Skip to main content

Jesus before
C h r i s t i a n i t y

บทที่ 12 อาณาจักรมาถึง

book

เท่าที่พูดมาจนถึงเวลานี้ อาจทําให้หลายคนคิดว่า อาณาจักรที่พระเยซูพูดถึงก็เป็นเหมือนอุดมการณ์ในสังคมที่ไม่มีพระเจ้า (secular) เข้าใจได้โดยไม่ต้องมีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง พระเยซูใช้ภาษาศาสนาตามธรรมเนียมในสมัยก่อนเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงพระเยซูเชื่อว่า อาณาจักรจะมาถึงและมนุษย์จะได้รับการปลดปล่อยอย่างสิ้นเชิงไม่ได้หากปราศจากความเชื่อในพระเจ้า

1. อาณาจักรพระเจ้าจะมาถึง

เนื่องจากค่านิยมและมาตรฐานในอาณาจักรที่พระเยซูพูดถึงนี้สูงส่งมาก เราอาจพูดได้ว่าเป็นไปไม่ได้ มันเป็นอุดมคติในอนาคตที่ไม่มีวันจะเป็นจริง อาณาจักรดังกล่าวจะมาถึงได้ก็ต้องเป็นเรื่องของ "อัศจรรย์" เท่านั้น แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สําหรับมนุษย์ พระเจ้าทําได้ พระเยซูเชื่อและหวังว่า "อัศจรรย์" จะเกิดขึ้น

แม้ว่าบางครั้งพระเยซูจะพูดถึงอาณาจักรในทํานองเปรียบเหมือนบ้านหรือเมือง แต่พระเยซูก็ไม่เคยพูดว่า จะต้องสร้างอาณาจักรนี้ขึ้นมา มีแต่อาณาจักรจะมาถึงเท่านั้น นอกนั้นอาณาจักรดังกล่าวก็ไม่ใช่วิวัฒนาการหรือพัฒนาขึ้นมาจากอาณาจักรหรือสังคมอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีผู้นําที่เก่งกาจ มีอิทธิพลหรือมีคุณธรรมมากสักปานใด ก็ไม่สามารถสร้างอาณาจักรนี้ขึ้นมาได้ พลังต่างๆ ในโลกอาจจะช่วยมนุษย์ได้บ้าง แต่จะไม่สามารถนําการปลดปล่อยอย่างสิ้นเชิงมาให้ และไม่สามารถนําอิสรภาพอย่างแท้จริงมาให้ดังที่พระเยซูตั้งเป้าหมายไว้

อย่างไรก็ตาม มีพลังอย่างหนึ่งที่สามารถทําให้เกิด "อัศจรรย์" นี้เกิดขึ้นได้ แม้ว่าไม่ใช่พลังของตัวเรา แต่มันเป็นพลังในตัวเราที่ตัวเราเองเท่านั้นสามารถปล่อยออกมาได้ มันเป็นพลังสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังพลังทั้งหลายในมนุษย์และในธรรมชาติ คนส่วนมากจะเรียกพลังนี้ว่า พระเจ้า แต่เราจะเรียกอย่างไรก็ได้ ในบางโอกาส พระเยซูก็เรียกพลังนี้ว่าพระเจ้าเหมือนกัน แต่บ่อยครั้งทีเดียวที่พระเยซูเรียกอย่างอื่น ประกาศกทั้งหลายพูดถึงพระเจ้าเท่านั้น (พระวาจาของพระเจ้า, พระสัญญาของพระเจ้า ฯลฯ) แต่คําพูดและนิทานเปรียบเทียบของพระเยซู มักจะเกี่ยวกับชีวิต และพลังที่แฝงอยู่ในชีวิตมนุษย์และในธรรมชาติ มีน้อยครั้งที่พระเยซูรู้สึกว่าจําเป็นต้องเอ่ยชื่อพระเจ้า พระเยซูเข้าใจเกี่ยวกับพลังสูงสุดนี้อย่างลึกซึ้ง

เราได้พบมาแล้วว่า สําหรับพระเยซู พลังมหาศาลที่สามารถทําให้เกิดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรียกว่า ความเชื่อ ความเชื่อปล่อยพลังเหนือมนุษย์ที่อยู่ในตัวเราออกมา ความเชื่อของคนป่วยทําให้พวกเขาหาย ความเชื่อของคนบาปทําให้พวกเขาหลุดพ้นจากบาป เช่นเดียวกัน ความเชื่อของมนุษย์จะทําให้อาณาจักรมาถึง

พระเยซูพยายามที่จะปลุกความเชื่อเกี่ยวกับอาณาจักรให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน (มก.๑,๑๕) โดยตระเวนไปทั่วเพื่อประกาศข่าวดี (มก.๑, ๓๘; ลก.๔,๔๓) และพระเยซูส่งพวกสาวกออกไปช่วยป่าวประกาศ เพื่อให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น (มก.๓,๑๔; ๖,๗; มธ.๑๐,๗; ลก.๙,๒; ๑๐,๙-๑๑) คริสตชนสมัยแรกเชื่อว่า เมื่อประกาศข่าวดีไปทั่วโลกเมื่อใด อาณาจักรพระเจ้าก็จะมาถึงเมื่อนั้น (มก.๑๓,๑๐) ถ้าไม่มีการป่าวประกาศ ความเชื่อก็จะไม่เกิดขึ้น (โรม.๑๐,๑๗) เมื่อความเชื่อในโลกมีความเข้มแข็งเพียงพอ อัศจรรย์จึงจะเกิดขึ้นได้ (อาณาจักรพระเจ้าจึงจะมาถึง)

2. ความเชื่อ

เมื่อพูดถึงความเชื่อเช่นนี้ อาจทําให้บางคนเทิดเทินความเชื่อจนเกินความจริง ความเชื่อไม่ใช่พลังทางไสยศาสตร์ ความเชื่อเป็นการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเลือกเอาอาณาจักรพระเจ้า การกลับใจ (metanoia) ที่ พระเยซูเทศน์สอนนั้น เป็นการเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความจงรักภักดี จากสิ่งอื่นๆ จากอาณาจักรอื่นๆ มาสู่อาณาจักรพระเจ้า จงแสวงหาอาณาจักรพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใด และปักใจมั่นอยู่กับอาณาจักรนี้ (มธ.๖, ๓๓) จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้กับพระเจ้าและอาณาจักรของพระองค์ เพราะสมบัติอยู่ที่ไหน หัวใจก็จะอยู่ที่นั่น (มธ.๖,๑๙-๒๑) จงทําให้อาณาจักรพระเจ้าเป็นสิ่งที่สําคัญอันดับหนึ่งในชีวิต และตั้งความหวังทั้งหมดไว้กับอาณาจักรนี้ มันเป็นเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ หรือเป็นเหมือนไข่มุกลํ้าค่า จงทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้อาณาจักรนี้มา

ความเชื่อเป็นการตั้งทิศทางใหม่แห่งชีวิต มันเป็นเรื่องถอนรากถอนโคน ไม่มีการประนีประนอมหรือเอาเพียงครึ่งๆ จะรับใช้ทีเดียวสองนายไม่ได้ คุณจะรับเอาค่านิยมของอาณาจักรพระเจ้ามาเป็นแนวทางชีวิต หรือไม่ก็ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันเลย ความเชื่อเป็นการตัดสินใจ ความลังเลใจหมายถึงการขาดความเชื่อหรือมีความเชื่อน้อยซึ่งไร้ค่า

แต่เราต้องตระหนักว่า พลังของความเชื่อไม่ใช่มาจากการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว หรือมาจากความมั่นใจที่แข็งแกร่ง แต่พลังของความเชื่อเนื่องมาจากความจริงของสิ่งที่เราเชื่อและหวัง ถ้าอาณาจักรพระเจ้าเป็นเพียงภาพหลอน ความเชื่อของเราก็จะไม่มีพลัง และจะทําอะไรไม่ได้ ในโลกเรานี้มีความเชื่อที่เข้มแข็งหลาย ประการที่เป็นความเชื่อในสิ่งที่หลอกหลอน และความเชื่อประเภทนี้แหละที่เกือบทําให้โลกต้องพินาศ ถ้าอาณาจักรพระเจ้าที่พระเยซูเทศน์สอน เป็นเรื่องจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ เกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ เป็นสิ่งเดียวที่สามารถนํามนุษย์ไปสู่เป้าหมายและความพึงพอใจ ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ความเชื่อในอาณาจักรพระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงโลกและทําให้เกิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พลังของความเชื่อคือพลังของความจริง

เราไม่อาจจะมีความเชื่อที่แท้จริงได้ ถ้าเราไม่มีความเมตตาสงสาร อาณาจักรที่พระเยซูประกาศสอนเป็น อาณาจักรแห่งความรักและการรับใช้ เป็นอาณาจักรแห่งความเป็นพี่เป็นน้องกัน และในอาณาจักรนี้ทุกคนได้รับความรักและเคารพเพราะความเป็นคน ไม่มีใครสามารถเชื่อและหวังในอาณาจักรแบบนี้ หากว่าไม่เคยมีความรู้สึกเมตตาสงสารเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พระเจ้าแสดงองค์เป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา และพลังของพระเจ้าคือพลังแห่งความเมตตา ความเมตตาที่มนุษย์มีต่อกัน ปล่อยพลังของพระเจ้าออกมาในโลก และพลังนี้แหละเป็นพลังเดียวที่สามารถทําให้เกิดอัศจรรย์ คือทําให้อาณาจักรพระเจ้ามาถึง

สิ่งที่จะทําให้อาณาจักรพระเจ้ามาถึงก็คือความเมตตาสงสารที่มาจากใจ และความเชื่อที่เต็มไปด้วยความหวัง ความเชื่อ ความหวัง และความรักเมตตาของวันนี้ เป็นเมล็ดที่จะทําให้เกิดอาณาจักรในวันพรุ่งนี้ ความเชื่อดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อยไร้ความหมาย เหมือนกับเมล็ดซีนาปีส (มธ.๑๗,๒๐) แต่ถ้าไม่มีเมล็ดแห่งความเชื่อก็จะไม่มีต้นไม้แห่งอาณาจักร (มก.๔,๓๐-๓๒) เชื้อแป้งดูเหมือนไร้ค่า แต่มันทําให้แป้งทั้งถังฟูขึ้น (มธ. ๑๓,๓๓) ความเชื่อที่ไม่ถูกครอบงําโดยค่านิยมของมารและความกังวลต่างๆ จะเกิดผลร้อยเท่า (มก.๔,๓-๙)

3.เชื่อว่าอาณาจักรพระเจ้าจะมาถึง

อาณาจักรพระเจ้าจะมาถึงหรือไม่ สุดแล้วแต่ความเชื่อของมนุษย์ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามนุษย์จะมีความเชื่อพอเพียงที่จะให้อาณาจักรมาถึง? จะมีเวลาพอที่จะช่วยกันปลุกความเชื่อทั่วไปในโลกไหม? ภัยพิบัติอาจมาถึงก่อนก็เป็นได้ และหากเกิดภัยพิบัติแล้ว คนที่อยู่รอดหลังจากนั้นส่วนมากจะมีความเชื่อเกี่ยวกับอาณาจักรที่พระเยซูประกาศสอนไหม?

แต่พระเยซูไม่เคยสงสัยเลย แม้ความไม่เชื่อของมนุษย์จะทําให้ล่าช้าไปบ้าง แต่ในที่สุดอาณาจักรพระเจ้าจะต้องมาถึง (ลก.๑๓,๖-๙) ภัยพิบัติอาจเกิดขึ้นก่อน แต่อาณาจักรพระเจ้าจะมีชัยในบั้นปลาย (มก.๑๓,๗-๘) อาณาจักรจะมาถึงแน่เพราะในที่สุดมนุษย์จะเชื่อ

ทําไมจึงเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะว่ามีพระเจ้า เชื่อในพระเจ้าก็คือ เชื่อว่าความดีมีพลังมากกว่าความชั่ว และความจริงแข็งแกร่งกว่าความเท็จ เชื่อในพระเจ้าก็คือ เชื่อว่าในที่สุด ความดีและความจริงจะมีชัยชนะเหนือความชั่วและความผิดหลง พระเจ้าจะสยบมาร คนที่คิดว่าความชั่วจะชนะ หรือคิดว่าความดีกับความชั่วมีโอกาส ๕๐-๕๐ เราเรียกคนประเภทนี้ว่า อเทวนิยม เราเชื่อว่ามีพลังอย่างหนึ่งที่มุ่งสู่ความดีสิงสถิตอยู่ในโลก มันแสดงตัวออกมาในพลังส่วนลึกของมนุษย์ และแสดงตัวออกมาในธรรมชาติ เป็นพลังที่ไม่มีอะไรจะมาต้านไว้ได้ ถ้าพระเยซูไม่เชื่อเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป

ฉะนั้น เชื่อในอาณาจักรพระเจ้า จึงไม่เป็นเพียงแต่ยอมรับค่านิยมของอาณาจักรนี้ และหวังอย่างลอย ๆ ว่า สักวันหนึ่งอาณาจักรคงจะมาถึง แต่เชื่อในอาณาจักรพระเจ้า คือมั่นใจว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อาณาจักร พระเจ้าจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน ความมั่นใจนี้แหละที่จะทําให้อาณาจักรมาถึง เพราะความมั่นใจนี้เป็นความจริง "ความจริงจะทําให้ท่านเป็นอิสระ" (ยน.๘,๓๒)

อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรที่จะรับรองได้ว่า อาณาจักรจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ ความเชื่ออาจแพร่หลายอย่างรวดเร็วและทําให้อาณาจักรมาถึงทันทีทันใด หรืออาจจะแพร่หลายอย่างเชื่องช้าและอาณาจักรก็ไม่มาถึงสักที แต่พระเยซูเองคาดว่าจะมาถึงเร็ว "อาณาจักรพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว" (มก.๑,๑๕;มธ.๔,๑๗;ลก.๑๐,๙-๑๑) พระเยซูถึงกับคาดว่าจะมาถึงในชั่วอายุคนสมัยนั้นเอง "...ก่อนที่คนยุคนี้จะตายจากไป" (มก.๑๓,๓๐) และดูเหมือนเป็นพระเยซูเองที่พูดว่า พวกสาวกจะตระเวนไปยังไม่ทั่วทุกเมืองในอิสราเอล "บุตรแห่งมนุษย์" ก็จะมาถึงแล้ว (มธ.๑๐,๒๓)

ถ้าเราพิจารณาหลายๆ อย่างรวมกัน รวมทั้งนิทานเปรียบเทียบที่พระเยซูเล่า ตลอดจนถึงความรีบเร่งในการเทศน์สอน เราจะต้องสรุปได้อย่างแน่นอนว่า พระเยซูคาดว่าในไม่ช้าจะมีอะไรบางอย่างที่สำคัญมากเกิดขึ้น แต่พระเยซูยืนยันว่าตัวเองก็ไม่รู้วันและเวลาที่อาณาจักรพระเจ้าจะมาถึง (มก.๑๓,๓๒) พระเยซูคิดว่ามันจะต้องมาถึงอย่างกะทันหันและไม่มีใครรู้ตัว เปรียบเหมือนโจรในยามกลางคืน หรือสายฟ้าแลบ (มก.๑๓, ๓๓-๓๗; มธ.๒๔,๔๒-๔๔; ๒๕,๑๓; ลก.๑๒,๓๕-๔๐; ๑๗,๒๔) เนื่องจากไม่มีใครรู้ล่วงหน้าจึงต้องคอยเฝ้าดูด้วยใจจดจ่อ แต่พระเยซูไม่เห็นด้วยกับการคาดคะเนจากเครื่องหมายหรือปรากฏการณ์ต่างๆ (ลก.๑๗,๒๐-๒๔)

4. อาณาจักรพระเจ้าจะมาถึงเร็ว

ทำไมพระเยซูจึงคาดว่าอาณาจักรพระเจ้าจะมาถึงในไม่ช้า?

. ความรู้สึกทั่ว ๆ ไป

เป็นความรู้สึกทั่วไปในสมัยของพระเยซูว่า พระเจ้ากําลังจะทําอะไรบางอย่างลงไปเพื่อช่วยชาติยิว ความคิดนี้ได้ผลักดันให้พวกเอสซีน

ออกไปตั้งชุมชนในที่เปลี่ยวเพื่อเตรียมตัว ความคิดนี้ช่วยให้กลุ่มนักเขียน วรรณกรรมวิวรณ์สร้างจินตนาการและคาดคะเนเหตุการณ์ต่าง ๆ ความคิดนี้ทําให้พวกซีลอทมั่นใจว่า พระเจ้ากําลังจะมาช่วยพวกยิวให้เอาชนะพวกโรมัน และจะได้ตั้งอาณาจักรพระเจ้าในชาติอิสราเอล เช่นเดียวกัน ยอห์นแบปติสต์เร่งเร้าให้ประชาชนกลับใจมารับพิธีล้าง ก็เพราะเชื่อว่าพระเจ้ากําลังจะทําสิ่งสําคัญ นั่นคือการชําระความกับชาติยิว ในสังคมชาวยิวขณะนั้น ความหวังและการรอคอยมีความเข้มข้นในระดับสูงสุด สถานการณ์กําลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน สงครามกับโรมันกําลังก่อตัว ชาว

ยิวจะชนะทหารโรมันได้หรือไม่? พระผู้ไถ่ที่ประชาชนรอคอยอยู่จะมาช่วยหรือไม่? โลกกําลังจะถึงจุดอวสานหรือไม่?

พระเยซูเชื่อเช่นเดียวกับยอห์นแบปติสต์ว่า ชาติยิวกําลังเดินหน้าสู่ความหายนะในอนาคตอันใกล้ เหตุการณ์ที่กําลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าคือภัยพิบัติ

แต่ปฏิกิริยาของยอห์นเป็นไปในแง่ลบ ยอห์นพยายามทําให้ชาติยิวเบนเข็มทิศเพื่อไม่ต้องประสบหายนะ หรืออย่างน้อยก็ช่วยกู้อะไรไว้บ้าง แต่ปฏิกิริยาของพระเยซูเป็นไปในแง่บวก สําหรับพระเยซู มันเป็นโอกาสที่จะเผชิญหน้ากับความจริง โอกาสที่ภัยพิบัติกําลังคุกคามอยู่นี้ เป็นโอกาสเหมาะมากที่อาณาจักรพระเจ้าจะมาถึง ในขณะที่เผชิญหน้ากับความพินาศอันกําลังจะเกิดขึ้นนี้ พระเยซูเห็นโอกาสที่จะเชิญชวนให้ทุกคนกลับใจอย่างสิ้นเชิง "หากพวกท่านไม่เปลี่ยนใจ พวกท่านจะพินาศ” (ลก.๑๓,๓-๕) แต่หากท่านเปลี่ยนใจ และมีความเชื่ออาณาจักรพระเจ้าจะมาถึง แทนที่จะมีภัยพิบัติ

. ต้องตัดสินใจ

ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ จะต้องเลือกเอาระหว่างภัยพิบัติ หรืออาณาจักรพระเจ้า คําสอนข้อนี้วนเวียนอยู่ใน นิทานเปรียบเทียบหลายเรื่องและในคําพูดหลายโอกาส ในเรื่องของผู้จัดการที่ฉ้อโกง เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียตําแหน่งและอนาคต เขาดําเนินการแก้ไขอย่างเฉียบขาดทันที และสามารถทําให้อนาคตของ ตนมีความมั่นคงได้ (ลก. ๑๖,๑-๘) ฝ่ายเศรษฐีเบาปัญญา มัวแต่คิดสร้างยุ้งฉางที่ใหญ่กว่าเดิม ในที่สุดต้องสูญเสียทุกอย่าง (ลก.๑๒,๑๖-๒๐) "จะมีประโยชน์อะไรถ้าคนหนึ่งจะได้ครอบครองโลกทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตไป?" (มก.๘,๓๖) ถ้าประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้นํา ไม่คํานึงถึงภัยพิบัติ แล้วรีบดําเนินการ ก็จะต้องพบกับความพินาศอย่างไม่รู้ตัว เหมือนกับเจ้าของบ้านที่นอนหลับขณะที่โจรบุกเข้ามาปล้น (มธ.๒๔,๔๓) หรือเหมือนกับคนที่บ้านถูกพายุฝนพัดถล่ม เพราะไม่ได้เตรียมตัวให้ดี พอใจเพียงแค่ปลูกบ้านอย่างง่าย ๆ บนดินทราย (มธ.๗,๒๔-๒๗) บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องตัดสินใจและทําอะไรลงไปทันที ไม่ใช่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติเท่านั้น แต่โอกาสทองกําลังเปิดอยู่ต่อหน้าต่อตา นั่นคือ ขุมทรัพย์มหาศาล ไข่มุกลํ้าค่า งานเลี้ยงมโหฬาร (มธ.๑๓,๔๔-๔๖;ลก.๑๔,๑๕-๒๔) ถ้ารอช้าอาจพลาดโอกาสทองนี้ไปได้ พรุ่งนี้อาจจะสายเกินไปแล้ว

ที่ว่าอาณาจักรพระเจ้าอยู่ใกล้ ไม่ใช่เป็นเรื่องกําหนดแน่นอน แต่เป็นโอกาสที่เป็นไปได้ สิ่งที่แน่นอนสําหรับพระเยซูคือ ภัยพิบัติหรือ อาณาจักรพระเจ้า อย่างใดอย่างหนึ่งจะมาถึงในอนาคตอันใกล้ ฉะนั้นยุคของพระเยซูเป็นยุคที่จะต้องตัดสินใจและดําเนินการ เป็นโอกาสพิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน

. ต้องรีบให้อาณาจักรพระเจ้ามาถึงก่อนภัยพิบัติ

เมื่อพระเยซูปลอบใจคนจน พระเยซูไม่ได้บอกว่าอาณาจักรพระเจ้าใกล้จะมาถึงแล้ว แต่บอกว่าเมื่อมาถึง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไร อาณาจักรจะเป็นของคนจน ไม่มีใครรับรองได้ว่าใกล้จะมาถึง สิ่งที่จะมาถึงแน่ๆ ก่อนที่คนยุคนี้จะผ่านพ้นไปโดยไม่ได้กลับใจ ก็คือภัยพิบัติ (มก.๑๓,๒-๔; ๑๓,๓๐; ลก.๑๓,๓-๕) มีอยู่ไม่กี่ครั้งที่พระเยซูพูดว่าอาณาจักรใกล้เข้ามาแล้ว (มก.๑, ๑๕; ๙,๑; มธ.๔,๑๗; ลก.๑๐,๑๑) เมื่อพูดเช่นนั้น เป็นการเตือนภัย เตือนว่าภัยพิบัติหรืออาณาจักร อย่างใดอย่างหนึ่งกําลังจะมาถึง ฉะนั้นพระเยซูไม่ได้พูดว่า "จงยินดีเถิด อาณาจักรพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว" แต่พูดว่า "จงกลับใจเถิด..."

อีกสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงความไม่แน่นอน (ภัยพิบัติหรืออาณาจักรจะมาถึงก่อน) คือความรีบเร่งที่มีพูดถึงในพระวรสาร การประกาศสอนเรื่องอาณาจักรพระเจ้า ต้องทําอย่างรีบเร่ง จนถึงกับว่า ผู้ประกาศไม่มีเวลาแม้แต่จะหันไปมองข้างหลังเมื่อเริ่มงานแล้ว (ลก.๙,๖๒) ไม่มีเวลากลับไปฝังศพบิดา คือไปดูแลจนกว่าบิดาจะตาย (ลก.๙,๕๙-๖๐) ไม่มีเวลาที่จะแวะเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง (ลก.๙,๖๑;๑๐,๔) ผู้ประกาศจะต้องเดินทางรวดเร็วและไม่ต้องมีสัมภาระมาถ่วงให้เสียเวลา (ลก.๙,๓) ผู้ประกาศต้องรีบปฏิบัติหน้าที่ โดยทิ้งทุกอย่างทันทีและรีบตามพระเยซูไปเทศน์สอนเกี่ยวกับอาณาจักร (มก.๑,๒๐;๑๐,๒๘)

ทําไมจึงต้องเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะว่าชาติยิวกําลังมุ่งสู่ความหายนะ ถ้าหากมีใครรับรองได้ว่าอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองกําลังจะมาถึงอยู่แล้วอย่างแน่นอน ก็คงจะไม่ต้องมีการรีบเร่งเทศน์สอนให้คนกลับใจเปลี่ยนชีวิต แต่ในความเป็นจริง ไม่มีเวลาที่จะเสียต่อไปอีกแล้ว เพราะในสถานการณ์เช่นนั้น วิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้ชาติยิวพุ่งถลําลงสู่ความพินาศ ก็คือการเปลี่ยนใจ เปลี่ยนชีวิตอย่างสิ้นเชิง จนถึงกับว่าสามารถทําให้ อาณาจักรพระเจ้ามาถึงแทนภัยพิบัติ

5. นรกคือภัยพิบัติส่วนตัว

หากอาณาจักรพระเจ้ามาถึง แทนที่จะเกิดภัยพิบัติจริง คนที่ไม่ยอมรับอาณาจักรนี้ก็จะต้องประสบภัยพิบัติในระดับส่วนตัว พวกเขาจะพบว่าตัวเองตกค้างอยู่ในความมืดข้างนอก (มธ.๘,๑๒; ๒๒,๑๓; ๒๕,๓๐) ถูกปลดจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนหวงแหน ทั้งเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง พรรคพวกและอํานาจ เพราะไม่มีที่สําหรับสิ่งเหล่านี้ในอาณาจักรพระเจ้า พวกเขาจะพบว่า ตนเองสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทําให้ชีวิตมีความหมาย พวกเขาจะพบว่า ชีวิตของตนถูกทําลายจนหมดสิ้น พวกเขาไม่ได้ถูกไล่ออกไป แต่พวกเขาแยกตัวเองออกไปต่างหาก

ภัยพิบัติเฉพาะคนดังกล่าว บางทีก็มีบรรยายในพระวรสารว่า เป็นเหมือนการอยู่ในความมืดภายนอก หรือเหมือนถูกโยนลงไปในกองไฟในเกเฮนนา (Gehenna) เกเฮนนาเป็นชื่อของหุบเขานอกเมืองเยรูซาเลม หลายศตวรรษก่อนสมัยพระเยซู หุบเขาเกเฮนนาเป็นที่ที่มีการฆ่าเด็กถวายบูชาเทพเจ้า จึงถือกันว่าเป็นสถานที่ชั่วช้ามีมลทินที่สุด และกลายเป็นกองขยะสาธารณะของเมืองเยรูซาเลม ของเน่าเสียทุกชนิดที่ถูกทิ้งลงไปก็ถูกหนอนรุมกิน และมีไฟลุกกรุ่นอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับกองขยะทั่วไป หนอนและไฟเป็นตัวทําลายจนถึงสุดท้าย สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คงจะเป็นการถูกโยนลงไปในเกเฮนนาให้หนอนและไฟช่วยกันรุมทําลายให้สิ้นซาก ทั้งคนและซากสิ่งของในเกเฮนนาตายหรือสลายไป คงมีแต่หนอนและไฟที่ทําหน้าที่ต่อไปเรื่อยอย่างไม่มีจบสิ้น และนี่คือจุดกําเนิดภาพพจน์ "นรก" ตามธรรมเนียมของศาสนายิวและศาสนาคริสต์ (เนื่องจากอิทธิพลของปรัชญากรีก ซึ่งถือว่าจิตหรือวิญญาณมนุษย์ไม่รู้ตาย คริสต์ศาสนิกชนส่วนหนึ่งจึงเข้าใจว่าเกเฮนนาหรือ "นรก" เป็นที่ทรมานตลอดไปสําหรับวิญญาณที่ไร้ร่างกาย)

เกเฮนนาเป็นภาพพจน์ของความตายและความพินาศ ตรงข้ามกับชีวิต หากพระเยซูเคยใช้ภาพพจน์นี้ ก็คงใช้ในทํานองนี้คือ "อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าจิตของท่านได้ แต่จงกลัวผู้ที่ทําลายทั้งกายและจิต

ของท่านในเกเฮนนา" (มธ.๑๐,๒๘) การทําลายจิตของคนก็คือทําลายความเป็นคน หรือสิ่งที่หนังสือวิวรณ์เรียกว่าความตายครั้งที่สอง (วิวรณ์ ๒,๑๑; ๒๐,๖; ๒๐,๑๔; ๒๑,๘) ในความหมายเช่นนี้ หลายคนก็ต้องถือว่าตายไปแล้ว "ปล่อยให้คนตายฝังคนตายเองเถิด" (มธ.๘,๒๒) อันได้แก่คนที่ไม่ยอมรับข่าวดีของพระเยซู แต่เกาะยึดอยู่กับวิถีชีวิตและค่านิยมเดิมของตน จนในที่สุดถูกมันทำลายทั้งกายและจิตมีน้อยคนที่มองเห็นทางที่พระเยซูสอน ซึ่งเป็นทางที่นำไปสู่ชีวิต ทางสายนี้มองเห็นได้ยาก เปรียบเสมือนประตูแคบ หรือทางรก (ดู มธ.๗,๑๓-๑๔) คนส่วนมากเลือกวิธีต่าง ๆ ที่เห็นชัดเจน หรือเห็นว่าง่ายในอันที่จะแก้ไขสถานการณ์ เช่นวิธีของพวกต่างๆ ในสมัยนั้น (ซัดดูสี ซีลอท ฯลฯ) แต่แล้ววิธีเหล่านั้นกลับเป็นทางที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้และหายนะของชาติยิว

การที่พระเยซูเร่งงานประกาศอาณาจักรพระเจ้า ไม่ใช่เพราะเห็นแก่คนที่ทําตัวสมกับภัยพิบัติเฉพาะตัวเท่านั้น พระเยซูเป็นห่วงประชาชนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องอะไร ในสถานการณ์ทางการเมืองและสังคมในขณะนั้น ถ้าภัยพิบัติเกิดขึ้น ทุกคนจะต้องทนทุกข์ ทั้งคนดีและคนผิด พระเยซูแนะนําว่าถ้าเกิดเรื่องก็ให้วิ่งหนีขึ้นเขาเพื่อเอาชีวิตรอด (มก.๑๓,๑๔-๒๐) ความรีบด่วนสูงสุดในขณะนั้นก็คือ ป้องกันไม่ให้เกิดหายนะ โดยเร่งเร้าให้ทุกคนเปลี่ยนชีวิตหันไปสู่อาณาจักรพระเจ้า

ดังที่เรารู้จากประวัติศาสตร์ว่า ในความเป็นจริง ภัยพิบัติได้เกิดขึ้น ก่อนที่อาณาจักรพระเจ้าจะมาถึง ในปี ค.ศ.๗๐ กองทัพโรมันทําลายเมืองเยรูซาเลมและพระวิหารของชาวยิว ในปี ค.ศ.๑๓๕ ชาติยิวถูกทําลายอย่างสิ้นซาก ชาวยิวจํานวนมากถูกฆ่าตายอย่างทารุณนองเลือด ส่วนที่เหลือก็ถูกไล่ออกจากดินแดนปาเลสไตน์จนหมด

6. ภารกิจของพระเยซูล้มเหลว?

พระเยซูคาดไว้ไม่มีผิด ภารกิจของพระองค์ล้มเหลว หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่านั้น ต้องพูดว่าประชาชนชาวยิวล้มเหลว ที่ได้ปล่อยให้โอกาสอันสําคัญยิ่งผ่านพ้นไป โดยไม่ได้ทําอะไรเพื่อแก้สถานการณ์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่ใช่จุดจบ ยังจะมีโอกาสอีก เพราะว่า ในที่สุดแล้วอาณาจักรพระเจ้าจะต้องมาถึง พระเจ้าต้องมีชัยชนะ คริสตชนรุ่นหลังพยายามเอาการประกาศและคําสอนของพระเยซู ไปดัดแปลงเข้ากับสถานการณ์ใหม่ของตน

สารของพระเยซูก็เป็นเหมือนสารของประกาศกสมัยก่อนๆ คือเป็นสารที่เจาะจงสําหรับสมัยของตนหรือสถานการณ์ในเวลานั้น แต่อย่างไรก็ตาม สารนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระกับมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานและเป็นความจริง สารนั้นจึงสามารถถ่ายทอดและแปลความหมายให้เข้ากับสมัยอื่น หรือสถานการณ์อื่นได้ หลังจากที่ภัยพิบัติได้เกิดแก่ชาติยิวแล้ว สารของพระเยซูก็ถูกนําไปปรับเข้ากับสังคมอื่นๆ และนี่ก็คือจุดประสงค์ของผู้เขียนพระวรสาร แต่เพื่อจะเข้าใจว่าพระเยซูพูดอะไร ทําอะไร มีความหมายอะไรสําหรับคนที่อยู่รอบข้าง (ก่อนที่จะมีศาสนาคริสต์เกิดขึ้น) เราจําเป็นต้องแยกแยะว่าในพระวรสาร อะไรเป็นเรื่องของสถานการณ์สมัยพระเยซู อะไรเป็นสิ่งที่ถูกปรับแปลงให้เข้ากับสถานการณ์สมัยหลัง

คำถาม
1.อาณาจักรพระเจ้าจะมาถึงได้อย่างไร?
2.ทำไมพระเยซูจึงรีบเร่งในการประกาศอาณาจักรพระเจ้า?
3.ท่านเข้าใจเรื่องนรกอย่างไร?
4.ภารกิจของพระเยซูล้มเหลวหรือไม่?

 

book