สิริมงคลแห่งแม่พระ (Series)
02-02 พระแม่มารีอาคือชีวิตของเรา เพราะพระนางวอนขอความพากเพียรให้แก่เรา
ความพากเพียรจนถึงที่สุด (หรือการสิ้นใจในศีลในพรของพระเป็นเจ้า) เป็นของขวัญอันประเสริฐของพระเป็นเจ้า สังคายนาแห่งเมืองเทร้นท์ประกาศว่า พระคุณนี้มาจากคุณความดีของพระเป็นเจ้าเท่านั้น โดยที่เราไม่มีสิทธิ์จะรับเลย แต่นักบุญเอากูสตีโน บอกแก่เราว่า ผู้ที่แสวงหาพระหรรษทานแห่งความเพียรจนถึงที่สุดนี้เท่านั้นที่จะได้รับจากพระเป็นเจ้า ตามความเห็นของคุณพ่อซูอาเร้ส ผู้ที่แสวงหาพระหรรษทานนี้จะได้พบอย่างแน่นอน ถ้าเขาเพียงแต่หมั่นขอไปจนกระทั่งสิ้นชีวิต เพราะสิ่งที่เราต้องการทุกวัน เราต้องขอทุกวัน ตามข้อสังกตของเบลลามิน ถ้าพระหรรษทานที่พระเป็นเจ้าแจกจ่ายแก่มนุษย์ต้องผ่านมือแม่พระ เป็นความจริง (และข้าพเจ้าเองถือว่าเป็นความจริงอย่างแน่นอน ตามที่เขาถือกันโดยทั่วไปในเวลานี้ และดังที่ข้าพเจ้าจะพิสูจน์ในบทที่ 4 ของหนังสือเล่มนี้) เราก็ต้องถือว่าเป็นความจริงเช่นกันว่า เราอาจจะหวังได้รับพระหรรษทานอันใหญ่ยิ่งนี้คือความพากเพียร โดยอาศัยแม่พระเท่านั้น เราจะได้รับพระหรรษทานนี้อย่างแน่นอน ถ้าเราแสวงหาด้วยความไว้ใจจากมือของแม่พระเสมอไป พระนางสัญญาว่าจะประทานพระหรรษทานนี้ให้แก่ทุกคนที่รับใช้พระนางด้วยความซื่อสัตย์ในชีวิตนี้ โดยใช้คำของพระคัมภีร์ซึ่งพระศาสนจักรนำมาใช้กับพระนางในวันฉลองแม่พระปฏิสนินิรมล ว่า “ผู้ที่ทำงานอยู่ข้าง ๆ เราจะไม่ทำบาป ผู้ที่อธิบายเรา จะได้พบชีวิตนิรันดร”
ในการรักษาไว้ซึ่งชีวิตพระหรรษทานนั้น เราต้องมีความอดทนฝ่ายวิญญาณ เพื่อจะได้ต่อต้านศัตรูความรอดของเราซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมา แต่ความอดทนนี้เราจะได้รับก็โดยอาศัยแม่พระเท่านั้น บทสุภาษิตในพระคัมภีร์ให้ความแน่นอนใจในข้อนี้แก่เรา เพราะพระศาสนจักรเอาคำจากพระคัมภีร์บทนี้ไปใช้กับแม่พระ คือ “พละกำลังเป็นของเรา บรรดาราชาขึ้นครองราชย์โดยอาศัยเรา” คำว่า “พละกำลังเป็นของเรา” นั้นหมายความว่า พระเป็นเจ้าประทานของขวัญอันมีค่านี้แก่แม่พระ เพื่อพระนางจะได้แจกจ่ายให้แก่ผู้ที่รับใช้พระนางอย่างซื่อสัตย์ คำว่า “บรรดาราชาขึ้นครองราชย์โดยอาศัยเรา” หมายความว่า ผู้รับใช้ของพระนางจะอยู่เหนือและบังคับความรู้สึกและราคตัณหาของตนโดยอาศัยพระนาง ดังนั้นเขาจึงจะได้สวยสุขชั่วนิรันดรในสวรรค์ ผู้ที่รับใช้พระนางผู้ยิ่งใหญ่นี้ ช่างมีพละกำลังมากเพียงใดในอันที่จะเอาชนะการโจมตีของนรก แม่พระคือหอที่บทสร้อยในพระคัมภีร์กล่าวถึง “คอของเจ้าเปรียบเสมือนหอของดาวิด ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยกำแพงหนา มีอาวะของผู้กล้าหาญแขวนห้อยอยู่” พระนางเปรียบเสมือนป้อมที่มีกำลังแข็งแรงสำหรับต่อต้านผู้ที่รักพระนางและมาพึ่งพระนางในการสู้รบ ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระนางจะได้พบกับโล่ห์และอาวุธในตัวพระนางเอง สำหรับปกป้องตัวเองให้พ้นจากนรก
ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง พระนางพรหมจารีจึงได้รับชื่อว่าเป็นต้นไม้ในที่ลุ่ม ตามคำของพระคัมภีร์ที่ว่า “เราได้รับการเชิดชูตามทาง เหมือนกับต้นไม้ในที่ลุ่มใกล้น้ำ” คาร์ดีนัลฮูโกอธิบายบทสร้อยนี้ว่า “ต้นในที่ลุ่มมีใบไม้เหมือนโล่ห์บัง” เพื่อแสดงให้เห้นว่า แม่พระคุ้มครองผู้ที่มาพึ่งพระนาง ท่านบุญราศรีอามาเดอู๊สอธิบายไปอีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า “พรหมจารีผู้ศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้ในที่ลุ่ม เพราะที่ลุ่มให้ที่พักรุ่มแก่ผู้เดินทานให้พ้นจากความร้อนของดวงอาทิตย์และฝน ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์เราจะพบที่หลบภัยภายใต้ความคุ้มครองของแม่พระ ให้พ้นจากความร้อนของตัณหาและความรุนแรงของการประจญล่อลวง แม่ละ วิญญาณที่ละทิ้งป้อมป้องกันนี้ โดยการละทิ้งความศรัทธาต่อแม่พระ และไม่เสนอตัวแด่พระนางในเวลาที่ล่อลวงนั้น เป็นผู้ที่น่าสงสารมาก นักบุญเบอร์นาร์โดกล่าวว่า “ถ้าดวงอาทิตย์ไม่ขึ้น โลกเราจะเป็นอะไรนอกไปจากความมือมนและความปั่นป่วนอันน่าสพึงกลัว และท่านเอาคำถามนี้ไปใช้กับพระแม่ว่า “ถ้าเอาดวงอาทิตย์ไป เวลากลางวันจะไปอยู่ที่ไหน? ถ้าเอาแม่พระไปแล้ว จะมีอะไรเหลือนอกไปจากกลางคืนอันมือมิด” เมื่อวิญญาณใดสูญเสียความศรัทธาต่อแม่พระก็มีความมืดล้อมรอบตัวทันที พระจิตเจ้าได้กล่าวถึงความมืดมิดนี้ในบทเพลงว่า “พระองค์ได้ทรงบันดาลความมืดแล้วก็เกิดเป็นเวลากลางวันขึ้นมา บรรดาสัตว์ป่าก็พากันเที่ยวเพ่นพ่านในความมืดนี้” เมื่อแสงแสวงแห่งสวรรค์ไม่ฉายมายังวิญญาณใด ทุกสิ่งทุกอย่างก็มือทึบ กลายเป็นที่สิงของปีศาจและบาปทุกชนิด นักบุญอันแซลโมกล่าวว่า “ถ้าผู้ใดถูกแม่พระทอดทิ้ง และสาปแช่งแล้ว ผู้นั้นก็จำต้องตกนรกอย่างแน่นอน” ดังนั้นเรามีเหตุผลพอที่จะอุทานออกมาได้ว่า “โชคร้ายของผู้ที่ต่อสู้กับอาทิตย์ดวงนี้” “โชคร้ายของผู้ที่เกลียดความสว่าง ซึ่งหมายถึงทุกคนที่ดูถูกการมีความศรัทธาต่อแม่พระ”
นักบุญฟรังซิสบอร์เยีย มักจะสงสัยผู้ที่ท่านไม่เห็นความศรัทธาพิเศษต่อแม่พระนั้นว่าจะพากเพียรจนถึงที่สุดหรือเปล่า ครั้งหนึ่งท่านถามพวกนวกะบางคนว่ามีความศรัทธาต่อนักบุญองค์ไหนเป็นพิเศษและเมื่อท่านเห็นบางคนไม่มีความศรัทธาต่อนักบุญองค์ไหนเป็นพิเศษและเมื่อท่านเห็นบางคนไม่มีความศรัทธาเป็นพิเศษต่อแม่พระ ท่านก็เตือนนวกาจารย์ให้เฝ้าดูแลเด็กผู้น่าสงสารพวกนี้อย่างกวดขันทันทีแล้วก็จริงตามที่ท่านได้กล่าวไว้ เด็กพวกนั้นทุกคนสูญเสียกระแสเรียกของตนและละทิ้งชีวิตนักบวชไป
การที่นักบวชเยอร์มานูส เรียกแม่พระว่า ลมหายใจของคริสตังค์ ก็นับว่ามีเหตุผลมากเพียงพอทีเดียว ร่างกายมนุษย์เราถ้าไม่หายใจก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น วิญญาณที่ไม่มาพึ่งแม่พระ และมอบถวายตัวแด่พระนาง ก็ไม่อาจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เพราะพระนางเท่านั้นที่ทำให้เราแสวงหาและรักษาชีวิตพระหรรษทานในวิญญาณของเรา แต่ข้าพเจ้าขอใช้คำของท่านนักบุญเองทีเดียว “การหายใจนั้นมิใช่จะเป็นแต่สัญญลักษณ์ของการมีชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบ่อเกิดของชีวิตด้วย ฉันใดก็ฉันนั้น นามของพระแม่มารีอาซึ่งติดปากผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้าอยู่เสมอ ย่อมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีชีวิต และในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดชีวิตและรักษาชีวิตของเขาพร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือทุกประการ
วันหนึ่งท่านบุญราศีแอลลันถูกประจญอย่างร้ายแรง และเกือบจะปล่อยตัวไปแล้ว เพราะท่านมิได้เสนอตัวแก่แม่พระ พอดีแม่พระปรากฏตัวมาแก่ท่าน เพื่อในภายหน้าท่านจะได้จดจำที่จะวอนขอความช่วยเหลือจากพระนาง เจ้าก็จะไม่ต้องเผชิญกับภัยถึงขนาดนี้”
แม่พระกล่าวตามคำของ บทสุภาษิตในพระคัมภีรื ซึ่งพระศาสนจักรนำเอามาใช้กับพระนางว่า “บุญลาภแก่ผู้ที่ฟังเรายืนเฝ้าอยู่ที่ประตูของเราทุกวัน และรออยู่ที่เสาประตูของเรา” คล้ายกับพระนางจะกล่าวว่า “บุญลาภแก่ผู้ที่ฟังเสียงของเรา และเฝ้าแสวงหาจากประตูแห่งความเมตตาของเราเสมอ และเสาะหาความสว่างและความช่วยเหลือจากเรา ผู้ใดทำเช่นนี้ แม่พระก็จะทำตามหน้าที่ของพระนาง โดยประทานความสว่างและกำลังที่เขาต้องการในอันที่ละทิ้งบาปและเดินไปในทางแห่งฤทธิ์กุศล
เพราะเหตุนี้เอง สันตปาปาอินโนเซนซีโอที่ ๓ จึงเรียกพระนางอย่างเพราะพริ้งว่า “ ดวงจันทร์ในยามค่ำคืน แสงอรุณในยามเช้า และดวงอาทิตย์ในยามเที่ยงวัน” พระนางคือดวงจันทร์สำหรับผู้ตาบอดหลงทางในเวลา ค่ำคืนของบาป ทำให้เขาเห็นและเข้าใจในสถานะอันน่าสมเพชของอเวจีที่ตนตกอยู่ พระนางคือแสงอรุณ (ซึ่งเป็นคล้ายผู้นำของดวงอาทิตย์) ของผู้ที่พระนางได้ประทานแสงสว่างให้แล้ว ทำให้เขาละทิ้งบาปและกลับมาหาพระเป็นเจ้า ดวงอาทิตย์เที่ยงแท้ของความยุติธรรม และในที่สุด พระนางคือดวงอาทิตย์ของผู้ที่อยู่ในศีลในพร ช่วยป้องกันมิให้เขาตกลงในห้วงบาป
บรรดานักเขียนที่มีความรู้สูงได้นำของพระคัมภีร์ที่ว่า “โซ่ของเธอคือโซ่แห่งความรอด” มาใช้กับพระแม่ นักบุญเลาเรนซีโอ ยูสติอาโนถามว่า “เอาโซ่มาทำอะไรกัน ถ้าพระนางมิใช้ล่ามผู้รับใช้ของพระนาง และป้องกันมิให้เขาหลงไปในทางแห่งความชั่ว?” นี่คือเหตุผลที่แม่พระล่ามผู้รับใช้ของพระนาง นักบุญโบนาเวนตูราก็เช่นเดียวกันในเมื่อท่านอธิบายคำว่า “ที่อยู่ของเราเป็นที่พำนักอาศัยของบรรดานักบุญ” ซึ่งปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ และมักจะเอามาใช้ในบทออฟีชีอุมของบรรดานักบุญเท่านั้น แต่พระนางยังช่วยมิให้เขาล้ม และเฝ้าดูแลฤทธิ์กุศลของเขา เพื่อจะได้ไม่ผิดหวังและเพื่อยับยั้งมิให้จิตชั่วมาทำร้ายเขา เพื่อจะได้ไม่ผิดหวังและเพื่อยับยั้งมิให้จิตชั่วมาทำร้ายเขา ที่อยู่ของพระนางไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยบรรดานักบุญ แต่พระนางยังเก็บรักษานักบุญไว้ ณ ที่นั้นด้วยโดยช่วยให้ท่านรักษาฤทธิ์กุศลไว้ เพื่อจะได้ไม่สูญเสียไป ยับยั้งมิให้ปีศาจทำอันตรายแก่เขา และโดยยับยั้งพระหัตถ์แห่งพระบุตรของพระนางมิให้ตกลงมายังคนบาป
ในบทสุภาษิตในพระคัมภ์รี เรารู้ได้ว่า ผู้ที่มีความศรัทาต่อแม่พระทุกคนเปรียบเหมือนผู้ที่สวมเสื้อสองชั้น “ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านของนางสวมเสื้อสองชั้น” คอร์เนลีอุ้ส อาลาพีเด อธิบายว่าเสื้อสองชั้นนี้มีความหมายว่าอย่างไร? ท่านกล่าวว่าเสื้อสองชั้นก็คือ การตบแต่งผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระนางด้วยฤทธิ์กุศลของพระบุตรและของพระนางเอง เมื่อเขาสวมเสื้อเช่นนี้แล้วก็จะพากเพียรในฤทธิ์กุศล
ดังนั้นเมื่อนักบุญฟิลลิป เนรี ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่มาแก้บาปกับท่านว่า “ลูกรัก ถ้าลูกต้องการพากเพียร จงมีความศรัทธาต่อแม่พระ” ยวงเบิร์กแมนแห่งคณะเยซูอิ๊ตมักจะกล่าวว่า “ผู้ที่รักแม่พระจะมีความพากเพียร” ข้อรำพึงของท่านเจ้าอาวาสรูเพิร์ด เกี่ยวกับเรื่องลูกล้างผลาญช่างสละสลวยจริง ๆ ท่านกล่าวว่า “ถ้ามารดาของเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็คงจะไม่ละทิ้งชายคาของบิกาหรืออย่างน้อยเขาคงจะกลับบ้านก่อนนั้นเสียอีก” และถ้าเขาโชคร้ายได้ละทิ้งพระองค์ไป เขาจะกลับใจในไม่ช้าด้วยความช่วยเหลือจากพระนาง
ถ้ามนุษย์ทุกคนเพียงแต่รู้จักพระแม่ผู้เมตตาและน่ารักผู้นี้ ถ้ามนุษย์ขอความช่วยเหลือจากพระนางโดยไม่รั้งรอ ในเมื่อถูกประจญล่อลวง ใครเล่าจะทำบาป? ใครเล่าจะเสียวิญญาณ? ผู้ที่ไม่ขอความช่วยเหลือจากพระแม่นั้นแหละคือผู้ที่ทำบาปและเสียวิญญาณ นักบุญเลาเร็นซีโอ ยูสตีอาโน นำเอาคำในพระคัมภีร์มาใช้กับแม่พระว่า “เราได้เดินบนคลื่นของทะเล” และเอาคำเหล่านี้มาใส่ปากแม่พระว่า “เราเดินกับผู้รับใช้ของเราในท่ามกลางพายุร้าย ซึ่งเขาย่อมจะพบอยู่เสมอ เพื่อช่วยและรักษาเขาให้พ้นจากบาป”
เบอร์นาดีน เดบูสติ้สเล่าถึงเรื่องของนกตัวหนึ่ง ซึ่งได้รับการสอนให้พูดคำว่า “วันทามารีอา” ครั้งหนึ่งเหยี่ยวกำลังจะจับตัวมัน มันก็ร้องออกมาว่า “วันทามารีอา” ในขณะเดียวกันนั้นเหยี่ยวก็ล้มตายลง ในพฤติการณ์นี้พระเป็นเจ้าต้องการให้เราเห็นว่า แม้กระทั่งสัตว์ ซึ่งไม่รู้จักผิดชอบ ยังได้รับความช่วยเหลือพิเศษโดยการออกนามของแม่พระ ส่วนผู้ที่รีบเรียกหาแม่พระเมื่อถูกปีศาจประจญนั้นจะมิได้รับความช่วยเหลือจากพระนางดอกหรือ? นักบุญโทมัสแห่งวิลาโนวากล่าวว่า เมื่อถูกปีศาจล่อลวง เราเพียงแต่ทำตามแบบลูกไก่เล็ก ๆ เมื่อมันเห็นเหยี่ยวหรืออีกาเข้ามาใกล้ มันก็รีบวิ่งเข้าไปหลบอยู่ใต้ปีกของแม่ไก่ เมื่อใดเราถูกประจญล่อลวงเราก็ควรจะทำแบบเดียวกัน เราไม่ควรจะมานั่งคำนึงถึงเหตุผล แต่ควรจะรีบวิ่งไปฝากตัวไว้ในความคุ้มครองของแม่พระทันที แต่ข้าพเจ้าจะขอนำเอาคำของท่านมากล่าวเอง “เหมือนกับลูกไก่ เมื่อมันเห็นว่าวร่อนอยู่ในท้องฟ้า ก็รีบวิ่งไปหลบในปีกของแม่ไก่ทันที ในทำนองเดียวกันเราจะได้รับความปลอดภัยจากความคุ้มครองของแม่พระ” แล้วท่านกล่าวต่อไปว่า “ส่วนพระแม่ พระแม่คือเจ้านายและมารดาของเราพระแม่ต้องคุ้มครองเรา เพราะนอกเหนือไปจากพระเป็นเต้าแล้ว เราไม่มีที่พึ่งอื่นใดนอกไปจากพระแม่ ซึ่งเป็นทั้งความหวังและผู้คุ้มครองแต่ผู้เดียวของเรา เราหันไปหาพระนางด้วยความไว้ใจ”
ดังนั้น เราจงสรุปความด้วยคำของนักบุญเบอร์นาโด ว่า “มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าใครทั้งนั้น จงเข้าใจไว้เถิดว่า ในโลกนี้ท่านถูกทะเลที่บ้าคลั่งและเต็มไปด้วยพายุเหวี่ยงไปมา ท่านมิได้เดินอยู่บนพื้นดินที่มั่นคง ถ้าท่านไม่อยากจมน้ำตาย จงจำไว้ว่า ท่านอย่าได้หันไปจากความสว่างไสวของดาวดวงนี้เลย จงเพ่งมองดูดาวดวงนี้และเรียกหาพระแม่มารีอา เมื่อมีภัยอันตราย เมื่อมีความสงสัย จงเรียกหาพระแม่วิงวอนแม่พระ ถูกแล้ว เมื่อท่านอยู่ในอันตรายที่จะทำบาป ถูกประจญล่อลวงหรือสงสัยว่าควรจะทำอย่างไร จงจำไว้ว่าแม่พระสามารถช่วยเหลือท่าน จงเรียกหาพระนางเถิด แล้วพระนางจะช่วยท่านทันที “อย่าได้ปล่อยให้นามของพระนางพ้นไปจากริมฝีปากของท่าน ให้นามนี้อยู่ในใจของท่านเสมอ” ดวงใจของท่านไม่ควรจะหมดความหวงในนามของพระนาง และริมฝีปากของท่านไม่ควรจะหยุดเรียกหานามนั้น “ถ้าท่านเดินตามพระนาง ท่านจะไม่หลงทางอย่างแน่นอน” ถูกแล้ว ถ้าเราเดินตามพระนาง ท่านจะไม่หลงไปจากทางแห่งความรอด “ถ้าท่านเรียกหาพระนาง ท่านจะหมดหวัง” ทุกครั้งที่เราเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากพระนาง เราจะได้รับความดลใจให้มีความไว้ใจ “ถ้าพระนางช่วยเหลือ ท่านก้จะไม่ทำผิด” ถ้าพระนางปกป้องท่านก็ไม่มีอะไรที่ท่านต้องกลัว ท่านตกนรกไม่ได้” “อาศัยพระนางเป็นเจ้าผู้นำ ท่านจะไม่เหน็ดเหนื่อย เพราะความรอดของท่านจะสำเร็จลุล่วงไปอย่างง่ายดาย ถ้าพระนางเอื้อเฟื้อท่านก็จะบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าแม่พระเต็มใจเป็นผู้ปกป้องเรา เราก็แน่ใจที่จะบรรลุถึงสวรรค์ “จงทำดังนี้เถิด แล้วท่านจะมีชีวิต”
- ตัวอย่าง -
ประวัติของนักบุญมารีอาแห่งอียิปต์ ในบทแรกของหนังสือของบรรดาปิตาจารย์แห่งพระศาสนจักรนั้นเป็นที่รู้จักกันดี เมื่อเธอมีอายุได้ ๑๒ ปี เธอหนีจากบ้านของบิดามารดาของเธอ และเดินทางไปยังอาเล็กแซนเดรีย ณ ที่นั้นเธอได้ดำเนินชีวิตอันน่าบัดสี เป็นที่สะดุดของทุกคนในเมือง หลังจากที่ได้ดำเนินชีวิตอยู่ในบาปเป็นเวลา ๑๖ ปี แล้ว เธอก็เกิดมีความคิดพิศดารที่จะเดินทางไปยังกรุงเยรูซาแลมในขณะนั้นมีการฉลองมหากางเขนศักดิ์สิทธิ์ เธอตั้งใจที่เข้าไปในวัด เพราะความอยากรู้อยากเห็นมากว่าความศรัทธา เมื่อมาถึงประตูเธอรู้สึกมีอำนาจกำลังที่มองไม่เห็นมากั้นเธอไว้ เธอพยายามอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ก็ไม่สามารถจะเข้าวัดได้เป็นเช่นนี้ถึง ๓-๔ ครั้ง เมื่อเห็นว่าความพยายามของเธอไม่มีประโยชน์ เธอก็หลบไปอยู่มุมหนึ่งของระเบียงนอกวัด แล้วเธอจึงได้รับแสงสว่างจากเบื้องบนให้เข้าใจว่า เพราะชีวิตอันชั่วช้าของเธอนั่นเองเธอถึงถูกไล่มิให้เข้าวัด ในขณะนั้นเธอเผอิญโชคดี เงยหน้าขึ้นเห็นรูปแม่พระ ในทันใดที่เธอมองเห็นรูปนั้น เธอก็เริ่มร้องให้และอุทานออกมาว่า “โอ้พระมารดาพระเป็นเจ้า โปรดสงสารคนบาปผู้นี้ด้วยเถิด ลูกทราบดีว่า พระแม่ไม่ควรมองดูลูกเลย เพราะบาปของลูก แต่พระแม่คือที่พึ่งของคนบาป โปรดช่วยลูกเพราะเห็นแก่พระเยซูพระบุตรของพระแม่เถิด โปรดให้ลูกสามารถเข้าวัด และลูกสัญญาว่า จะเปลี่ยนแปลงชีวิตไปทำการพลีกรราใช้โทษบาปในที่ใดก็แล้วแต่ที่พระแม่จะแสดงให้ลูกเห็น” ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงภายใน ซึ่งเป็นเสียงของแม่พระตอบเธอว่า “ในเมื่อลูกมาพึ่งอาศัยเรา และปราถนาจะเปลี่ยนแปลงชีวิตก็ดีแล้ว ไปเถิด จงเข้าไปในวัด นมัสการกางเขนและร้องไห้อย่างขมขื่น แล้วเธอก็กลับไปที่รูปแม่พระ พลางกล่าวว่า “แม่พระ ลูกพร้อมแล้วพระแม่อยากจะให้ลูกไปทำกิจใช้โทษบาปที่ไหน?” พระนางพรหมจารีกล่าวว่า “จงข้ามแม่น้ำยอร์ดันไป แล้วลูกจะได้พบที่พำนักของลูก” เธอไปแก้บาปรับศีล แล้วก็เดินทางข้ามแม่น้ำไป และเห็นตัวเธอมายืนอยู่ในทะเลทราย เธอจึงรู้อน่ว่าเธอจะต้องทำการใช้โทษบาปสำหรับชีวิตชั่วของเธอในที่นี้ ในระยะเวลา ๑๗ ปีแรกความพยายามของปีศาจที่จะล่อลวงให้ท่านนักบุญกลับไปในทางบาปอีกนั้นน่ารกลัวมาก วิธีที่เธอใช้ป้องกันตัวก็คือ เธอมอบถวายตัวของเธอแด่แม่พระอยู่เสมอและพรหมจารีผู้ศักดิ์นี้ก็ได้ให้กำลังต่อต้านแก่เธอตลอดเวลา หลังจากนั้นการต่อสู้ของเอก็ยุติลง หลังจากที่ได้อยู่ในทะเลทรายเป็นเวลา ๕๗ ปี ซึ่งในขณะนั้นเธอมีอายุ ๘๗ ปี พระญาณสอดส่องได้โปรดให้เธอพบกับนักบุญโซซีโม เธอเล่าประวัติชีวิตของเธอให้แก่ท่านนักบุญและขอร้องให้ท่านกลับมาในปีต่อไป และนำศีลมหาสนิทมาโปรดให้แก่เธอ ท่านเจ้าอาวาสผู้ศรัทธาก็ตาม และโปรดศีลมหาสนิทแก่เธอ หลังจากนั้นเธอก็ขอให้ท่านกลับมาหาเธออีกครั้งหนึ่ง ท่านก็ทำตามแต่มาพบเธอสิ้นใจตายเสียแล้ว รอบ ๆ กายเธอมีแสงสว่างจ้า และเหนือศีรษะของเธอมีคำเขียนว่า “ โปรดฝั่งข้าพเจ้าไว้ที่นี่ นี่คือร่างกายของคนบาปผู้น่าสังเวชผู้หนึ่ง โปรดอ้อนวอนพระเป็นเจ้าเพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด” มีสิงโตตัวหนึ่งมาขุดหลุมด้วยอุ้งเท้าของมัน นักบุญโซซีโมก็ทำพิธีฝังศพของเธอ และกลับไปเล่าสิ่งแปลกประหลาดอัศจรรย์ของพระเป็นเจ้าต่อคนบาปผู้น่าอิจฉาผู้นี้ในอารามของท่าน
- บทภาวนา -
โอ้พระมารดาผู้เมตตา พรหมจารีศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง โปรดเหลียวดูผู้ทรยศอยู่แทบเท้าของแม่พระ ลูกได้ตอบแทนพระหรรษทานที่ได้รับจากพระเป็นเจ้าโดยอาศัยพระแม่ ด้วยความอกตัญญู ทั้งยังทรวศต่อพระแม่และพระองค์ แต่พระแม่ผู้มีบุญ ลูกต้องบอกพระแม่ว่า ความน่าสมเพชของลูกนี้ แทนที่จะทำให้ลูหมดความไว้ใจ กลับทำให้ลูกมีความหวังมากขึ้น เพราะลูกเห็นว่าความเมตตาสงสารของพระแม่เพิ่มขึ้นตามส่วนความยากจนของลูก โอ้พระแม่มารีอา โปรดแสดงความเผื่อแผ่อันเต็มเปี่ยมของพระแม่แก่ลูก เพราะพระแม่มีความเผื่อแผ่แก่ทุกคนที่ขอความช่วยเหลือจากพระแม่ สิ่งเดียวที่ลูกขอก็คือให้พระแม่มแม่มายัง สิ่งเดียวที่ลูกขอก็คือให้พระแม่มองมายังลูกด้วยสายตาแห่งความเมตตาและสงสารลูก ถ้าดวงใจของพระแม่สงสารลุกถึงเพียงนี้แล้ว พระแม่ก็จะไม่ทำอะไรขึ้นนอกจากปกป้องลูก และถ้าพระแม่ปกป้องลูกแล้ว ลูกจะไปกลัวสิ่งใดถูกแล้ว ลูกจะไม่กลัวสิ่งใดเลย จะไม่กลัวบาป เพราะพระแม่ได้เตรียมการแก้ไขไว้แล้ว ไม่กลัวปีศาจ เพราะพระแม่มีอำนาจเหนือปีศาจในนรกทั้งสิ้น ลูกถึงกล้าพูดได้ว่าลูกไม่กลัวพระบุตรของพระแม่ แม้ว่าพระองค์จะพิโรธลูกอย่างมีเหตุผลก็จริง แต่ถ้าพระแม่เพียงแต่เอ่ยคำเดียวเท่านั้น พระองค์ก็จะหายพิโรธ ลูกกลัวอยู่แต่สิ่งเดียวคือ เวลาที่ถูกประจญลูกอาจจะหยุดภาวนาขอความช่วยเหลือจากพระแม่ เพราะความผิดของตัวเอง และจะเป็นเหตุให้ลูกหมดหวังเอาตัวรอด แต่บัดนี้ลูกขอสัญญาว่าจะเสนอตัวแด่พระแม่เสมอไป โปรดช่วยให้ลูกถือตามคำสัญญานี้ด้วยเถิด ขอให้พระแม่อย่าได้ละโอกาสที่จะทำให้พระแม่สมความปราถนาในอันที่จะช่วยให้คนบาปน่าสมเพชเช่นลูก เอาตัวรอดไปสวรรค์ได้ โอ้มารดาพระเป็นเจ้า ลูกมีความไว้ใจอย่างไม่มีขอบเขตในพระแม่ ด้วยความช่วยเหลือจากพระแม่ ลูกหวังจะได้รับพระหรรษทานที่จะคร่ำครวญถึงบาปของตนดังที่ควรจะทำ และพละกำลังที่จะไม่ตกลงในบาปนั้นอีก ถ้าลูกเจ็บ พระแม่ซึ่งเป็นเสมือนแพทย์ก็จะรักษาลูก ถ้าบาปของลูกทำให้ลูกอ่อนแอ ความช่วยเหลือของพระแม่ก็จะทำให้ลูกมีกำลัง โอ้พระแม่ ลูกหวังทุกอย่างจากพระแม่เพราะพระแม่มีอำนาจมากที่สุดกับพระเป็นเจ้า อาแมน
- 01-01 ความไว้ใจในแม่พระ
- 01-02 ควรเพิ่มความไว้ใจ ในแม่พระ
- 01-03 ความรักอันยิ่งใหญ่ของแม่พระต่อเรา
- 01-04 พระแม่มารีอา คือมารดาของคนบาปที่สำนึกผิด
- 02-01 พระแม่มารีอาคือชีวิตของเรา เพราะพระนางโปรดให้เราได้รับอภัยบาป
- 02-02 พระแม่มารีอาคือชีวิตของเรา เพราะพระนางวอนขอความพากเพียรให้แก่เรา
- 02-03 แม่พระคือความอ่อนหวานของเรา
- 03-01 แม่พระคือความหวังของทุกคน
- 03-02 แม่พระคือความหวังของคนบาป
- 04-01 แม่พระช่วยเหลือผู้ที่เรียกหาพระนางโดยฉับพลัน แม่พระช่วยเหลือผู้ที่เรียกหาพระนางโดยฉับพลัน
- 04-02 อำนาจของแม่พระยิ่งใหญ่ในเวลาถูกประจญ
- 05-01 การเสนอวิงวอนของแม่พระนั้นจำเป็นสำหรับความรอดของเรา
- 05-02 แม่พระเสนอวิงวอนให้แก่คนบาปทุกคน
- 06-01 โปรดเถิดท่านผู้เสนอของเรา
- 06-02 แม่พระเสนอวิงวอนให้แก่คนบาปแม้กระทั่งคนบาปที่ชั่วช้าที่สุด
- 06-03 แม่พระคือผู้เจรจาสันติภาพระหว่างคนบาปกับพระเป็นเจ้า