให้ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าพูดไม่คล่องทั้งในอดีตและตั้งแต่พระองค์เริ่มตรัสกับข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์แล้ว ข้าพเจ้าก็ยังพูดไม่คล่อง ทั้งพูดช้าและตะกุกตะกัก” แต่พระเจ้าก็ตอบเขาว่า “จงไปเถิด เราจะช่วยท่านพูด เราจะสอนท่านว่า จะต้องพูดอะไรบ้าง” แต่โมเสสทูลแย้งว่า "ขอทรงอภัยข้าพเจ้าด้วยเถิด พระเจ้าข้า โปรดส่งผู้อื่นไปเถิด"แต่พระเจ้าก็ได้ทรงเลือกโมเสส
        โมเสสได้กลับไปยังอียิปต์กับครอบครัวของเขา พี่ชายของเขาอาโรนได้มาพบเขาและก็ได้พูดคุยกันถึงเรื่องบรรพบุรุษของครอบครัวอิสราเอล โมเสสได้บอกเขาถึงเรื่องที่พระเจ้าของอับราฮัม อิศอัค และยาโคบได้สั่งให้เขาทำ โมเสสและอาโรนไปเรียกผู้อาวุโสชาวอิสราเอลทุกคนมาประชุมกัน  อาโรนเล่าถ้อยคำทุกประการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสให้บรรดาผู้อาวุโสฟัง และทำเครื่องหมายอัศจรรย์ทั้งหมดต่อหน้าประชาชน    ประชาชนจึงเชื่อเพราะรู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเยี่ยมชาวอิสราเอลและทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากของเขา เขาทั้งหลายจึงก้มลงกราบนมัสการพระองค์ (อพย 3)

 

14. จงปล่อยประชาชนของเราเป็นอิสระ

    ต่อมา โมเสสและอาโรนไปเฝ้าพระเจ้าฟาโรห์ทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ จงปล่อยประชากรของเราไปจัดงานเลี้ยงฉลองเป็นเกียรติแก่เราในถิ่นทุรกันดาร”  พระเจ้าฟาโรห์ตรัสว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นใครเล่า เราจึงต้องเชื่อฟังและปล่อยชาวอิสราเอลไป    เราไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าและจะไม่ปล่อยอิสราเอล เราจะให้พวกเขาทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อเขาจะได้ทำงานแทนที่จะไปคอยฟังคำหลอกลวง”
    ชาวอิสราเอลคร่ำครวญถึงภาระอันหนักที่เขาต้องแบกรับในครั้งนั้น โมเสสได้กลับไปหาพระเจ้าและพระองค์ได้สัญญากับเขาว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า  เรา ได้สำแดงตนแก่อับราฮัม อิสอัคและยาโคบว่า เราคือพระผู้ทรงสรรพานุภาพ ”เอล ชัดดาย (พระผู้ทรงสรรพานุภาพ)” แต่เราไม่ได้ให้เขารู้จักว่านามของเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจะนำเจ้าออกจากอียิปต์ เราจะรับเจ้าเป็นประชากรของเรา เจ้าจงจำไว้เสมอว่าเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะนำพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราได้สัญญาไว้ว่าเราจะให้แก่อับราฮัม แก่อิสอัคและแก่ยาโคบ เรายกแผ่นดินนั้นให้แก่เจ้า ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอด”
    พระเจ้าทำให้พระเจ้าฟาโรห์ได้รู้ถึงอำนาจของพระองค์ โดยให้เกิดภัยพิบัติ 9 ประการ คือ น้ำกลายเป็นเลือด ฝูงกบ ฝูงยุง ฝูงเหลือบ ฝูงสัตว์ของชาวอียิปต์ล้มตาย ฝีร้าย ลูกเห็บ ฝูงตั๊กแตน ความมืดสามวัน        พระเจ้าฟาโรห์ทราบดีถึงสาเหตุของความวิบัติครั้งนี้        เป็นเวลาสองถึงสามครั้งพระองค์แกล้งทำเป็นว่าพระองค์จะปล่อยให้ชาวอิสราเอลเป็นอิสระจากการเป็นทาส แต่เมื่อโรคระบาดสงบลงพระองค์ก็ผิดคำสัญญาอีก (อพย 5-11)

 

15. ปัสกาครั้งแรก

013

    พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “เดือนนี้ จะเป็นเดือนแรกสำหรับท่านทั้งหลาย เป็นเดือนเริ่มต้นปี  ท่านทั้งสองจงบอกชุมชนชาวอิสราเอลทั้งหมดว่า วันที่สิบเดือนนี้ แต่ละคนต้องเลือกลูกแกะหรือลูกแพะตัวหนึ่งสำหรับครอบครัวของตน หนึ่งตัวต่อหนึ่งครอบครัว    แล้วให้ชุมชนของชาวอิสราเอลทั้งหมดฆ่าลูกแกะนั้นในตอนเย็น  เอาเลือดทากรอบด้านข้างและด้านบนของประตูบ้านที่จะกินลูกแกะนั้น  คืนนั้น จงย่างเนื้อสัตว์นั้นแล้วกินกับขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม  อย่ากินเนื้อดิบหรือเนื้อต้ม แต่จงย่างไฟทั้งหัว ขาและเครื่องใน  อย่าให้มีส่วนใดเหลืออยู่จนกระทั่งเช้า ถ้ายังมีส่วนใดเหลือ ก็ให้เผาเสีย  ท่านทั้งหลายจงกิน โดยพร้อมที่จะเดินทาง คือคาดสะเอว สวมรองเท้า และถือไม้เท้า ท่านจงกินอย่างเร่งรีบ นี่เป็นปัสกาขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ในคืนนั้น เราจะผ่านทั่วแผ่นดินอียิปต์ และประหารบุตรคนแรกทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ทั้งของคนและสัตว์    เมื่อเราเห็นเลือด เราจะผ่านเลยไป ท่านจะพ้นจากภัยพิบัติที่ทำลาย ขณะที่เราลงโทษแผ่นดินอียิปต์  วันนี้จะเป็นวันที่ท่านทั้งหลายต้องจดจำไว้ ท่านต้องถือเป็นวันฉลองถวายพระเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านต้องฉลองเช่นนี้เป็นกฎถาวรชั่วลูกชั่วหลาน”
    ทุกสิ่งได้เป็นไปตามที่พระเจ้ารับสั่ง ครั้น ถึงเวลาเที่ยงคืน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประหารบุตรชายคนแรกทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่โอรสองค์แรกของพระเจ้าฟาโรห์ ผู้ประทับบนพระบัลลังก์ ไปจนถึงบุตรชายคนแรกของนักโทษในคุกใต้ดินและลูกตัวแรกของสัตว์ทั้งปวง        คืนนั้นชาวอียิปต์ทั้งหมดร่ำไห้กับการจากไปของบุตรชายของเขา    ในคืนนั้นเอง พระเจ้าฟาโรห์ทรงเรียกโมเสสและอาโรนเข้าเฝ้า ตรัสว่า "ท่านทั้งสองและชาวอิสราเอล จงรีบออกไปจากประชาชนของเรา จงไปนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่ท่านขอเถิด จงต้อนฝูงแพะแกะและฝูงโคไปด้วยตามที่ท่านได้ขอไว้ จงไปเถิดและจงขอพรให้เราด้วย” ชาวอิสราเอลได้รวมตัวกันและเดินทางออกจากอียิปต์    
    ประชาชนอิสราเอลไม่เคยลืมคืนแรกของการเป็นอิสระ (First Passover Night) มารดาและบิดาไม่เคยลืมว่าพรเจ้าได้ช่วยชีวิตบุตรชายหัวปีของตนไว้อย่างไร    และเขาจะนำบุตรชายคนแรกที่เกิดมาหาพระเจ้าและถวายบุตรนั้นแก่พระองค์    ทุกปีพวกเขาจะฉลองปัสกา ฉลองการอพยพ และเขาได้บอกแก่ลูกหลานของเขาว่าด้วยพระหัตถ์อันทรงอำนาจของพระเจ้าได้ปล่อยให้พวกเขาได้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์ (อพย 12-13)

 

16. พระเจ้าทรงช่วยประชากรของพระองค์

014

    ต่อมาพระเจ้าฟาโรห์เกิดเปลี่ยนพระทัยไม่ยอมปล่อยให้ชาวอิสราเอลไป พระองค์ทรงสั่งให้รวบรวมทหารและรถศึกยอออกติดตามชาวอิสราเอลไป ชาวอิสราเอลได้ตั้งค่ายพักอยู่ข้างทะเลใกล้ปีหะโรท เบื้องหน้าบาอัลเซโฟน        เมื่อพระเจ้าฟาโรห์ทรงเข้ามาใกล้ ชาวอิสราเอลเงยหน้าขึ้นดู แลเห็นชาวอียิปต์ไล่ตามมา ก็มีความกลัวยิ่งนัก เพราะว่าเขาถูกล้อม ด้านหน้าเป็นทะเล ด้านหลังของเขาเป็นกองทัพอันยิ่งใหญ่ของศัตรู เขาได้บ่นกับโมเสสว่า เหตุใดท่านจึงนำเรามาสู่ความหายนะครั้งนี้? พวกเราทั้งหมดจะถูกฆ่าที่นี่ แต่โมเสสกล่าวกับเขาว่า อย่างกลัว วันนี้ท่านจะเป็นประจักษ์พยานให้เห็นถึงอำนาจของพระเจ้าที่จะคุ้มครองท่าน
    โมเสสยื่นมือไปเหนือทะเล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดแรงตลอดคืน ทำให้น้ำทะเลไหลกลับไป และทำให้ทะเลกลับเป็นพื้นดินแห้ง น้ำแยกจากกัน  ชาวอิสราเอลก็เดินบนพื้นดินแห้งกลางทะเล โดยมีน้ำอยู่ด้านขวาและด้านซ้าย เป็นเหมือนกำแพง  ชาวอียิปต์ไล่ตามชาวอิสราเอลลงไปในทะเล พร้อมกับม้าทั้งหมดของพระเจ้าฟาโรห์ รถศึกและผู้ขับขี่    แต่ทางเดินที่ชาวอิสราเอลเดินผ่านไปได้ด้วยความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้าได้กลายเป็นทางมรณะของคนอียิปต์    น้ำไหลกลับท่วมรถศึก ผู้ขับขี่ กับกองทัพทั้งหมดของพระเจ้าฟาโรห์ที่ไล่ตามชาวอิสราเอลลงไปในทะเล ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตเลย    ชาวอิสราเอลได้มีประสบการณ์ว่าพระเจ้าได้ช่วยชีวิตเขาอย่างไร มีเรียมประกาศกหญิงพี่สาวของอาโรนตีกลองรำมะนา บรรดาสตรีก็ตีกลองรำมะนาเดินตามพร้อมกับเริงระบำ    มีเรียมก่อบทเพลงให้เขาร้องรับว่า"จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่พระองค์ทรงโยนม้าและผู้ขับขี่ลงทะเล” (อพย 14-15)

 

17. พระเจ้าทรงห่วงใยประชากรของพระองค์

    จากทะเลต้นกก เดินทางเข้าไปสู่ถิ่นทุรกันดารชูร์ เขาเดินทางในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสามวันก็ไม่พบน้ำ  เมื่อเขามาถึงมาราห์ เขาไม่อาจดื่มน้ำที่มาราห์ได้ เพราะน้ำนั้นขม เพราะเหตุนี้บ่อน้ำที่นั่นจึงมีชื่อว่ามาราห์   ประชากรก็บ่นว่าโมเสสว่า “เราจะดื่มอะไรเล่า”  โมเสสอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงชี้ให้เขาเห็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง เขาจึงโยนท่อนไม้นั้นลงไปในน้ำ น้ำนั้นก็หายขมและสามารถดับความกระหายของพวกเขา
    ชุมชนชาวอิสราเอลต่างต่อว่าโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร  ชาว อิสราเอลพูดกับเขาทั้งสองว่า “พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าประหารพวกเราในแผ่นดินอียิปต์เมื่อนั่งอยู่ รอบหม้อเนื้อและกินอิ่มยังดีกว่าที่ท่านพาพวกเราออกมาในถิ่นทุรกันดารนี้ เพื่อให้พวกเราทุกคนอดตาย”        องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสแก่โมเสสว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้มีอาหารตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนให้ท่านทั้งหลายกิน ทุกวันประชากรต้องออกไปเก็บอาหารให้พอกินในวันนั้น” เย็นวันนั้น ฝูงนกคุ่มบินมาจนเต็มค่าย   ในเวลาเช้ามีน้ำค้างแผ่อยู่ทั่วไปรอบค่ายพัก  เมื่อน้ำค้างระเหยแล้ว ก็เห็นมีเกล็ดเป็นเม็ดเล็ก ๆ บนผิวดินในถิ่นทุรกันดาร เหมือนน้ำค้างที่จับแข็ง    ชาวอิสราเอลเรียกอาหารนั้นว่า “มานนา” มีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชีสีขาว รสเหมือนกับขนมปังกรอบผสมน้ำผึ้ง    ทุกคนมารวมตัวกันและทุกคนก็มีอาหารอย่างพอเพียง    และมิใช่เพียงแต่วันนั้นเท่านั้น แต่ทุกๆ วันตลอดสี่สิบปีที่ชาวอิสราเอลต้องมีชีวิตอยู่ในถิ่นทุรกันดารนั้น    พระเจ้าประทานมานนาและเนื้อให้กับพวกเขาตลอดเวลา
    นับแต่นั้นมาพ่อแม่ก็บอกลูกหลานของตนว่า พระเจ้ามีความห่วงใยชนชาติของเขาอย่างไร และพระองค์ก็ยังมีความห่วงใยจนตราบเท่าทุกวันนี้    ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทุกคนควรจะได้เรียนรู้ว่าเขาสามารถไว้วางใจพระเจ้าได้ และเชื่อใจในความช่วยเหลือของพระองค์ (อพย 15 : 22 – 16 : 36)

 

18. พระเจ้าทรงเลือกประชากร

015

    ประชาชนชาวอิสราเอลได้เดินทางผ่านทะเลทราย จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งตลอดเวลา    วันแรกของเดือนที่สามหลังจากที่ชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ เขามาถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย ตั้งค่ายอยู่ในถิ่นทุรกันดารด้านหน้าภูเขา    โมเสสขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าบนภูเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกเขาจากภูเขาว่า ”จงบอกชาวอิสราเอลลูกหลานของยาโคบว่าดังนี้  ท่านทั้งหลายเห็นแล้วว่า เราได้ทำต่อชาวอียิปต์อย่างไร และเรานำท่านมาหาเราที่นี่เหมือนนกอินทรีที่พยุงลูกอ่อนขึ้นไว้บนปีก    ถ้าท่านเชื่อฟังเราและรักษาพันธสัญญาของเราไว้ ในบรรดาประชาชาติทั้งมวล ท่านจะเป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของเรา ท่านจะเป็นอาณาจักรสมณะ เป็นชนชาติศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรา”    
    เมื่อโมเสสลงจากภูเขาและบอกให้เขารู้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาทุกประการ    ประชากรทั้งหมดก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราจะทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส”    ที่ภูเขาซีนาย พระเจ้าได้ให้พระบัญญัติของพระองค์แก่พวกเขา พระบัญญัตินั้นสำหรับประชาชนทุกคนและตลอดไป    ผู้ใดมีความไว้วางใจในพระเจ้าก็จะเห็นว่าพระเจ้าทรงวางไว้ใจในพวกเขา    พระเจ้าตรัสว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เป็นผู้นำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ ให้พ้นจากการเป็นทาส”


1. ท่านต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา    ท่านต้องไม่ทำรูปเคารพสำหรับตน ไม่ว่าจะเป็นรูปสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งอยู่ในท้องฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งอยู่ในแผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน  ท่านต้องไม่กราบไหว้รูปเคารพหรือนมัสการรูปเหล่านั้น เพราะเรา คือองค์พระผู้เป็นเจ้า


2. ท่านต้องไม่กล่าวพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างไม่เหมาะสม เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงละเว้นโทษผู้ที่กล่าวพระนามของพระองค์อย่างไม่เหมาะสม


3. จงระลึกถึงวันสับบาโตว่าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์  ท่านจะต้องออกแรงทำงานทั้งหมดในหกวัน  แต่วันที่เจ็ดเป็นวันพักผ่อนที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าของท่าน ในวันนั้น ท่านต้องไม่ทำงานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าน บุตรชาย บุตรหญิง บ่าวไพร่ชายหญิง สัตว์ใช้งานหรือคนต่างถิ่นที่อาศัยอยู่กับท่าน


4. จงนับถือบิดามารดา เพื่อท่านจะได้มีอายุยืนอยู่ในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านประทานให้ท่าน


5. อย่าฆ่าคน


6. อย่าล่วงประเวณี


7. อย่าลักขโมย


8. อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน


9. อย่าโลภมักได้ภรรยาของเพื่อนบ้าน


10. อย่าโลภมักได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้าน หรือบ่าวไพร่ชายหญิง โค ลา หรือทรัพย์สินใดที่เป็นของเพื่อนบ้าน


      โมเสสสลักพระบัญญัติของพระเจ้าที่ให้แก่ประชาชนลงบนแผ่นหินสองแผ่นเขาได้วางแผ่นหินที่พระแท่นศักดิ์สิทธิ์แห่งพันธสัญญาเป็นเครื่องแสดงถึงพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทำไว้กับชนชาวอิสราเอล (อพย 19-20)

 

 19. กฎแห่งชีวิต

    ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้ามีเพียงพระองค์เดียว  ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน สุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดกำลังของท่าน (ฉธบ 6 : 4-5) 
     เมื่อท่านล้อมเมืองใดเมืองหนึ่งเป็นเวลานานแล้วโจมตีเพื่อจะยึดได้ ท่านจะต้องไม่ใช้ขวานโค่นไม้ผลรอบ ๆ เมืองนั้น ท่านจะกินผลไม้ได้ แต่อย่าโค่นต้นไม้เลย เพราะต้นไม้ไม่ใช่ศัตรูของท่านที่จะต้องทำลาย (ฉธบ 20 : 19)
    ท่านจะต้องไม่ข่มเหงหญิงม่ายหรือลูกกำพร้า  ถ้าท่านข่มเหงเขา เขาจะร้องขอความช่วยเหลือจากเรา เราจะฟังเสียงร้องขอของเขาอย่างแน่นอน (อพย 22 : 22ff)
    ถ้าท่านเห็นโคหรือแกะของพี่น้องของท่านพลัดหลงไป ท่านจะต้องไม่นิ่งเฉย แต่ต้องเอาใจใส่นำมาคืนให้เขา (ฉธบ 22 : 1)
    ท่านจะต้องไม่โกงคนยากจนและลูกจ้างที่ขัดสน ทั้งที่เป็นพี่น้องชาวอิสราเอลและที่เป็นคนต่างด้าวอาศัยอยู่ในแผ่นดินและในเมืองของท่าน  ท่านจะต้องจ่ายค่าจ้างให้เขาทุกวันก่อนดวงอาทิตย์ตก เพราะเขาเป็นคนยากจนและต้องการเงินนั้น มิฉะนั้น เขาจะทูลฟ้องร้องท่านต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และท่านจะมีความผิด (ฉธบ 24 : 14-15)
    เมื่อท่านเขย่าต้นมะกอกเทศเพื่อเก็บผล หรือ เมื่อท่านเก็บผลองุ่น ท่านจะต้องไม่กลับไปเก็บเป็นครั้งที่สอง ผลที่เหลือไว้จะเป็นของคนต่างด้าว ลูกกำพร้าและหญิงม่าย  (ฉธบ 24 : 20-21)
    ท่านจะต้องไม่ข่มเหงคนต่างด้าวที่เข้ามาอาศัยอยู่ในแผ่นดินของท่าน ท่านจะต้องปฏิบัติต่อคนต่างด้าวเหมือนท่านปฏิบัติต่อชาวอิสราเอลด้วยกัน และรักเขาเหมือนรักตนเอง อย่าลืมว่าท่านทั้งหลายเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์มาแล้ว เราคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน (ลนต 19 : 33-34)
    ท่านจะต้องไม่สาปแช่งคนหูหนวก ผู้ซึ่งไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ เจ้าอย่าเอาของไปวางขวางทางเดินของคนตาบอด ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุทำให้เขาต้องสะดุดหกล้ม (ลนต 19 : 14)
    ท่านจะต้องไม่เก็บความเกลียดชังพี่น้องไว้ในใจ แต่จงตักเตือนเพื่อนบ้านอย่างตรงไปตรงมา ท่านจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบบาปของเรา  ท่านจะต้องไม่แก้แค้น หรืออาฆาตชนชาติเดียวกับท่าน แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง (ลนต 19 : 17-18)

 

20. การสิ้นชีวิตของโมเสส

016

    พระเป็นเจ้าทรงปลดปล่อยประชากรของพระองค์ให้พ้นจากการเป็นทาสของอียิปต์ เป็นเวลา 40 ปีที่ชาวอิสราเอลอยู่ในทะเลทรายและได้เรียนรู้ว่าพวกเขาสามารถจะเชื่อและไว้ใจในพระเจ้าได้ เขาได้เรียนรู้ถึงวิธีที่จะอยู่เคียงข้างคนอื่นๆ     ชายหญิงที่ออกจากอียิปต์มากับโมเสสได้สิ้นชีวิตในทะเลทราย โมเสสเองก็มีอายุมากแล้ว     เขารู้วาเขาจะต้องตายในไม่ช้า เขาจึงให้พรประชาชนของเขากล่าวว่า “อิสราเอลเอ๋ย ท่านมีความสุข    ประชากรที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้นเอ๋ย ใครเหมือนท่านบ้าง    พระองค์ทรงเป็นโล่ปกป้องท่าน ทรงเป็นดาบที่นำชัยชนะมาให้ท่าน    บรรดาศัตรูจะพูดถ้อยคำเอาใจท่าน แต่ท่านจะเหยียบบนหลังของเขา”
    เสร็จแล้วเขาก็ขึ้นจากที่ราบโมอับไปบนยอดเขาเนโบ  ที่นั่นพระเจ้าได้ให้เขาเห็นแผ่นดินทั้งหมดของคานาอันซึ่งพระองค์ได้เคยสัญญาไว้กับประชากรของพระองค์  โมเสสได้สิ้นชีวิตลงที่ชายเขตของแผ่นดินในพระพันธสัญญา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “นี่คือแผ่นดินที่เราสาบานแก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบว่า จะยกให้แก่บุตรหลานของเขา เราให้ท่านเห็นกับตาของท่าน แต่ท่านจะไม่ได้เข้าไป” ชาวอิสราเอลไว้ทุกข์ให้โมเสส ณ ที่ราบโมอับเป็นเวลาสามสิบวัน (ฉธบ 33-34)

 

21. ในแผ่นดินพันธสัญญา

    ก่อนที่โมเสสจะสิ้นชีวิต เขาได้แต่งตั้งให้โยชูอาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเขาเขาได้นำชาวอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินของคานาอันที่ซึ่งอับราฮัม อิสอัคและยาโคบได้เคยอาศัยอยู่    แต่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในคานาอันไม่ต้องการให้ชาวอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินของพวกเขา        แต่ชาวอิสราเอลภายใต้การนำของโยชูอามีความเชื่อในพันธสัญญาของพระเป็นเจ้า แม้ว่าพวกคานาอันจะไม่ยอมออกไปจากผืนแผ่นดินนั้น    ทีละเล็กทีละน้อยพวกเขาก็ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน  พวกเขาได้สร้างหมู่บ้านของตนเองขึ้นที่นั่นและมีชีวิตอยู่อย่างเกษตรกร หรือ ชาวนาชาวไร่อย่างเดียวกับพวกคานาอัน
    ชาวยิวสามารถเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากชาวคานาอัน เช่น เมื่อใดถึงควรจะปลูก?  เมื่อใดควรจะเก็บผลองุ่น? จะทำเครื่องใช้ดีๆ ได้อย่างไร? จะประกอบอาหารอย่างไร? และจะแต่ตัวอย่างไร? แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เลียนแบบจากพวกคานาอัน คือ พวกเขาจะต้องยังคงมีความเชื่อและความไว้วางใจในพระธรรมบัญญัติของพระเจ้า    พวกเขาจะไม่เคารพบูชาพระเจ้าของพวกคานาอัน หรือ รับใช้พระเจ้าของคานาอัน    ชาวอิสราเอลพบว่ามันเป็นการยากที่จะรักษาพระธรรมบัญญัติ    ชาวคานาอันมีที่สำหรับบูชาทั่วแผ่นดิน บนภูเขา ใต้ต้นไม้    พวกคานาอันทำการสักการบูชาพระเจ้าของเขาที่นั่น สวดภาวนาอธิษฐานขอฝนและผลเก็บเกี่ยวที่ดี
    ชาวอิสราเองได้พบสิ่งใหม่บางอย่างในช่วงระยะเวลาเหล่านี้ว่า ตราบใดที่เขามีความเชื่อใจในพระเจ้าของอับราอัม อิสอัคและยาโคบ พระองค์จะให้พระพรแก่เขาและปกป้องเขา    แต่เมื่อเขาไม่มีความเชื่อไว้ใจ เขาจะได้รับความทุกข์ยากและมีชีวิตที่ลำเค็ญ    แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาหันหน้ามาหาพระองค์และยอมรับผิดและร้องขอให้พระองค์ให้อภัย    พระองค์จะหันหน้ากลับมามองพวกเขาอีกครั้งและก็ทรงประทานพระพรของพระองค์แก่พวกเขา (ยชว)

 

 

 

 

book

12-21 ประกาศกโมเสส

◀️ 22-25 กษัตริย์ของชาวอิสราเอล - ซาอูล-ดาวิด

09-11 พระอัยกา - อิสอัค เอซาว และยาโคบ ▶️