Skip to main content

book

26-35 กษัตริย์ของชาวอิสราเอล - ซาโลมอน-กษัตริย์องค์อื่นๆ

018

26. ซาโลมอนสร้างพระวิหารของพระเจ้า

 

    กษัตริย์ดาวิดได้สิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้ในกรุงเยรูซาเล็ม    โอรสของพระองค์ซาโลมอนก็ได้ขึ้นปกครองอิสราเอล
    ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ที่ฉลาด พระองค์ทราบดีว่าอะไรถูกและอะไรผิด    ในกรุงเยรูซาเล็มพระองค์ได้สร้างพระราชวังสำหรับพระองค์    และได้สร้างพระวิหารสำหรับพระเจ้าด้วยและพระองค์ได้นำพระแท่นศักดิ์สิทธิ์แห่งพันธสัญญาเข้ามาประดิษฐานไว้    และในวันที่พระวิหารได้รับการเสกซาโลมอนก็ได้สวดภาวนาอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ได้สัญญาไว้ว่าพระองค์จะทรงประทับอยู่ใกล้เหล่าข้าพระองค์ในพระวิหารนี้    โปรดทรงฟังเสียงร้องและคำอธิษฐานภาวนาซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์กราบทูลเฉพาะพระพักตร์ในวันนี้เถิด โปรดทรงฟังคำวอนขอของผู้รับใช้และของอิสราเอลประชากรของพระองค์ เมื่อเขาอธิษฐานในสถานที่แห่งนี้    โปรดทรงฟังและประทานอภัย หากได้ทำผิดด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
    ซาโลมอนไม่ต้องการทำสงครามดังเช่นดาวิดพระบิดาของพระองค์ได้ทำมาในอดีต    พระองค์ได้ทำสนธิสัญญากับประเทศต่างๆ     พระองค์ทรงสนพระทัยทางด้านการค้าและได้ส่งเรือข้ามทะเลไปยังที่ต่างๆ    พระองค์ได้นำคนงานจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศของพระองค์และแต่งงานกับหญิงต่างชาติชาวต่างชาติผู้ซึ่งซาโลมอนได้นำเข้ามาในประเทศต้องการจะเคารพบูชาพระเจ้าของเขาเอง    ซาโลมอนก็ทรงอนุญาตให้เขาสร้างพระแท่นของพระเจ้าของเขาในแผ่นดินชองอิสราเอลได้    ซาโลมอนเองบางครั้งก็ร่วมสวดอธิษฐานกับพระเจ้าของชาวต่างชาติและถวายสักการะบูชาพระเจ้าของพวกเขาด้วย    ดังนั้นพระองค์จึงเป็นคนทรยศต่อพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เดียว    พระองค์เป็นคนทำลายพันธสัญญาของพระเจ้า (1 พกษ 5-11)

 

27. สุภาษิตของซาโลมอน

    บุตรที่มีปรีชาทำให้บิดายินดี บุตรที่โง่เขลาทำให้มารดาเศร้าโศก (สภษ 10 : 1)
ความเกลียดชังก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท
    แต่ความรักให้อภัยการล่วงละเมิดทุกอย่าง (สภษ 10 : 12)
ผู้มีใจกว้างย่อมร่ำรวย
    ผู้ให้น้ำดับกระหายผู้อื่นย่อมได้รับน้ำดับความกระหายของตน (สภษ 11 : 25)
ผู้ดำเนินชีวิตสุจริตย่อมยำเกรงพระยาเวห์
    ผู้หันเหจากหนทางของพระองค์ย่อมดูหมิ่นพระองค์ (สภษ 14 : 2)
ผู้ดูหมิ่นเพื่อนบ้านก็ทำบาป    คนจำนวนมากรักคนร่ำรวย (สภษ 14 : 21)
ผู้ใดอุดหูไม่ฟังเสียงร้องของคนยากจน
    เมื่อผู้นั้นร้องก็จะไม่มีผู้ใดฟังเขา (สภษ 21 : 13)

 

28. กษัตริย์สองพระองค์ในชาติเดียวกัน

    หลังจากกษัตริย์ซาโลมอนสิ้นพระชนม์ เรโหโบอัมพระราชโอรสต้องการจะเป็นกษัตริย์ในกรุงเยรูซาเล็ม    เหล่านักปราชญ์ได้ถวายคำแนะนำแก่พระองค์ว่า ในสมัยพระบิดาของท่านได้เรียกร้องเครื่องบรรณาการมากมายจากชาวนา  และเก็บภาษีอย่างรุนแรงจากพ่อค้า ถ้าพระองค์เรียกร้องให้น้อยลงชาวอิสราเอลทั้งหมดก็จะยอมรับท่านเป็นกษัตริย์ของพวกเขา
    แต่โรโหโบอัมไม่ยอมฟังคำแนะนำของเหล่าผู้เฒ่านักปราชญ์    ดังนั้น ชนชาติต่างๆ จำนวนสิบเผ่าที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือของประเทศจึงพูดกันว่า เราไม่ต้องการกษัตริย์ที่มาจากพระราชวังของดาวิด เราจะเลือกกษัตริย์ของเราเอง คงเหลือแต่เผ่ายูดาห์ซี่งได้รับการตั้งชื่อตามบุตรชายของยาโคบและอาศัยอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็มเท่านั้นที่ยังจงรักภักดีต่อเรโหโบอัม    และนับแต่นั้นมาก็มิใช่มีกษัตริย์องค์เดียวครองกรุงเยรูซาเล็ม แต่ยังมีกษัตริย์อีกองค์หนึ่งในเมืองเซเคมหรือสะมาเรีย

 

29. พระเจ้าผู้ทรงชีวิต

    เยโรโบอัมกษัตริย์องค์แรกของชนเผ่าทางภาคเหนือได้พูดกับตนเองว่า “มันเป็นการไม่ดีเลยที่ประชาชนของอาณาจักรของเราต้องไปที่พระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม    เมื่อเขาต้องการประกอบพิธีทางศาสนาหรือการสักการะบูชา ดังนั้นพระองค์จึงสร้างรูปลูกวัวทองคำขึ้นสองตัว ตัวหนึ่งอยู่ทางด้านเหนือของอาณาจักรที่เมืองดาน และอีกตัวหนึ่งอยู่ทางใต้ที่เมืองเบธเอล    แล้วพระองค์ทรงประกาศแก่ประชาชนทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายไม่จำเป็นต้องเดินทางขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มอีกต่อไปแล้ว เมื่อท่านต้องการจะฉลองเทศกาลทางศาสนาหรือสักการะบูชา    ท่านจะพบพระเจ้าของท่านที่เมืองดานและเบธเอล    พระเจ้าองค์เดียวกันที่ได้นำบรรพบุรุษของท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์”
    แต่ปรากฏว่าชาวอิสราเอลบางคนไม่ยอมเชื่อฟังกษัตริย์เยโรโบอัม เพราะพวกเขายังจำได้ว่าพระเจ้าทรงห้ามพวกเขาไม่ให้ทำรูปพระเท็จเทียมใดอีกเหมือรนกับที่อียิปต์เคยทำมาแล้ว    พวกเขารู้ว่าเขาจะทำผิดพันธสัญญาถ้าเขาเปลี่ยนใจจากพระเจ้าผู้ทรงชีวิตเพื่อพระเจ้าที่ใช้ชีวิต (1 พกษ 12, อพย 32-34)

 

30. พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ

    กษัตริย์แห่งอิสราเอลหลายองค์มักจะลืมพระเจ้าและพันธสัญญาของพระองค์    แต่พระเจ้ายังคงรักษาพันธสัญญาของพระองค์    พระองค์ได้ส่งบรรดาประกาศกให้มาพูดกับกษัตริย์และประชาชนในนามของพระองค์
    กษัตริย์อาหับเป็นอีกองค์หนึ่งที่ทำการเคารพรูปบูชาพระบาอัล    เอลียาห์เป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า    เขาไปเฝ้ากษัตริย์อาหับและทูลว่า”พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลซึ่งข้าพเจ้ารับใช้ทรงพระชนม์อยู่ฉันใด จะไม่มีน้ำค้างหรือฝนตกในปีต่อๆ ไป จนกว่าที่ข้าพเจ้าจะสั่งฉันนั้น”
    เอลียาห์มีความเกรงกลัวอำนาจของกษัตริย์    เขาจึงได้หนีข้าไปยังโฟนีเซีย ที่นั่นเขาได้อาศัยอยู่กับหญิงยากจนคนหนึ่ง เธอเป็นม่ายและมีบุตรชายอยู่คนหนึ่งต่อมาบุตรชายของนางป่วยแล้วก็ตาย แล้วหญิงคนนั้นก็บ่นกับเอลียาห์ว่า “ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า ท่านต้องการอะไรจากดิฉัน ท่านมาที่นี่เพื่อเตือนให้ดิฉันระลึกถึงความผิด เพื่อฆ่าลูกชายของดิฉันหรือ” เอลียาห์รับเด็กมาจากอ้อมกอดของนาง อุ้มไปวางบนเตียงของตนในห้องชั้นบนที่เขาพักอยู่ เอลียาห์นอนทับเด็กคนนั้นสามครั้งแล้วร้องเรียกพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอให้เด็กมีลมหายใจอีกครั้งหนึ่งเถิด”     พระยาห์เวห์ทรงฟังเสียงร้องของเอลิยาห์ เด็กก็มีลมหายใจอีกครั้งหนึ่ง เขาก็มีชีวิต    เอลียาห์นำเด็กจากห้องชั้นบนลงไปชั้นล่างและมอบให้มารดา (1 พกษ 17)

 

31. พระเจ้าเที่ยงแท้แต่ผู้เดียว

019

    ต่อมาในปีที่สาม พระจ้าได้ส่งเอลียาห์ไปหากษัตริย์อาหับอีกครั้ง กษัตริย์อาหับกล่าวกับเอลียาห์ว่า “อยู่นี่เอง เจ้าคนนำความวุ่นวายมาสู่อิสราเอล” แต่เอลียาห์ทูลตอบพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ก่อความวุ่นวายให้อิสราเอล พระองค์กับราชวงศ์ต่างหาก    เพราะไม่ทรงปฏิบัติตามตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ ไปติดตามพระบาอัล    บัดนี้ขอมีพระบัญชาให้ชาวอิสราเอลทั้งหมดมาชุมนุมกันกับข้าพเจ้าที่ภูเขาคาร์แมลพร้อมกับประกาศกของพระบาอัลอีกสี่ร้อยห้าสิบคนและประกาศกของเทพีอาเชราห์สี่ร้อยคน    เอลียาห์ทูลว่า “จงสร้างพระแท่นแล้วนำสัตว์ที่ท่านจะถวายลงบนแท่น แล้วก็ให้ท่านภาวนาอธิษฐานขอพระเจ้าของท่านให้ส่งไฟลงมาจากสวรรค์และรับการบูชาถวายของท่าน    ประกาศกของพระบาอัลได้สร้างพระแท่นขึ้นมาแล้วก็เอาสัตว์ที่จะถวายบูชาขึ้นไปวาง แล้วพวกเขาก็เริ่มภาวนาอธิษฐานตั้งแต่รุ่งเช้าจนเที่ยงวันและจากเที่ยงวันจนถึงเย็นว่า “ข้าแต่พระบาอัล โปรดตอบข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย” แต่ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    ในตอนเย็น เอลียาห์ก็ได้สร้างพระแท่นขึ้นแท่นหนึ่งถวายแด่พระนามของพระยาห์เวห์ เขาวางสัตว์ที่เขาจะถวายบูชาบนพระแท่นสั่งว่า “จงตักน้ำมาสี่ถังเทลงบนเครื่องบูชาและฟืน” จำนวนสามครั้ง แล้วเอลียาห์ก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและอิสราเอล วันนี้โปรดสำแดงให้เขาทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในหมู่ชาวอิสราเอล และข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ทุกคนจะได้รู้ว่าข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งเหล่านี้ตามพระบัญชาของพระองค์  ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดทรงตอบข้าพเจ้าเถิด โปรดทรงตอบข้าพเจ้า เพื่อประชากรเหล่านี้จะได้รู้ว่าพระองค์ พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าและทรงบนดาลให้เขากลับใจมาหาพระองค์”    พระยาห์เวห์ทรงส่งไฟลงมาเผาเครื่องบูชา ฟืน หินและฝุ่นจนหมด ประชากรทุกคนเห็นดังนั้นก็ซบหน้าลงจรดพื้นดินร้องว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า”    ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มีเมฆมืดครึ้ม ลมพัดแรงแล้วฝนก็ตกหนัก (1 พกษ 18)

 

32. พระเจ้าทรงรับเอลียาห์ไปจากโลกนี้

    เอลียาห์ตระหนักถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะเรียกเขากลับไปหาพระองค์    เขาได้เดินทางเข้าไปบริเวณที่ห่างไกลจากจอร์แดน    เขาต้องการจะอยู่ตามลำพัง แต่เอลีชาศิษย์ของเขาไม่ต้องการปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพัง เขาจึงไปกับเอลียาห์    เอลีชามองเห็นรถม้าเพลิงคันหนึ่งเทียมม้าเพลิงปรากฏขึ้น แยกคนทั้งสองออกจากกัน เอลียาห์ถูกยกขึ้นบนฟ้าในพายุหมุน
    เมื่อเอลีชาเดินทางข้ามแม่น้ำจอร์แดนตามลำพัง เขาได้พบประกาศกจำนวนห้าสิบคน พวกเขาถามว่าเอลียาห์อยู่ไหน? ขอให้เราไปตามหาเขา” แต่เอลีชาตอบเขาว่า พวกท่านจะหาเขาไม่พบ เป็นเวลาสามวันเต็มที่พวกเขาพยายามค้นหาเอลียาห์แต่พวกเขาก็ไม่ได้พบเอลียาห์ พวกเขากลับมาแล้วพูดว่า “พระเจ้าได้นำประกาศกกลับไปหาพระองค์แล้วโดยราชรถเพลิง”    นับแต่นั้นมา ประชาชนชาวอิสราเอลก็เชื่อว่าในวันสิ้นโลก พระเจ้าจะส่งเอลียาห์ผู้นำสารของพระองค์กลับมายังโลกอีก (2 พกษ 2)

 

33. การทวีขนมปัง

    มีชายคนหนึ่งมาหาประกาศกเอลีชา    ได้นำเอาขนมปัง 20 ก้อนทำจากข้าวบาร์เลย์ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวในปีนั้น และรวงข้าวที่เพิ่งเกี่ยวได้อีก 1 กระสอบมาให้ท่านเอลีชาพูดกับคนใช้ของตนว่า “จงนำไปให้ทุกคนกินเถิด” แต่ผู้รับใช้ของเขาแย้งว่า “ข้าพเจ้าจะนำอาหารแค่นี้ไปเลี้ยงคนหนึ่งร้อยคนได้อย่างไร?”    แต่เอลีชายังคงย้ำคำพูดของเขาต่อไปอีกว่า “จงแจกให้ทุกคนกินเถิด เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ ท่านทั้งหลายจะได้กินแล้วยังจะมีเหลืออีก” ผู้รับใช้จึงจัดอาหารให้ทุกคน ทุกคนกินและยังมีเหลืออยู่อีกตามที่พระยาห็เวห์ตรัสไว้ (2 พกษ 4 : 42)

 

34. เครื่องหมายของพระเจ้ากับประชากรของพระองค์

    ขณะที่อาหัสเป็นกษัตริย์    ครองกรุงเยรูซาเล็ม มีกษัตริย์สององค์ได้ประกาศสงครามกับอาหัส    พวกเขาได้ส่งทหารมาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม    หัวใจของกษัตริย์อาหัสและหัวใจของประชาชนสั่นไปด้วยความกลัวคล้ายกับต้นไม้ในป่าที่ลำต้นสั่นไปมา หรือ เมื่อโดนพายุแรงมากระทบกับมัน
    กษัตริย์อาหัสได้ไปตรวจดูคูน้ำและประกาศกอิสยาห์ก็ไปด้วย    เขาได้นำข่าวชองพระเจ้ามาบอกแก่กษัตริย์อาหัสว่า “จงสงบใจไว้และอย่ากลัว กษัตริย์ทั้งสองกำลังออกอุบายร้ายกับท่าน จงมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้า แล้วพระองค์จะภักดีต่อท่านด้วย    อิสยาห์ทูลว่า พระเจ้าจะให้หมายสำคัญอย่างหนึ่งแก่ท่าน หมายอะไรก็ได้ตามที่พระองค์ทรงขอเพื่อท่านจะได้มั่นใจว่าพระเจ้าจะช่วยท่าน    แต่กษัตริย์อาหัสทรงปฏิเสธที่จะได้รับสิ่งที่เสนอให้มา และตรัสว่า “ไม่ เราจะไม่ทูลขอหมายใดๆ จากพระเจ้า    แต่อิสยาห์ก็ยังยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ตามพระเจ้าก็จะให้เครื่องหมายแก่ท่าน ดูเถิด หญิงสาวนางหนึ่งจะตั้งครรภ์ นางจะคลอดบุตรชายคนหนึ่ง จงให้ชื่อเขาว่าอิมมานูแอล ซึ่งหมายความว่า พระเจ้าสถิตกับเรา (อสย 7)

 

35. ประกาศกอาโมสถูกกล่าวหา

    พระเจ้าตรัสว่า เป็นเวลาสามครั้งสี่ครั้งที่ยูดาห์ได้กระทำผิด เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์ของเรา เขาได้ปฏิเสธวาจาชองเรา และเขาไม่เชื่อฟังพระบัญญัติของเรา    เขายอมให้พระเท็จเทียมเป็นผู้นำทางของเขา เหมือนกับบรรพบุรุษของเขาในอดีต    ดังนั้น เราจะส่งไฟลงมาที่ยูดาห์และจะเผาพระราชวังของกรุงเยรูซาเล็มเสีย
    พระเจ้าตรัสว่า “เป็นเวลาสามครั้งสี่ครั้งที่ชาวอิสราเอลได้ทำผิด เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์    พวกเขาได้ผู้ชอบธรรมคนบริสุทธิ์เพื่อจะได้เงินมา  พวกเขาทั้งหลายได้เหยียบย่ำศีรษะของคนยากจนลงไปในฝุ่นของแผ่นดิน    และฉ้อโกงคนอ่อนแอจากสิทธิอันชอบธรรมของเขา
    และเราจะกดท่านลงในที่ที่ท่านอยู่เหมือนเกวียนที่บรรทุกฟ่อนข้าวอัดแน่นจมลงในดิน    แม้ผู้วิ่งเร็วที่สุดก็จะหนีไม่พ้น คนแข็งแรงที่สุดจะใช้กำลังของตนก็มิได้คนที่กล้าที่สุดก็จะหมดความกล้า (อมส 2)

 

 

 

 

 

book

26-35 กษัตริย์ของชาวอิสราเอล - ซาโลมอน-กษัตริย์องค์อื่นๆ

◀️ 36-40 การล้มสลายของกรุงเยรูซาเร็ม - อพยพ - กลับสู่มาตุภูมิ

22-25 กษัตริย์ของชาวอิสราเอล - ซาอูล-ดาวิด ▶️