Skip to main content

1. การกระทำของความตาย

         จงคำนึงว่า ท่านเป็นดินและท่านจะกลับเป็นดิน จะมีวันหนึ่งที่ท่านจะต้องตายและจะต้องเปื่อยเน่าอยู่ในหลุม ตามคำของผู้ทำนายว่า “ฝูงหนอนจะเป็นเครื่องหุ้มห่อท่าน” (สดด. 14, 11) คนเราทุกคนจะต้องเผชิญเคราะห์กรรมอันเดียวกันนี้ไม่ว่าเป็นเจ้านายหรือไพร่ ไม่ว่าเป็นไนหลวงหรือข้าแผ่นดิน พอวิญญาณออกจากร่างกาย คราวหมดลมหายใจครั้งสุดท้ายแล้ว เมื่อนั้นวิญญาณจะเข้าไปสู่นิรันดรภาพ ส่วนรางกายก็จะกลับเป็นฝุ่นดิน (อสย. 103, 29)

        ให้พิจารณาเหมือนว่า ท่านกำลังอยู่ต่อหน้าคนที่เพิ่งสิ้นใจ จงเพ่งดูร่างของเขากำลังเหยียดอยู่บนที่นอน จะเห็นหัวพับมาทางอก ผมเผ้ายุ่งและยังเปียกชื้น เหงื่อเย็น ดวงตาลึก แก้มตอบ หน้าซีด ลิ้นและริมฝีปากเขียว ตัวเย็นและถ่วงทางดำเนินชีวิตและสละโลก

        ศพจะน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งขึ้นอีก เมื่อจะเริ่มเน่า หนุ่มสาวคนนั้นตายไปยังไม่ทันถึง 24 ชั่วโมง ก็ส่งกลิ่นแล้ว ! เอ้า ! ต้องเปิดหน้าต่าง ต้องสุมเผากำยานกว่านั้นอีก ต้องเร่งนำศพไปโบสถ์ เร่งนำไปฝากไว้ใต้ดิน มิฉะนั้นจะเหม็นคลุ้งไปทั้งบ้าน นอกนั้น ตามคำกล่าวของนักประพันธ์ผู้หนึ่ง “ยิ่งเป็นศพของเจ้านายหรือของเศรษฐี ก็ยิ่งจะแผลงฤทธิ์ส่งกลิ่นร้ายกาจขึ้น” (1)

        เกิดอะไรขึ้นกับ เจ้าคนหยิ่งผู้นั้น เจ้าคนสารเลวผู้นั้น ! แต่ก่อนใคร ๆ พากันกางแขนต้อนรับ อยากพบปะสนทนา แต่บัดนี้ใครเห็นก็รังเกียจและขยะแขยงพวกญาติมิตรก็เร่งขับไสให้ออกจากเรือน จ้างสัปเหร่อเอาใส่โลง แล้วหามไปทิ้งในหลุม แต่ก่อนเขามีชื่อลือกระฉ่อนว่า เป็นคนเฉียวฉลาด กิริยาน่ารัก มารยาทเข้าที รู้จักหยอกเย้าน่าเอ็นดู แต่พอตายไปได้พักหนึ่งใคร ๆ ก็ลืม “ความทรงจำถึงเขา มันหายไปพร้อมกับเสียง”(สดด 9, 7)

        เมื่อทราบข่าวว่า เขาตายไปแล้ว บ้างก็ว่า เขาเป็นคนมีเกียรติ บ้างก็ว่าเขามีบ้านงามน่าอยู่ บ้างก็เสียดาย เพราะเคยได้รับข้าวของจากเขา บ้างก็ยินดีสมน้ำหน้าที่เขาตายไป แต่ที่สุด ในไม่ช้า ไม่มีใครจะพูดถึงเขาอีก ชั้นแรกทีเดียวพวกญาติที่ใกล้ชิดไม่อยากได้ยินพูดถึงเขา กลัวจะปลุกความทุกข์ให้คุขึ้นอีกเมื่อมีผู้มาแสดงความไว้อาลัย ต่างก็พากันสนทนาถึงคนอื่น และหากใครเผอิญพลั้งปากพูดถึงผู้ตาย พ่อแม่ก็ขัดว่า “ขอทีเถิด อย่าเอ่ยชื่อเขาอีกเลย”

        ขอให้คิดดูว่า ท่านทำต่อญาติมิตรผู้ตายของท่านอย่างไร คนอื่นเขาก็จะทำต่อท่านอย่างนั้น คนที่ยังเป็น ก็เข้ามาแทน เข้ามารับทรัพย์สมบัติ สวมตำแหน่งแทนผู้ตาย ทั้งจะไม่เคารพ ไม่พูดถึงผู้ตายอีก แม้จะพูด ก็คำสองคำ ทีแรกญาติมิตรคงเศร้าไปวันสองวัน แต่ไม่ช้าก็จะคลายโศก เพราะได้รับปันมรดกชิ้นนี้ชิ้นนั้นตกที่สุดจะกลับยินดี ที่ท่านตายไปเสียด้วยซ้ำ และในห้องนั้นเอง ที่วิญญาณของท่านจะจากร่าง และที่ท่านจะต้องให้การต่อพระเยซูคริสต์ผู้พิพากษา เขาจะเต้นรำทำเพลง เขาจะกินเลี้ยง จะสนุกสนานเล่นหัวกันอย่างแต่ก่อน-ส่วนวิญญาณของท่านเล่า ขณะนั้น จะอยู่ที่ไหน ?

       ข้อเตือนใจและคำภาวนา.-

        ข้าแต่พระเยซู พระมหาไถ่ของข้าพเจ้า ขอขอบพระคุณที่มิได้ทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าตายขณะอยู่ในบาป ข้าพเจ้าสมจะไปอยู่นรกแต่กี่ปีมาแล้ว? หากข้าพเจ้าจะได้ตายไปในวันนั้น ในคืนนั้น บัดนี้จะเป็นอย่างไรแก่ข้าพเจ้า ตลอดทั้งนิรันดร ขอสมนาพระคุณอันนี้ พระเจ้าข้า : ข้าพเจ้ายอมรับความตาย เพื่อชดเชยบาปของข้าพเจ้า ทั้งยินดีตาย ตามแต่จะทรงพอพระทัย แต่ไหน ๆ พระองค์ได้ทรงคอยข้าพเจ้าจวบจนบัดนี้ ขอโปรดคอยข้าพเจ้าต่อไปอีกหน่อยหนึ่งเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีเวลาร้องไห้ เป็นทุกข์ถึงบาป ก่อนที่พระองค์จะทรงพิพากษา (10, 20)

        ข้าพเจ้าจะไม่ยอมขัดพระสุรเสียงของพระองค์ต่อไปแล้ว ใครจะไปรู้วาจาที่ข้าพเจ้าอ่านบัดนี้ บางทีจะเป็นคำเตือนใจสำหรับข้าเจ้าครั้งสุดท้ายแล้ว ! ข้าพเจ้าขอน้อมรับว่า ไม่สมคารจะได้รับพระกรุณา เพราะพระองค์ได้ทรงยกโทษข้าพเจ้าหลายครังหลายหนแล้ว ข้าพเจ้ายังใจดำ หันกลับมากัดพระองค์อีกเล่าพระสวามีเจ้าข้า พระองค์ไม่ทรงเคยเมินเฉยต่อผู้ที่ถ่อมตัวลงและเป็นทุกข์ นี่แน่ะคนทรยศแต่ตรอมใจ เข้ามากราบแทบพระบาท ขอทรงพระกรุณาด้วยเถิดโปรดอย่าผลักไสข้าพเจ้าเลย (สดด. 50, 19) พระองค์เองก็ได้มีพระดำรัสไว้ว่า “เราจะไม่ขับไล่ผู้มาหาเรา” (ยน. 6, 37) เป็นความจริงข้าพเจ้าได้ล่วงเกินพระองค์มากกว่าผู้อื่น เพราะได้รับความสว่าง และพระหรรษทานมากกว่าเขา ถึงกระนั้นเมื่อมองดูพระโลหิตที่พระองค์ได้ทรงหลั่งเพื่อข้าพเจ้าก็รู้สึกมีมานะ และมั่นใจว่าเมื่อข้าพเจ้าเป็นทุกข์จริง พระองค์ก็จะทรงอภัยบาปให้ ข้าแต่พระองค์คุณงามความดีล้นพ้น ข้าพเจ้าเป็นทุกข์แล้ว เป็นทุกข์ด้วยจริงใจ เพราะได้ดูหมิ่นพระองค์ขอทรงพระกรุณาอภัยโทษ และโปรดประทานพระหรรษทาน ให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ในบัดนี้และต่อไปในภายหน้า ข้าพเจ้าได้ทำชอกช้ำน้ำพระทัยมามากแล้ว พอเสียทีเถิด ข้าแต่พระเยซูที่สุดเสน่หาในชีวิตบั้นที่ยังเหลืออยู่นี้ ข้าพเจ้าจะไม่ยอมใช้ทำเคืองพระทัยของพระองค์อีกต่อไปเป็นอันขาด แต่จะใช้เพื่อร้องไห้เรื่อยไปเพราะบาปที่ได้กระทำ ช้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้น่ารักสุดพรรณนา ข้าพเจ้าขอรักพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจของข้าพเจ้า พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระแม่มารีอา ที่วางไว้ใจของข้าพเจ้า โปรดวิงวอนพระเยซูเพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด


 

2. ศพในหลุม

        คริสตชนที่รัก ท่านอยากจะเห็นให้แจ้งชัดขึ้นว่า ท่านเป็นอะไรหรือ ? จงปฏิบัติตามคำเตือนของนักบุญยวงคริสซอสโตมเถิดว่า “จงไปที่หลุม เพ่งตาดูฝุ่นดิน ดูเถ้า ดูฝูงหนอน แล้วให้ถอนใจเถิด” (2) มองดูเถิด ศพนั้น ทีแรกกลายเป็นสีเหลือง แล้วสีคล้ำ ต่อมาก็เห็นขนอ่อนสีขาวทั่ว ๆ ไป น่าสะอิดสะเอียนที่สุดก็ระเบิดออกเป็นน้ำเหลือง ส่งกลิ่นเหม็น ไหลลงตามพื้นดิน แล้วในกองปฏิกูลนั้นก็เกิดมีหนอนฝูงใหญ่ ชอนไชเนื้อ นอกนั้น ยังอาจมีหนูมาขบกินศพอีกด้วย บ้างก็วิ่งวนรอบ ๆ บ้างเข้าไปในปาก ในไส้พุง แก้ม ริมฝีปาก หนังบนศีรษะและผมหลุดออกทีละชิ้น ๆ เนื้อที่ซี่โครงจะหลุดออกก่อน แล้วถึงที่แขน ที่ลำขา เมื่อหนอนบ่อนไชเนื้อจนเกลี้ยงแล้ว ก็กินกันเอง ที่สุด ในร่างกายนั้น ไม่มีอะไรเหลือนอกจากซากกระดูกเหม็น ๆ ซึ่งจะค่อย ๆ หลุดจากกัน หัวจะหลุดจากลำตัว “มันได้กลายเป็นเหมือนละอองข้าวในลานฤดูร้อน ซึ่งต้องลมพัด ก็กระจายตลบไปในลานข้าว

        อัศวินผู้นั้น แต่ก่อนมีชื่อว่า เป็นคนสนุก เห็นตัวเอ้ในวงสนทนา เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน? เชิญเข้าไปดูในห้องของเขา เขาไม่อยู่แล้ว มองหาเตียงของเขา คนอื่นเอาไปแล้ว อาภรณ์เครื่องแต่งตัวและอาวุธของเขาเล่า ก็แจกจ่ากันหมดแล้วถ้าต้องการเห็นคัวเขา ก็จงก้มมองดูที่หลุมเถิดจะเห็นเขาเปลี่ยนไปเป็นกองปฏิกูลเป็นกระดูกไม่มีเนื้อ อนิจจา! ร่างกายอันนั้น ที่แต่ก่อนเคยกินเลี้ยงอิ่มหนำสำราญเคยนุ่งห่มหรูหรา เคยมีบ่าวทาสล้อมหน้าล้อมหลังเฝ้าปฏิบัติ บัดนี้กลายเป็นอย่างนี้เสียแล้วหรือ ?

        ส่วนท่านเล่า บรรดานักบุญสุนทานทั้งหลาย ท่านซึมซาบเรื่องนั้ดี จึงได้รักพระเป็นเจ้าแต่ผู้เดียว ท่านจึงได้รู้จักทรมานร่างกายของท่านเมื่ออยู่บนแผ่นดินและบัดนี้อัฐิของท่าน ได้รับการเก็บรักษาไว้เคารพเป็นพระธาตุ บรรจุอยู่ในกล่องทอง ส่วนวิญญาณอันงามของท่าน ก็กำลังเสวยความบรมสุขกับพระเป็นเจ้าคอยจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย จะได้เห็นร่างกายของท่าน ที่ได้เคยร่วมทุกข์กับวิญญาณในโลก ได้ร่วมความบรมสุขด้วยกันด้วย ความรักอันแท้ต่อรางกายต้องเป็นดังต่อไปนี้คือ ขนความทุกข์ยากบรรทุกใส่ร่างกาย เพื่อให้มันได้ความสุขตลอดนิรันดร และไม่ยอมให้มันได้รับความสุข อันจะทำให้มันต้องทุกข์ตลอดนิรันดรนั้นแล !

           ข้อเตือนใจและคำภาวนา.-

          ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ร่างกายที่ข้าพเจ้าเคยใช้ทำเคืองพระทัยนี้ สักวันหนึ่งมันจะต้องกลายเป็นหนอน กลายเป็นสิ่งปฏิกูล ช่างมันเถิด ข้าพเจ้าไม่เสียใจตรงกันข้าม ข้าแต่องค์คุณงามความดีที่ล้นพ้น ข้าพเจ้ากับดีใจสัยอีก เนื้อหนังอันนี้เคยทำให้ข้าพเจ้าเสียพระองค์ไป สมน้ำหน้าที่มันต้องผุเปื่อยและเน่าเหม็นไปสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าสัยใจก็คือ ข้าพเจ้าได้ประกอบกรรมทำชอกช้ำน้ำพระทัยเป็นอันมาก เพราะได้ฟักฟูมเอาอกเอาใจมัน อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าไม่หมดหวังพึ่งพระกรุณา เมื่อระลึกถึงคำของผู้ทำนายว่า “พระองค์ได้ทรงคอย คอยทรงแมตตาต่อข้พเจ้า” (อสย. 30, 18) และข้าพเจ้าเป็นทุกข์เมื่อไร พระองค์ก็ทรงยินดียกบาปให้เมื่อนั้น โอ้พระผู้ทรงพระทัยดี ข้าพเจ้าเลียใจที่ได้ดูหมิ่นพระองค์ ขอซ้ำวาจาของนักบุญคัทเธอรีนแห่งเชนอวาว่า “พระเยซูเจ้าข้า บาปหรือ ไม่เอาอีกแล้ว บาปหรือไม่เอาอีกแล้ว!” ข้าพเจ้าไม่ยอม ไม่ยอมดูแคลนความเพียรทนของพระองค์ต่อไปโอ้พระเยซูผู้ทรงรับตรึงบนไม้กางเขน เพราะรักข้าพเจ้า อันจะสวมกอดพระองค์เฉพาะเมื่อเวลาจะตาย คราวที่พระสงฆ์จะยื่นพระองค์ให้แก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าคอยไม่ไหว ขอจุมพิตพระองค์ในบัดนี้ และขอมอบวัญญาณของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ (สดด. 30, 6) วัญญาณของข้าพเจ้าอยู่ในโลกแต่หลายปีมานักแล้วแต่มิได้รักพระองค์ บัดนี้ขอประทานความสว่างและพละกำลัง เพื่อข้าพเจ้าจะได้รักพระองค์ ในชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ ข้าพเจ้าไม่ยอมรอจะไปรักพระองค์เฉพาะเมื่อเวลาจวนจะตาย แต่ขอรักพระองค์ตั้งแต่บัดนี้ ขอสวมกอดพระองค์ แนบพระองค์ไว้ในดวงใจ และขอสัญญาว่า จะไม่ยอมปล่อยพระองค์ไปอีกเลย พระเจ้าข้า

        โอ้พระนางพรหมจาริณี โปรดล่ามข้าพเจ้าไว้กับพระเยซูคริสตเจ้า และอย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าพรากจากพระองค์อีกเลย


 

3. ฉันจะทำอย่างไร เพื่อวัญญาณของฉัน ?

        พี่น้องที่รัก จงพิจารณาดูตัวท่านเอง ตามภาพที่ได้บรรยายมาแล้วเถิดจงมองดูสิ่งที่ท่านจะกลายเป็นในวันหนึ่ง “จำไว้เถอะ ท่านเป็นฝุ่นดิน และจะกลับ และจะกลับเป็นฝุ่นดิน” (3) จงคิดว่าอีกไม่กี่ปี และบางทีอีกไม่กี่เดือน ไม่กี่วัน ท่านก็จะกลับเป็นกองปฏิกูล เป็นหนอน โยบได้คิดเข่นนี้ จึงได้ทำให้ตนเป็นักบุญ ท่านกล่าวว่า “ข้าพูดกับสิ่งปฏิกูลว่า เจ้าคือพ่อของข้า และกับฝูงหนอนว่า เจ้าคือแม่คือพี่สาวของข้า”(โยบ.17, 14)

        ทุกสิ่งจะต้องจบสิ้น และหากขณะตาย ท่านเสียวิญญาณไป ก็เป็นอันว่าท่านเสียหมดทุกสิ่ง นักบุญเลาเรนซีโอ ยูสตีอาโน จึงเตือนว่า “จงคิดดังว่าท่านตายแล้ว ไหนๆ ท่านก็จะต้องตาย” (4) สมติว่าบัดนี้ท่านตายไปแล้ว ท่านอยากให้ได้ประกอบอะไรไว้บ้างหรือ? ก็ในบัดนี้ท่านตายไปแล้ว ท่านอยากให้ได้ประกอบอะไรไว้บ้าหรือ? ก็ในบัดนี้ ท่านยังมีชีวิตอยู่ จงคิดเถอะว่า ท่านจำเป็นจะต้องตายไปสักันหนึ่ง นักบุญโบนาเวนตูราบอกว่า นายเรือเขาไปอยู่ข้างท้ายเรือจะได้บังคับให้เรือแล่นไปด้วยดีคนเราก็เหมือนกัน อยากจะบำเพ็ญชีพให้ดีก็ต้องคิดเหมือนว่า คนตายไปแล้ว นักบุญเบอร์นาร์ดจึงเตือนว่า “จงมองดูบาปที่ได้ทำเมื่อยังเป็นเด็ก แล้วให้ละอาย จงมองดูบาป ที่ได้ทำเมื่อเป็นหนุ่มสาวแล้วร้องไห้ จงมองดูบาป ที่ได้ทำในบั้นปลาย แล้วให้สะดุ้งกลัว และเร่งแก้ไขเสีย” (5)

        นักบุญคามิลโล เดแลลลีส เมื่อมองดูหมุมฝังศพ ท่านพูดกับตนเองว่า: ถ้าผู้ตายเหล่านี้ เขาคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้แล้ว มีอะไรบ้างไหม ที่เขาจะไม่ยอมทำเพื่อเห็นแก่ชีวิตชั่วนิรันดร? ส่วนตัวฉันเล่า ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ ก็ฉันได้ทำอะไรบ้างเพื่อวิญญาณของฉัน แท้จริง ท่านนักบุญพูดเช่นนี้ ก็เพราะใจสุภาพ ส่วนท่านเล่าพี่น้องที่รัก บางทีมีเหตุผลจริงจัง ให้ท่านต้องกลัวว่า ท่านคือ มะเดื่อที่ไร้ผลต้นนั้น ซึ่งพระสวามีเจ้าได้ตรัสว่า “นี่แน่ะ เรามาหาผลจากมะเดื่อต้นนี้ แต่สามปีมาแล้วและเรามิได้พบ” (ลก. 13, 7)

        ท่านอยู่ในโลกมา ก็นานกว่าสามปี ท่านได้ผลิตผลอะไรบ้าง?นักบุญเบอร์นาร์ด ยังกำชับว่า “จงระวัง! พระสวามีเจ้าไม่ทรงต้องการแต่ดอก เพราะพระองค์ยังทรงต้องการผลด้วย” ท่านใคร่จะเตือนว่า พระเป็นเจ้าไม่ทรงประสงค์แต่ความตั้งใจดี ความปรารถนาดีเท่านั้น ยังทรงประสงค์กิจการอันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ขอให้ท่านรู้จักใช้เวลา ที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้ไนขณะนี้เถิดอย่าไปคอยหาเวลาทำความดี ในเมื่อไม่มีเวลาเสียแล้ว เพราะว่า เมื่อนั้นท่านจะได้ยินแต่คำว่า “เร็วเข้า! ถึงเวลาออกจากโลกนี้แล้ว เร็วเข้า ! อะไรแล้วก็แล้ว!”       

          ข้อเตือนใจและคำภาวนา.-

        ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าคือมะเดื่อต้นนั้นซึ่งแต่หลายปีมาแล้ว ควรจะได้ยินพระบัญชาว่า “ตัดมันเสียเถิด ปล่อยให้มันรกที่อยู่ทำไม?”(ลก. 13, 7) เป็นความจริง ข้าพเจ้าอยู่ในโลกมาหลายปีแล้ว และมิได้ผลิตผลอะไรถวายพระองค์ นอกจากรกหนาม คือ บาปแม้กระนั้น พระสวามีเจ้าข้า พระองค์ก็ไม่ทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้าเสียใจด้วย พระองค์เองได้ตรัสว่า “ผู้ใดแสวงหาเราผู้นั้นก็จะพบเรา” (มธ. 7, 7) ก็บันนี้ ข้าพเจ้าเข้ามาหาพระองค์และขอรับประทานพระหรรษทาน ข้าพเจ้าเสียใจเป็นที่สุดเพราะได้ทำขุ่นหมองพระทัย และปรารถนาจะตาย ด้วยความทุกข์ตรมตรอมเช่นนี้ ในกาลก่อนข้าพเจ้าได้ถอยหนีพระองค์แต่บัดนี้ ข้าพเจ้าถือว่ามิตรภาพของพระองค์ประเสริฐกว่าสมบัติพัสถานใด ๆ ในโลก ข้าพเจ้าไม่ยอมเมินเฉยต่อคำเรียกหาของพระองค์ต่อไปแล้ว โปรดรับข้าพเจ้าไว้เป็นของของพระองค์ทั้งหมดด้วยเถิด ข้าพเจ้ายกถวายตัวข้าพเจ้าแด่พระองค์โดยไม่เก็บอะไรไว้เลย ณ ไม้กางเขนที่พระองค์ได้ทรงประทานพระองค์แค่ข้าพเจ้าจนหมดสิ้น บัดนี้ข้าพเจ้าขอยกถวายตัวข้าพเจ้าจนหมดสิ้นแด่พระองค์บ้างพระเจ้าข้า

        พระองค์ได้ทรงตรัสว่า “ท่านจะขออะไรในนามของเรา เราจะประทานสิ่งนั้นให้” (ยน. 14, 4) พระเยซูที่สุดเสน่หาเจ้าข้า ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในพระสัญญานี้ : เดชะพระนามและพระบุญญาบารมีของพระองค์ ข้าพเจ้าขอรับพระหรรษทานและความรักต่อพระองค์ พระเจ้าข้า ขอโปรดให้วิญญาณของข้าพเจ้า ที่เคยเต็มไปด้วยบาป ให้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพระหรรษท่าน และความรักอันศักดิ์สิทธิ์ต่อพระองค์เถิด พระเจ้าข้า ขอฉลองพระคุณ ที่ทรงโปรดให้ข้าพเจ้ากล้าขอดังนี้และที่พระองค์ทรงดลใจให้ข้าพเจ้าขอดังนี้ก็เป็นสำคัญว่า พระองค์ทรงพอพระทัยอนุญาตตามคำวิงวอนแล้ว โปรดเถิด พระเยซูเจ้าข้า โปรดประทานตามคำวิงวอนของข้าพเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ารักพระองค์มาก ๆ ให้ข้าพเจ้าปรารถนาอันนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระแม่มารีอา องค์อุปถัมภ์ยิ่งใหญ่ของข้าพเจ้า โปรดฟังคำวิงวอนของข้าพเจ้าและโปรดวิงวอนพระเยซู เพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด 


(1) Gravius foetent divitum corpora (S. Ambrosius).
(2) Perge ad sepulcrum, comtemplare pulverem, cineres, vermes, et suspire.
(3) Memento, quia pulvis es, et in pulverem reverteris.
(4) Consider ate iam mortuum, quem scis de necessitate moriturum. (De lingo vitae, cap. 4).
(5) Vide prima, et erubesce;vide media, et ingemisce; vide novissima, et contremisce.  

1. การกระทำของความตาย

         จงคำนึงว่า ท่านเป็นดินและท่านจะกลับเป็นดิน จะมีวันหนึ่งที่ท่านจะต้องตายและจะต้องเปื่อยเน่าอยู่ในหลุม ตามคำของผู้ทำนายว่า “ฝูงหนอนจะเป็นเครื่องหุ้มห่อท่าน” (สดด. 14, 11) คนเราทุกคนจะต้องเผชิญเคราะห์กรรมอันเดียวกันนี้ไม่ว่าเป็นเจ้านายหรือไพร่ ไม่ว่าเป็นไนหลวงหรือข้าแผ่นดิน พอวิญญาณออกจากร่างกาย คราวหมดลมหายใจครั้งสุดท้ายแล้ว เมื่อนั้นวิญญาณจะเข้าไปสู่นิรันดรภาพ ส่วนรางกายก็จะกลับเป็นฝุ่นดิน (อสย. 103, 29)

        ให้พิจารณาเหมือนว่า ท่านกำลังอยู่ต่อหน้าคนที่เพิ่งสิ้นใจ จงเพ่งดูร่างของเขากำลังเหยียดอยู่บนที่นอน จะเห็นหัวพับมาทางอก ผมเผ้ายุ่งและยังเปียกชื้น เหงื่อเย็น ดวงตาลึก แก้มตอบ หน้าซีด ลิ้นและริมฝีปากเขียว ตัวเย็นและถ่วงทางดำเนินชีวิตและสละโลก

        ศพจะน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งขึ้นอี เมื่อจะเริ่มเน่า หนุ่มสาวคนนั้นตายไปยังไม่ทันถึง 24 ชั่วโมง ก็ส่งกลิ่นแล้ว ! เอ้า ! ต้องเปิดหน้าต่าง ต้องสุมเผากำยานกว่านั้นอีก ต้องเร่งนำศพไปโบสถ์ เร่งนำไปฝากไว้ใต้ดิน มิฉะนั้นจะเหม็นคลุ้งไปทั้งบ้าน นอกนั้น ตามคำกล่าวของนักประพันธ์ผู้หนึ่ง “ยิ่งเป็นศพของเจ้านายหรือของเศรษฐี ก็ยิ่งจะแผลงฤทธิ์ส่งกลิ่นร้ายกาจขึ้น” (1)

        เกิดอะไรขึ้นกับ เจ้าคนหยิ่งผู้นั้น เจ้าคนสารเลวผู้นั้น ! แต่ก่อนใคร ๆ พากันกางแขนต้อนรับ อยากพบปะสนทนา แต่บัดนี้ใครเห็นก็รังเกียจและขยะแขยงพวกญาติมิตรก็เร่งขับไสให้ออกจากเรือน จ้างสัปเหร่อเอาใส่โลง แล้วหามไปทิ้งในหลุม แต่ก่อนเขามีชื่อลือกระฉ่อนว่า เป็นคนเฉียวฉลาด กิริยาน่ารัก มารยาทเข้าที รู้จักหยอกเย้าน่าเอ็นดู แต่พอตายไปได้พักหนึ่งใคร ๆ ก็ลืม “ความทรงจำถึงเขา มันหายไปพร้อมกับเสียง”(สดด 9, 7)

        เมื่อทราบข่าวว่า เขาตายไปแล้ว บ้างก็ว่า เขาเป็นคนมีเกียรติ บ้างก็ว่าเขามีบ้านงามน่าอยู่ บ้างก็เสียดาย เพราะเคยได้รับข้าวของจากเขา บ้างก็ยินดีสมน้ำหน้าที่เขาตายไป แต่ที่สุด ในไม่ช้า ไม่มีใครจะพูดถึงเขาอีก ชั้นแรกทีเดียวพวกญาติที่ใกล้ชิดไม่อยากได้ยินพูดถึงเขา กลัวจะปลุกความทุกข์ให้คุขึ้นอีกเมื่อมีผู้มาแสดงความไว้อาลัย ต่างก็พากันสนทนาถึงคนอื่น และหากใครเผอิญพลั้งปากพูดถึงผู้ตาย พ่อแม่ก็ขัดว่า “ขอทีเถิด อย่าเอ่ยชื่อเขาอีกเลย”

        ขอให้คิดดูว่า ท่านทำต่อญาติมิตรผู้ตายของท่านอย่างไร คนอื่นเขาก็จะทำต่อท่านอย่างนั้น คนที่ยังเป็น ก็เข้ามาแทน เข้ามารับทรัพย์สมบัติ สวมตำแหน่งแทนผู้ตาย ทั้งจะไม่เคารพ ไม่พูดถึงผู้ตายอีก แม้จะพูด ก็คำสองคำ ทีแรกญาติมิตรคงเศร้าไปวันสองวัน แต่ไม่ช้าก็จะคลายโศก เพราะได้รับปันมรดกชิ้นนี้ชิ้นนั้นตกที่สุดจะกลับยินดี ที่ท่านตายไปเสียด้วยซ้ำ และในห้องนั้นเอง ที่วิญญาณของท่านจะจากร่าง และที่ท่านจะต้องให้การต่อพระเยซูคริสต์ผู้พิพากษา เขาจะเต้นรำทำเพลง เขาจะกินเลี้ยง จะสนุกสนานเล่นหัวกันอย่างแต่ก่อน-ส่วนวิญญาณของท่านเล่า ขณะนั้น จะอยู่ที่ไหน ?

       ข้อเตือนใจและคำภาวนา.-

        ข้าแต่พระเยซู พระมหาไถ่ของข้าพเจ้า ขอขอบพระคุณที่มิได้ทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าตายขณะอยู่ในบาป ข้าพเจ้าสมจะไปอยู่นรกแต่กี่ปีมาแล้ว? หากข้าพเจ้าจะได้ตายไปในวันนั้น ในคืนนั้น บัดนี้จะเป็นอย่างไรแก่ข้าพเจ้า ตลอดทั้งนิรันดร ขอสมนาพระคุณอันนี้ พระเจ้าข้า : ข้าพเจ้ายอมรับความตาย เพื่อชดเชยบาปของข้าพเจ้า ทั้งยินดีตาย ตามแต่จะทรงพอพระทัย แต่ไหน ๆ พระองค์ได้ทรงคอยข้าพเจ้าจวบจนบัดนี้ ขอโปรดคอยข้าพเจ้าต่อไปอีกหน่อยหนึ่งเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีเวลาร้องไห้ เป็นทุกข์ถึงบาป ก่อนที่พระองค์จะทรงพิพากษา (10, 20)

        ข้าพเจ้าจะไม่ยอมขัดพระสุรเสียงของพระองค์ต่อไปแล้ว ใครจะไปรู้วาจาที่ข้าพเจ้าอ่านบัดนี้ บางทีจะเป็นคำเตือนใจสำหรับข้าเจ้าครั้งสุดท้ายแล้ว ! ข้าพเจ้าขอน้อมรับว่า ไม่สมคารจะได้รับพระกรุณา เพราะพระองค์ได้ทรงยกโทษข้าพเจ้าหลายครังหลายหนแล้ว ข้าพเจ้ายังใจดำ หันกลับมากัดพระองค์อีกเล่าพระสวามีเจ้าข้า พระองค์ไม่ทรงเคยเมินเฉยต่อผู้ที่ถ่อมตัวลงและเป็นทุกข์ นี่แน่ะคนทรยศแต่ตรอมใจ เข้ามากราบแทบพระบาท ขอทรงพระกรุณาด้วยเถิดโปรดอย่าผลักไสข้าพเจ้าเลย (สดด. 50, 19) พระองค์เองก็ได้มีพระดำรัสไว้ว่า “เราจะไม่ขับไล่ผู้มาหาเรา” (ยน. 6, 37) เป็นความจริงข้าพเจ้าได้ล่วงเกินพระองค์มากกว่าผู้อื่น เพราะได้รับความสว่าง และพระหรรษทานมากกว่าเขา ถึงกระนั้นเมื่อมองดูพระโลหิตที่พระองค์ได้ทรงหลั่งเพื่อข้าพเจ้าก็รู้สึกมีมานะ และมั่นใจว่าเมื่อข้าพเจ้าเป็นทุกข์จริง พระองค์ก็จะทรงอภัยบาปให้ ข้าแต่พระองค์คุณงามความดีล้นพ้น ข้าพเจ้าเป็นทุกข์แล้ว เป็นทุกข์ด้วยจริงใจ เพราะได้ดูหมิ่นพระองค์ขอทรงพระกรุณาอภัยโทษ และโปรดประทานพระหรรษทาน ให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ในบัดนี้และต่อไปในภายหน้า ข้าพเจ้าได้ทำชอกช้ำน้ำพระทัยมามากแล้ว พอเสียทีเถิด ข้าแต่พระเยซูที่สุดเสน่หาในชีวิตบั้นที่ยังเหลืออยู่นี้ ข้าพเจ้าจะไม่ยอมใช้ทำเคืองพระทัยของพระองค์อีกต่อไปเป็นอันขาด แต่จะใช้เพื่อร้องไห้เรื่อยไปเพราะบาปที่ได้กระทำ ช้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้น่ารักสุดพรรณนา ข้าพเจ้าขอรักพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจของข้าพเจ้า พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระแม่มารีอา ที่วางไว้ใจของข้าพเจ้า โปรดวิงวอนพระเยซูเพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด


 

2. ศพในหลุม

        คริสตชนที่รัก ท่านอยากจะเห็นให้แจ้งชัดขึ้นว่า ท่านเป็นอะไรหรือ ? จงปฏิบัติตามคำเตือนของนักบุญยวงคริสซอสโตมเถิดว่า “จงไปที่หลุม เพ่งตาดูฝุ่นดิน ดูเถ้า ดูฝูงหนอน แล้วให้ถอนใจเถิด” (2) มองดูเถิด ศพนั้น ทีแรกกลายเป็นสีเหลือง แล้วสีคล้ำ ต่อมาก็เห็นขนอ่อนสีขาวทั่ว ๆ ไป น่าสะอิดสะเอียนที่สุดก็ระเบิดออกเป็นน้ำเหลือง ส่งกลิ่นเหม็น ไหลลงตามพื้นดิน แล้วในกองปฏิกูลนั้นก็เกิดมีหนอนฝูงใหญ่ ชอนไชเนื้อ นอกนั้น ยังอาจมีหนูมาขบกินศพอีกด้วย บ้างก็วิ่งวนรอบ ๆ บ้างเข้าไปในปาก ในไส้พุง แก้ม ริมฝีปาก หนังบนศีรษะและผมหลุดออกทีละชิ้น ๆ เนื้อที่ซี่โครงจะหลุดออกก่อน แล้วถึงที่แขน ที่ลำขา เมื่อหนอนบ่อนไชเนื้อจนเกลี้ยงแล้ว ก็กินกันเอง ที่สุด ในร่างกายนั้น ไม่มีอะไรเหลือนอกจากซากกระดูกเหม็น ๆ ซึ่งจะค่อย ๆ หลุดจากกัน หัวจะหลุดจากลำตัว “มันได้กลายเป็นเหมือนละอองข้าวในลานฤดูร้อน ซึ่งต้องลมพัด ก็กระจายตลบไปในลานข้าว

        อัศวินผู้นั้น แต่ก่อนมีชื่อว่า เป็นคนสนุก เห็นตัวเอ้ในวงสนทนา เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน? เชิญเข้าไปดูในห้องของเขา เขาไม่อยู่แล้ว มองหาเตียงของเขา คนอื่นเอาไปแล้ว อาภรณ์เครื่องแต่งตัวและอาวุธของเขาเล่า ก็แจกจ่ากันหมดแล้วถ้าต้องการเห็นคัวเขา ก็จงก้มมองดูที่หลุมเถิดจะเห็นเขาเปลี่ยนไปเป็นกองปฏิกูลเป็นกระดูกไม่มีเนื้อ อนิจจา! ร่างกายอันนั้น ที่แต่ก่อนเคยกินเลี้ยงอิ่มหนำสำราญเคยนุ่งห่มหรูหรา เคยมีบ่าวทาสล้อมหน้าล้อมหลังเฝ้าปฏิบัติ บัดนี้กลายเป็นอย่างนี้เสียแล้วหรือ ?

        ส่วนท่านเล่า บรรดานักบุญสุนทานทั้งหลาย ท่านซึมซาบเรื่องนั้ดี จึงได้รักพระเป็นเจ้าแต่ผู้เดียว ท่านจึงได้รู้จักทรมานร่างกายของท่านเมื่ออยู่บนแผ่นดินและบัดนี้อัฐิของท่าน ได้รับการเก็บรักษาไว้เคารพเป็นพระธาตุ บรรจุอยู่ในกล่องทอง ส่วนวิญญาณอันงามของท่าน ก็กำลังเสวยความบรมสุขกับพระเป็นเจ้าคอยจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย จะได้เห็นร่างกายของท่าน ที่ได้เคยร่วมทุกข์กับวิญญาณในโลก ได้ร่วมความบรมสุขด้วยกันด้วย ความรักอันแท้ต่อรางกายต้องเป็นดังต่อไปนี้คือ ขนความทุกข์ยากบรรทุกใส่ร่างกาย เพื่อให้มันได้ความสุขตลอดนิรันดร และไม่ยอมให้มันได้รับความสุข อันจะทำให้มันต้องทุกข์ตลอดนิรันดรนั้นแล !

       ข้อเตือนใจและคำภาวนา.-

        ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ร่างกายที่ข้าพเจ้าเคยใช้ทำเคืองพระทัยนี้ สักวันหนึ่งมันจะต้องกลายเป็นหนอน กลายเป็นสิ่งปฏิกูล ช่างมันเถิด ข้าพเจ้าไม่เสียใจตรงกันข้าม ข้าแต่องค์คุณงามความดีที่ล้นพ้น ข้าพเจ้ากับดีใจสัยอีก เนื้อหนังอันนี้เคยทำให้ข้าพเจ้าเสียพระองค์ไป สมน้ำหน้าที่มันต้องผุเปื่อยและเน่าเหม็นไปสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าสัยใจก็คือ ข้าพเจ้าได้ประกอบกรรมทำชอกช้ำน้ำพระทัยเป็นอันมาก เพราะได้ฟักฟูมเอาอกเอาใจมัน อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าไม่หมดหวังพึ่งพระกรุณา เมื่อระลึกถึงคำของผู้ทำนายว่า “พระองค์ได้ทรงคอย คอยทรงแมตตาต่อข้พเจ้า” (อสย. 30, 18) และข้าพเจ้าเป็นทุกข์เมื่อไร พระองค์ก็ทรงยินดียกบาปให้เมื่อนั้น โอ้พระผู้ทรงพระทัยดี ข้าพเจ้าเลียใจที่ได้ดูหมิ่นพระองค์ ขอซ้ำวาจาของนักบุญคัทเธอรีนแห่งเชนอวาว่า “พระเยซูเจ้าข้า บาปหรือ ไม่เอาอีกแล้ว บาปหรือไม่เอาอีกแล้ว!” ข้าพเจ้าไม่ยอม ไม่ยอมดูแคลนความเพียรทนของพระองค์ต่อไปโอ้พระเยซูผู้ทรงรับตรึงบนไม้กางเขน เพราะรักข้าพเจ้า อันจะสวมกอดพระองค์เฉพาะเมื่อเวลาจะตาย คราวที่พระสงฆ์จะยื่นพระองค์ให้แก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าคอยไม่ไหว ขอจุมพิตพระองค์ในบัดนี้ และขอมอบวัญญาณของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ (สดด. 30, 6) วัญญาณของข้าพเจ้าอยู่ในโลกแต่หลายปีมานักแล้วแต่มิได้รักพระองค์ บัดนี้ขอประทานความสว่างและพละกำลัง เพื่อข้าพเจ้าจะได้รักพระองค์ ในชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ ข้าพเจ้าไม่ยอมรอจะไปรักพระองค์เฉพาะเมื่อเวลาจวนจะตาย แต่ขอรักพระองค์ตั้งแต่บัดนี้ ขอสวมกอดพระองค์ แนบพระองค์ไว้ในดวงใจ และขอสัญญาว่า จะไม่ยอมปล่อยพระองค์ไปอีกเลย พระเจ้าข้า

        โอ้พระนางพรหมจาริณี โปรดล่ามข้าพเจ้าไว้กับพระเยซูคริสตเจ้า และอย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าพรากจากพระองค์อีกเลย


 

3. ฉันจะทำอย่างไร เพื่อวัญญาณของฉัน ?

        พี่น้องที่รัก จงพิจารณาดูตัวท่านเอง ตามภาพที่ได้บรรยายมาแล้วเถิดจงมองดูสิ่งที่ท่านจะกลายเป็นในวันหนึ่ง “จำไว้เถอะ ท่านเป็นฝุ่นดิน และจะกลับ และจะกลับเป็นฝุ่นดิน” (3) จงคิดว่าอีกไม่กี่ปี และบางทีอีกไม่กี่เดือน ไม่กี่วัน ท่านก็จะกลับเป็นกองปฏิกูล เป็นหนอน โยบได้คิดเข่นนี้ จึงได้ทำให้ตนเป็นักบุญ ท่านกล่าวว่า “ข้าพูดกับสิ่งปฏิกูลว่า เจ้าคือพ่อของข้า และกับฝูงหนอนว่า เจ้าคือแม่คือพี่สาวของข้า”(โยบ.17, 14)

        ทุกสิ่งจะต้องจบสิ้น และหากขณะตาย ท่านเสียวิญญาณไป ก็เป็นอันว่าท่านเสียหมดทุกสิ่ง นักบุญเลาเรนซีโอ ยูสตีอาโน จึงเตือนว่า “จงคิดดังว่าท่านตายแล้ว ไหนๆ ท่านก็จะต้องตาย” (4) สมติว่าบัดนี้ท่านตายไปแล้ว ท่านอยากให้ได้ประกอบอะไรไว้บ้างหรือ? ก็ในบัดนี้ท่านตายไปแล้ว ท่านอยากให้ได้ประกอบอะไรไว้บ้าหรือ? ก็ในบัดนี้ ท่านยังมีชีวิตอยู่ จงคิดเถอะว่า ท่านจำเป็นจะต้องตายไปสักันหนึ่ง นักบุญโบนาเวนตูราบอกว่า นายเรือเขาไปอยู่ข้างท้ายเรือจะได้บังคับให้เรือแล่นไปด้วยดีคนเราก็เหมือนกัน อยากจะบำเพ็ญชีพให้ดีก็ต้องคิดเหมือนว่า คนตายไปแล้ว นักบุญเบอร์นาร์ดจึงเตือนว่า “จงมองดูบาปที่ได้ทำเมื่อยังเป็นเด็ก แล้วให้ละอาย จงมองดูบาป ที่ได้ทำเมื่อเป็นหนุ่มสาวแล้วร้องไห้ จงมองดูบาป ที่ได้ทำในบั้นปลาย แล้วให้สะดุ้งกลัว และเร่งแก้ไขเสีย” (5)

        นักบุญคามิลโล เดแลลลีส เมื่อมองดูหมุมฝังศพ ท่านพูดกับตนเองว่า: ถ้าผู้ตายเหล่านี้ เขาคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้แล้ว มีอะไรบ้างไหม ที่เขาจะไม่ยอมทำเพื่อเห็นแก่ชีวิตชั่วนิรันดร? ส่วนตัวฉันเล่า ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ ก็ฉันได้ทำอะไรบ้างเพื่อวิญญาณของฉัน แท้จริง ท่านนักบุญพูดเช่นนี้ ก็เพราะใจสุภาพ ส่วนท่านเล่าพี่น้องที่รัก บางทีมีเหตุผลจริงจัง ให้ท่านต้องกลัวว่า ท่านคือ มะเดื่อที่ไร้ผลต้นนั้น ซึ่งพระสวามีเจ้าได้ตรัสว่า “นี่แน่ะ เรามาหาผลจากมะเดื่อต้นนี้ แต่สามปีมาแล้วและเรามิได้พบ” (ลก. 13, 7)

        ท่านอยู่ในโลกมา ก็นานกว่าสามปี ท่านได้ผลิตผลอะไรบ้าง?นักบุญเบอร์นาร์ด ยังกำชับว่า “จงระวัง! พระสวามีเจ้าไม่ทรงต้องการแต่ดอก เพราะพระองค์ยังทรงต้องการผลด้วย” ท่านใคร่จะเตือนว่า พระเป็นเจ้าไม่ทรงประสงค์แต่ความตั้งใจดี ความปรารถนาดีเท่านั้น ยังทรงประสงค์กิจการอันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ขอให้ท่านรู้จักใช้เวลา ที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้ไนขณะนี้เถิดอย่าไปคอยหาเวลาทำความดี ในเมื่อไม่มีเวลาเสียแล้ว เพราะว่า เมื่อนั้นท่านจะได้ยินแต่คำว่า “เร็วเข้า! ถึงเวลาออกจากโลกนี้แล้ว เร็วเข้า ! อะไรแล้วก็แล้ว!”

       

         ข้อเตือนใจและคำภาวนา.-

        ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าคือมะเดื่อต้นนั้นซึ่งแต่หลายปีมาแล้ว ควรจะได้ยินพระบัญชาว่า “ตัดมันเสียเถิด ปล่อยให้มันรกที่อยู่ทำไม?”(ลก. 13, 7) เป็นความจริง ข้าพเจ้าอยู่ในโลกมาหลายปีแล้ว และมิได้ผลิตผลอะไรถวายพระองค์ นอกจากรกหนาม คือ บาปแม้กระนั้น พระสวามีเจ้าข้า พระองค์ก็ไม่ทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้าเสียใจด้วย พระองค์เองได้ตรัสว่า “ผู้ใดแสวงหาเราผู้นั้นก็จะพบเรา” (มธ. 7, 7) ก็บันนี้ ข้าพเจ้าเข้ามาหาพระองค์และขอรับประทานพระหรรษทาน ข้าพเจ้าเสียใจเป็นที่สุดเพราะได้ทำขุ่นหมองพระทัย และปรารถนาจะตาย ด้วยความทุกข์ตรมตรอมเช่นนี้ ในกาลก่อนข้าพเจ้าได้ถอยหนีพระองค์แต่บัดนี้ ข้าพเจ้าถือว่ามิตรภาพของพระองค์ประเสริฐกว่าสมบัติพัสถานใด ๆ ในโลก ข้าพเจ้าไม่ยอมเมินเฉยต่อคำเรียกหาของพระองค์ต่อไปแล้ว โปรดรับข้าพเจ้าไว้เป็นของของพระองค์ทั้งหมดด้วยเถิด ข้าพเจ้ายกถวายตัวข้าพเจ้าแด่พระองค์โดยไม่เก็บอะไรไว้เลย ณ ไม้กางเขนที่พระองค์ได้ทรงประทานพระองค์แค่ข้าพเจ้าจนหมดสิ้น บัดนี้ข้าพเจ้าขอยกถวายตัวข้าพเจ้าจนหมดสิ้นแด่พระองค์บ้างพระเจ้าข้า

        พระองค์ได้ทรงตรัสว่า “ท่านจะขออะไรในนามของเรา เราจะประทานสิ่งนั้นให้” (ยน. 14, 4) พระเยซูที่สุดเสน่หาเจ้าข้า ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในพระสัญญานี้ : เดชะพระนามและพระบุญญาบารมีของพระองค์ ข้าพเจ้าขอรับพระหรรษทานและความรักต่อพระองค์ พระเจ้าข้า ขอโปรดให้วิญญาณของข้าพเจ้า ที่เคยเต็มไปด้วยบาป ให้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพระหรรษท่าน และความรักอันศักดิ์สิทธิ์ต่อพระองค์เถิด พระเจ้าข้า ขอฉลองพระคุณ ที่ทรงโปรดให้ข้าพเจ้ากล้าขอดังนี้และที่พระองค์ทรงดลใจให้ข้าพเจ้าขอดังนี้ก็เป็นสำคัญว่า พระองค์ทรงพอพระทัยอนุญาตตามคำวิงวอนแล้ว โปรดเถิด พระเยซูเจ้าข้า โปรดประทานตามคำวิงวอนของข้าพเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ารักพระองค์มาก ๆ ให้ข้าพเจ้าปรารถนาอันนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระแม่มารีอา องค์อุปถัมภ์ยิ่งใหญ่ของข้าพเจ้า โปรดฟังคำวิงวอนของข้าพเจ้าและโปรดวิงวอนพระเยซู เพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด

 


(1) Gravius foetent divitum corpora (S. Ambrosius).
(2) Perge ad sepulcrum, comtemplare pulverem, cineres, vermes, et suspire.
(3) Memento, quia pulvis es, et in pulverem reverteris.
(4) Consider ate iam mortuum, quem scis de necessitate moriturum. (De lingo vitae, cap. 4).
(5) Vide prima, et erubesce;vide media, et ingemisce; vide novissima, et contremisce.  

1. ชีวิตวิ่งหนี

       ชีวิตของท่านเป็นอย่างไร? เป็นเหมือนไอน้ำ ซึ่งถูกลมพัดหน่อยหนึ่งแล้วก็กระจายหายไปหมด ใครๆ ก็รู้ว่า ตัวจะต้องตาย แต่มีหลายคนหลงคิดว่าความตายนั้นอยู่ไกลแสนไกลราวกับว่า ไม่มีวันจะมาถึง โยบเตือนไว้มิใช่หรือว่าชีวิตมนุษย์นั้นสั้น ท่านกล่าวว่า “มนุษย์เจริญอยู่ชัวเวลาเล็กน้อย คล้ายกับว่าดอกไม้บานแล้วก็เหี่ยว ชีวิตวิ่งหนีราวกับเงาไม้”(โยบ. 14, 1-2) พระสวามีเจ้าได้ทรงบัญชาให้อิสิยาห์เทศน์ในใจความเดียวันว่า “มนุษย์ทุกคนเป็นเหมือนตันหญ้า...ประชาชาติเป็นต้นหญ้าจริง ๆ หญ้าแห้ง และดอกไม้โรย”(อสย. 10, 6) ชีวิตมนุษย์เหมือนชีวิตต้นหญ้า : มนุษย์ตาย ต้นหญ้าแห้ง พอสิ้นใจ ดอกไม้แห่งความเป็นเจ้าใหญ่นายโต ดอกไม้แห่งทรัพย์สมพัติของโลกนี้ก็โรยลง

        ความตายวิ่งมาหาเราวเร็วกว่านักวิ่งเสียอีก (โยบ. 9, 25) และเราก็วิ่งใปหาความตายทุก ๆ นาที เราเขยิบเข้าไปใกล้ความตายทุก ๆ ชั่วลมหายใจ นักบุญฮีเอโรนิโมกล่าวว่า “ที่ข้าพเจ้าเขียนนี้ ก็เป็นชีวิตส่วนหนึ่งของข้าพเจ้าที่ล่วงไป”(1)เราทุกคนตายและพับลงกับพื้น เหมือนน้ำที่ไม่ไหลกลับ”(2 ซมอ. 14, 14) จงดูน้ำในลำห้วยนั้นเถิด มันกำลังไหลไปสู่ทะเล แต่ไม่ไหลกลับ เช่นเดียวกันนี้แหละ พี่น้อง วันเวลาของท่านที่ล่วงพ้นไป เขยิบท่านให้เข้าไปใกล้ความตาย ความสนุกสบาย การรื่นเริง ความโอ่อ่า คำชมเชย การโห่ร้องสรรเสริญทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนล่วงพ้นไปสิ้น และเหลืออะไร? “เหลือก็แต่หลุม สำหรับฉัน”(โยบ. 17, 1) เราจะถูกทิ้งในหลุม ที่นั่นเราจะเปื่อยเน่าไม่มีอะไรติดตัว อันจะระลึกถึงความสนุกสุขสบายที่ได้เคยรับ ยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้เคยรับ ในเวลาเมื่อไกล้จะตายนั้น มีแต่จะเพิ่มความเศร้าและทวีความหมดหวังในการเอาวิญญาณรอดเท่านั้น เมื่อนั้นคนใจโลกจะพูดว่า แล้วกันเรือนของฉัน เรือกสวนไร่นาของฉัน เครื่องเรือนอันถูกอกถูกใจ รูปภาพ และเสื้อย้างาม ๆ ของฉัน ในไม่ช้าจะไม่เป็นของฉันเสียแล้ว! “จะเหลือก็แต่หลุมสำหรับฉัน”(โยบ. 17, 1)

        อา ! ผู้เคยหมกมุ่นจดจ่ออยู่ในสมบัติพัสถานของโลก เมื่อจะมองเห็นมันเข้าในขณะนั้น จะมีแต่ความเศร้า และก็ความเศร้านี้เอง รังแต่จะทำให้เอาตัวรอดได้ยากขึ้น ชาวเราเคยเห็นจนชินตาแล้วมิใช่หรือว่าคนใจโลก เมื่อใหล้จะตายเขาไม่ชอบพูดถึงเรื่องอะไร นอกจากเรื่องความเจ็บไข้ของเขา เรื่องหมอที่น่าจะไปรับมา เรื่องยาขนานที่อาจจะทุเลาความเจ็บไข้ของเขา ถ้าใครไปพูดถึงเรื่องวิญญาณ เขาให้รู้สึกเบื่อทันที พูดว่า ขอทีเถอะน่ะ ปล่อยให้ฉันพักผ่อนสักนิดเถอะ ฉันปวดหัว ฉันไม่อยากฟัง และบางครั้งถึงเขาตอบอะไรบ้างก็อ้อมแอ้มคลุมเคลือ ไม่แน่ว่าพูดอะไรหลาย ๆ ครั้ง เมื่อพระสงฆ์โปรดยกบาปให้ ไม่ใช่เพราะท่านเห็นว่า เขารัยมพร้อมดีแล้ว แต่เพราะหมดเวลา คอยต่อไปไม่ได้ต่างหาก คนที่ไม่ค่อยคิดถึงความตาย ย่อมตายด้วยประการฉะนี้!

         ข้อเตือนใจและคำภาวนา

          ข้าแต่พระสวามีผู้ทรงพระมหิทธิศักดิ์หาขอบเขตมิได้ ข้าพเจ้ารู้สึกละอาย ที่มาปรากฏตัวอยู่เฉพาะพระพักตร์ ! กี่ครั้งกี่หนแล้ว ข้าพเจ้าได้ลบหลู่พระองค์ ถือว่าความสนุกอันสารเลว ความมุทะลุ ดินก้อนหนึ่ง น้ำใจตนเอง ควันหน่อยหนึ่ง ดีกว่าพระหรรษทานของพระองค์ ! ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการและขอจูบรายแผลอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์พระมหาไถ่ บาดแผลนั้น ข้าพเจ้าเองเป็นผู้ทำ และก็บาดแผลนี้เอง ที่ทำให้ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้รับอภัยโทษ และเอาวิญญาณรอด พระเยซูเจ้าข้า โปรดเถิด โปรดให้ข้าพเจ้าตระหนักแจ้งในความผิดอันยิ่งใหญ่ ที่ข้าพเจ้าได้ละทิ้งพระองค์ผู้เป็นสายธารแห่งคุณงามความดีทั้งสิ้น และไพล่ไปดื่มน้ำโสโครกที่มีแต่พิษร้าย ก็การที่ข้าพเจ้าได้ทำชอกช้ำน้ำพระทัยอย่างมากมายนั้น ให้ประโยชน์อะไรแก่ข้าพเจ้าบ้าง นอกจากให้ความทุกข์ ความกลัดกลุ้มในมโนธรรมและตั๋ววที่จะนำไปสู่นรก? “คุณพ่อครับ ผมไม่สมจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกแล้ว”(ลก. 15, 21) ข้าแต่พระบิดา โปรดอย่าผลักใสข้าพเจ้าเลย จริงแล้ว ข้าพเจ้าไม่สมจะได้รับพระหรรษทาน อันทำให้ข้าพเจ้าเป็นบุตรของพระองค์ แต่พระองค์ก็ได้ทรงยอมตาย เพือยกบาปของข้าพเจ้ามิใช่หรือ? พระองค์ยังได้ทรงพระกรุณาตรัสว่า “จงหันมาหาเราเถิด และเราจะหันไปหาเจ้า”(ศคย. 1, 3) บัดนี้ ข้าพเจ้าขอสละการชอบทำตามอำเภอใจตนเอง ข้าพเจ้าจะไม่เอาความสนุกสบายประสาโลกอีกต่อไปแล้ว และข้าพเจ้าหันมาหาพระองค์โปรดเห็นแก่พระโลหิตที่พระองค์ได้ทรงหลั่งเพื่อข้าพเจ้า และทรงพระกรุณาอภัยบาปของข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ด้วยจริงใจที่ได้กระทำบาปผิดต่อพระองค์ในทุกประการแล้ว ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ ข้าพเจ้ารักพระองค์ยิ่งกว่าอะไร ๆ ทั้งหมดแล้ว ข้าพเจ้าไม่สมะรักพระองค์ก็จริง แต่พระองค์ทรงน่ารักหาที่สุดมิได้ ฉะนั้นโปรดอนุญตให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ด้วยเถิด ขออย่าทรงถือ ในกาลก่อนที่ดวงใจของข้าพเจ้า เคยหมิ่นประมาทพระองค์ แต่บัดนี้ได้หันกลับมารักพระ พระเจ้าข้า ที่พระองค์มิได้ทรงให้ข้าพเจ้าตาย ขณะอยู่ในบาปนั้นก็เพราะทรงหวังจะให้ข้าพเจ้ารำพระองค์มิใช่หรือ? แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอรักพระองค์และไม่ยอมรักสิ่งใดอื่นนอกจากพระองค์แล้ว ทรงพระกรุณาช่วยข้าพเจ้าด้วย โปรดให้ข้าพเจ้าตั้งมั่นอยู่ในความดี และในความรักอันศักดิ์สิทธิ์ต่อพระองค์เสมอไป พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระแม่มารีอา ที่หลบภัยของข้าพเจ้า กรุณาฝากฝังข้าพเจ้าไว้กับพระเยซูคริสตโตด้วยเถิด


 

2. จงคำนึงดั่งว่า ท่านกำลังตาย

      กษัตริย์เฮเซคีอัสทรงปรารภว่า “ชีวิตของข้าพเจ้าถูกถอนออก คล้ายช่างทอผ้าตัดด้าย ข้าพเจ้าเพิ่งเกิดมาไม่ทันเท่าไร ก็ถูกถอนออกเสียแล้ว!”(อสค. 38, 12) อนิจจา ! คนเรากี่คนกำลังตั้งหน้าทอผ้าอย่างจริงจัง กล่าวคือ กำลังเตรียมจะให้เป็นไปตามความมุ่งหวังประสาโลก เขาบรรจงกะ บรรจงวัด แต่แล้วความตายก็มาถึง มาตัดทอนทุกสิ่งขาดสะบั้นลง แต่พอเทียนแห่งวาระสุดท้ายจะทอแสง เมื่อนั้น ทุกสิ่งของโลกก็จะจบสิ้น ทั้งคำชมเชย ความสนุกสนาน ความโอ่อ่า และความเป็นใหญ่เป็นโต ! ความลึกลับของความตายเป็นดังนี้ : ความตายเผยให้เราแลเห็นสิ่งซึ่งชาวโลกมองไม่เห็น ทรัพย์สมบัติหน้าที่สูง ๆ ชัยชนะอย่างงาม ๆ ที่ต่างพากันยื้อยุด แต่ถ้ามองดูจากที่นอน ขณะกำลังจะตายมันก็อับแสง เมื่อนั้น ความคิดฝันถึงเรื่องความสนุกสบายจอมปลอมที่เราได้เคยมีจะทำให้เราโมโหความบ้าบอของตนเอง เงามืดอันแสนเศร้าแห่งความตายจะมาครอบคลุม และยศศักดิ์ทั้งหลาย แม้ราชศักดิ์ก็จะดำมืดไป

        ขณะสบายดีอยู่ ราคะ ตัณหาแต่งแต้มทรัพย์สมบัติของโลกนี้ จนปรากฏผิดกับที่มันเป็นจริง แต่ความตายจะเปิดโปง จะแจงสี่เบี้ยให้เห็นตามความจริงว่ามันเป็นเพียง ควัน โคลน ความเปล่า และสิ่งปฏิกูล พระเจ้าข้า ทรัพย์สมบัติความเป็นเจ้านาย ความเป็นในหลวง จะเป็นประโยชน์อะไร ขณะเมื่อจะตาย? เพราะว่าในคราวนั้น เพียงแต่โลงไม้ หรือเพียงแต่ผ้าผืนหนึ่งกว้างยาวพอห่อศพก็พอแก่ความต้องการแล้ว ! เกียรติยศในคราวนั้น จะเป็นประโยชน์อะไร ในเมื่อจะเหลือเพียงการแห่ศพ และงานศพหรู ๆ ซึ่งที่แท้ หากวิญญาณพินาศไปลแล้วมันก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่วิญญาณสักนิด? การที่เคยมีรูปร่างงาม ก็จะเป็นประโยชน์อะไรในคราวนั้น ในเมื่อเหลืออยู่แต่จะเป็นฝูงหนอน กลิ่นเหม็น และความสะอิดสะเอียนซึ่งอาจจะเป็นดังนี้ได้ แม้เมื่อก่อนจะตาย แล้วในที่สุดก็จะเหลืออยู่แต่ ฝุ่นดินเหม็น ๆ กอบหนึ่งเท่านั้น?

        “เขาได้ทำให้ข้าพเจ้า กลายเป็นขี้ปากประชากร และเป็นสิ่งอันสยดสยองต่อตาประชาชน”(โยบ. 17, 6) เมื่อเศรษฐีคนนี้ รัฐมนตรีคนนั้น นายทหารคนโน้นตายละ ใคร ๆ ก็พากันโจษจันถึง และหากเขาได้ประพฤติตนไม่ดีงาม ก็จะกลายเป็นนิยาย ที่ประชาชนพากันเล่า ชักเขาเป็นตัวอย่างแห่งความฟุ้งเฟ้อของโลก และเป็นอุทาหรณ์ควมยุติธรรมของพระเป็นเจ้า มีประโยชน์ให้คนอื่นเข็ดหลาบ ที่สุด ในหลุม เขาก็จะปะปนอยู่กับซากศพของคนจน “ณ ที่นั้นมีทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่”(โยบ. 3, 19) การเคยมีร่างกายสะโอดสะอง จะประอะไรเล่าเมื่อบัดนี้จะเป็นแต่ฝูงหนอน? การเคยมีอำนาจวาสนาจะประโยชน์อะไรเล่าเมื่อบัดนี้จะถูกทิ้งให้เปื่อยเน่าอยู่ในหลุม และเป็นต้น หากวิญญาณถูกทิ้งให้เผาไฟอยู่ในนรกแล้ว? โอ้ ! มันเป็นเคราะห์ร้ายแสนร้าย อันจะทำตัวของเราเป็นเครื่องรำพึงคำนึงของผู้อื่น แต่ตัวเราเองมิได้คำนึงรำพึงเพื่อประโยชน์ของตนเอง! โปรดเชื่อเภิด การที่คิดจะทำการแก้ไขความวุ่นวายในมโนธรรม ขณะเมื่อใกล้จะตาย นันเป็นเวลาไม่เหมาะ ที่เหมาะคือ ขณะกำลังสบายดีอยู่ สิ่งที่ท่านจะทำในเวลานั้นไม่ได้ จงเร่งทำเสียในเวลานี้เถิดทุก ๆ สิ่ง ล่วงไปเร็ว หมดไปเร็ว “เวลานั้นสั้น”(1 คร. 7, 19) ฉะนั้นชาวเราทั้งหลาย จงกระทำทุก ๆ สิ่ง เพื่อประโยชน์แก่ชีวิตชั่วนิรันดรของเราเถิด

        ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        โอ้พระเจ้าแห่งวิญญาณของข้าพเจ้า โอ้ องค์คุณงามความดีอันปราศจากขอบเขต ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปหนานี้ด้วยเถิด ก่อนนี้ข้าพเจ้าก็ทราบอยู่แล้ว ว่าการทำบาป ทำให้เสียพระหรรษทานของพระองค์อล้ว ข้าพเจ้าก็ยังได้ปลงใจกระทำไป ขอทรงเมตตาแนะนำข้าพเจ้าเถิดว่า จะต้องทำอย่างไรจึงจะได้พระหรรษทานนั้นคืนมา พระองค์ทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ถึงบาปหรือ? ข้าพเจ้าก็เป็นทุกข์ด้วยจริงใจ และใคร่จะตรอมใจตายเพราะความทุกข์นี้ พระองค์ทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้าวางใจในพระมหากรุณาหรือ? ข้าพเจ้าก็วางใจในพระบุญญาบารมีและในพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ให้มากที่สุดหรือ? ข้าพเจ้าก็สละทุกสิ่ง สละอำเภอใจ และประโยชน์ทั้งสิ้น ฝ่ายโลกและข้าพเจ้ารักพระองค์ยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้นแล้ว ที่สุดพระมหาไถ่ที่สุดเสน่หา พระองค์ทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้าภาวนาขอพระหรรษทานหรือ? ข้าพเจ้าก็ภาวนาขอพระหรรษทานสองประการคือ ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทำบาปอีก และขอให้พ้าพเจ้ารักพระองค์ นอกนั้นพระองค์จะทรงทำอย่างไรต่อข้าพเจ้า ก็สุดแล้วแต่จะทรงโปรดเถิด พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระนางมารีอา ความหวังของข้าพเจ้า ขอช่วยให้ข้าพเจ้าได้รับพระหรรษทานดังทูลขอมานี้ด้วยเถิด ข้าพเจ้าวางใจในท่าน


 

3. จงทำตนให้ตายดีแน่ ๆ ไว้เถิด

        มันเป็นความบ้าโฉดเขลากนักหนามิใช่หรือ ในการที่จะหาคสามสุขอันสารเลวชั่วแล่น ในชีวิตอันสั้น ๆ นี้ แล้วยอมเสี่ยงต่อความตายร้าย ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นแห่งความทุกข์ทรมานตลอดทั้งชั่วนิรันดร? โอ้ว่า ! วาระสุดท้ายสมหายใจออกครั้งสุท้าย การปิดฉากตอนสุดท้าย เป็นสิ่งที่สำคัญเพียงไรหนอ? สำคัญเพราะเป็นนิรันดรภาพของความบรมสุขทุกชนิด หรือเป็นนิรันดรภาพของความทุกข์ทุกชนิด ! ของให้คิดดู พระเยซูคริสต์ได้ทรงยอมสิ้นพระชนม์อย่างอัปมงคลที่สุด เพราะอะไร? เพื่อช่วยเราให้ตายดีมิใช่หรือ? พระองค์ยังได้ทรงเชื้อเชิญเราบ่อย ๆ ได้ประทานความสว่างแก่เรา ได้ตักเตือนและขู่เราหลายครั้งหลายหน ทำไม? ก็เพื่อจะให้เราตกลงปลงใจ จบวาระสุดท้ายของเรานั้นในพระหรรษทานของพระองค์นั่นเอง

        อันตีสเธเนส คนนอกพระศาสนาแท้ ๆ เมื่อมีผู้ถามท่านว่า ในโลกเรานี้อะไรเป็นลาภอันประเสริฐกว่าหมด ท่านก็ตอบว่า “ความตายดี”ก็สำหรับเราคริสตังจะต้องตอบว่าอย่างไรเล่า? เราย่อมซึมทราบดีโดยอาศัยความเชื่อว่านับแต่เวลาตายนั้น จะเริ่มนิรันดรภาพ กล่าวคือ จะต้องจับเอากงจักรอันใดอันหนึ่งในสองอัน : กงจักรอันจะให้ความสุขทั้งชั่วนิรันดร หรือกงจักรอันจะให้ความทุกข์ทั้งชั่วนิรันดรสมมุติว่า ท่านจะต้องจับสลากในถุงใบหนึ่งซึ่งมีสลากสองใบ ใบหนึ่งเขียนว่า “นรก” อีกใบหนึ่งเขียนว่า “สวรรค์”ก็ท่านจะพยายามสุดความสามารถมิใช่หรือจะได้เลือกเอา “สวรรค์”ให้จงได้ จงดูพวกนักโทษที่เขาให้เสี่ยงทายชีวิตเถิดน่าสงสารเหลือเกิน! มือไม้สั่นหมด เมื่อจะทอดลูกเต๋าเสี่ยงโชคว่า จะรอด หรือจะตาย ! เมื่อท่านอยู่ใกล้วาระสุดท้าย ท่านจะสดุ้งกลัวเพียงไรเมื่อจะพูดกับตนเองว่า จากเวลา จุดที่อยู่ใกล้ ๆ นี้ ฉันจะได้ชีวิตทั้งชั่วนิรันดร หรือจะต้องตายทั้งชั่วนิรันดร?จะเป็นเวละนี้เอง ที่ฉันจะเป็นสุขทั้งชั่วนิรันดร หรือจะเป็นทุกข์ทั้งชั่วนิรันดร?--- นักบุญแบร์นาร์ดีโน เล่าถึงเจ้าองค์หนึ่งว่า เมื่อใกล้จะตาย พูดอย่างตกอกตกใจ “นี่แน่ะ ในโลก ฉันมีที่ดินหลายแปลง มีวังหลายแห่ง แต่ แต่ถ้าฉันตายในคืนนี้ ฉันไม่รู้ว่า จะต้องไปพักที่ไหน?”

        พี่น้อง ท่านก็เชื่อว่า ท่านจะต้องตาย เชื่อว่ามีนิรันดรภาพ เชื่อว่าจะต้องตายครั้งหนึ่งครั้งเดียว และหากท่านพลาดพลั้งเสียที ท่านก็จะพลาดทั้งชั่วนิรันดร หมดหนทางจะแก้มือได้อีก ก็ไฉนท่านยังลังเล ไม่ตกลงปลงใจเสียในขณะที่อ่านคำเตือนใจนี้ ว่าจะพยายามสุดความสามารถ ทำให้ตัวท่านได้ตายดีอย่างแน่นอนเล่า? ดูเถิด แม้คนอย่างนักบุญ อันเดร อาแวลลีโน เอง ก็ยังพูดตัวสั่นว่า “ใครจะไปรู้ โชคอันใดกำลังคอยฉันในชีวิตหน้า ฉันจะเอาตัวรอดหรือจะต้องโทษ?”และแม้คนอย่างนักบุญหลุยส์ แบร์ตรันโด ก็ยังอกสั่นขวัญหายจนนอนไม่หลับเวลากลางคืน เมื่อคิดว่า “ใครจะไปรู้บางทีฉันจะต้องไปนรก”ส่วนท่านเล่าท่านได้เคยทำบาปเป็นก่ายกอง ท่านไม่กลัวบ้างหรือ? จงเร่งแก้มือให้ทันเวลาเถิดเร่งตกลงปลงใจถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าอย่างจริงจัง อย่างน้อยแต่บัดนี้เป็นต้นไปจงเริ่มครองชีพ ชนิดที่ เมื่อถึงเวลาจะตาย จะไม่ให้ความทุกข์ แต่จะให้ความบรรเทาใจ จงชอบการบำเพ็ญภาวนา จงไปแก้บาปรับศีลบ่อย ๆ จงหลีกหนีท่าทางบาป และถ้าเห็นว่ำจำเป็นก็จงสละโลกเสียจงทำให้ความรอดตลอดนิรันดรของท่าน แน่นอนไว้ จงตระหนักเถิด การเอาวิญญาณรอดตลอดนิรันดรนั้นแม้ทำให้แน่นอนเท่าไร ก็ไม่เพียงพอ

        ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        ข้าแต่พระมหาไถ่ที่สุดเสน่หา ข้าพเจ้าเป็นหนี้พระคุณของพระองค์มากมายนักหนา ไฉนหนอพระองค์จึงได้ทรงประทานพระคุณมากมายก่ายกองแก่คนใจดำทรยศเยี่ยงข้าพเจ้านี้ได้?-พระองค์ได้ทรงสร้างข้าพเจ้ามา และในขณะที่ทรงสร้างนั้นพระองค์ทรงมองเห็นบาปต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าจะกระทำเฉพาะพระพักตร์อยู่แล้ว พระองค์ได้ทรงไถ่ด้วยทรงมรณะเพื่อข้าพเจ้า และในขณะทรงมรณะนั้น พระองค์ทรงแลเห็นความอกตัญญูของข้าพเจ้าจะกระทำเฉพาะพระพักตร์อยู่แล้ว นับตั้งแต่ข้าพเจ้าย่างเข้ามาอยู่ในโลก ข้าพเจ้าก็ได้หันหลังให้พระองค์นับว่าข้าพเจ้าได้ตายอยู่แล้ว และเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่แล้ว ถึงกระนั้นพระองค์ได้ทรงประทานพระหรรษทานให้ข้าพเจ้ากลับคืนชีพขณะที่ข้าพเจ้าตาบอด พระองค์ก็ทรงประทานความสว่างให้ ขณะที่ข้าพเจ้าเสียพระองค์ พระองค์ก็ทรงโปรดให้ข้าพเจ้ากลับมาพบพระองค์อีก ขณะที่ข้าพเจ้าเป็นศัตรูของพระองค์ พระองค์ก็ทรงโปรดให้ข้าพเจ้ากลับคืนดีมาเป็นมิตรของพระองค์อีก ! โอ้พระผู้เป็นเจ้าพระแห่งความเมตตากรุณา โปรดเถิด โปรดให้ข้าพเจ้าสำนึกรู้พระคุณและให้ข้าพเจ้าร้องไห้ เพราะความผิดที่ได้ทำต่อพระองค์ โปรดเถิด โปรดแก้เผ็ดข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าต้องเป็นทุกข์มาก ๆ แต่ขออย่างเดียว อย่าทรงลงโทษให้ข้าพเจ้าปราศจากพระหรรษทาน ปราศจากความรักต่อพระองค์เท่านนั้น ข้าแต่พระบิดาผู้สถิตอยูตลอดนิรันดร ข้าพเจ้าเกลียดชังบาปที่ได้ทำเป็นอย่างยิ่ง โปรดเห็นแก่ความรักต่อพระเยซูคริสต์ และทรงพระเมตตาต่อข้าพเจ้า โปรดทอดพระเนตรดูพระบุตร ซึ่งมรณะอยู่บนได้กางเขน และโปรดให้พระโลหิตของพระองค์ไหลลงมาชะล้างวิญญาณของข้าพเจ้า ข้าแต่พระราชาแห่งดวงใจของข้าพเจ้า ขอให้พระราชัยจงมาถึง ข้าพเจ้าตกลงปลงใจกำจัดความรักทั้งสิ้น ที่มิใช่เพื่อพระองค์ข้าพเจ้ารักพระองค์มากกว่าอะไร ๆ ทั้งหมด เชิญพระองค์เสด็จเข้ามาครองราชย์ในวิญญาณของข้าพเจ้า แต่พระองค์เดียวเถิดพระเจ้าข้า โปรดให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ และไม่รักมครนอกจากพระองค์ ชีวิตที่ข้าพเจ้ายังเหลืออยู่นี้ ข้าพเจ้าปรารถนาจะใช้รักพระองค์ และทำความพอใจแก่พระองค์อย่างเต็มที่ ข้าแด่พระบิดาชองข้าพเจ้าโปรดอำนวยพระพรแก่ความปรารถนาดีของข้าพเจ้านี และโปรดประทานพระหรรษทาน ให้ข้าพเจ้าสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์อยู่เสมอข้าพเจ้าขอถวายความรักของข้าพเจ้าทั้งหมดแด่พระองค์ ตั้งแต่บัดนี้ไป ข้าพเจ้าไม่พอใจเป็นของของผู้อื่น แต่พอใจเป็นของของพระองค์เท่านั้น พระองค์คือสมบัติพัสถานของข้าพเจ้า สันติสุขของข้าพเจ้า ความวางไว้ใจของข้าพเจ้า ความรักของข้าพเจ้า สารพัดของข้าพเจ้า ! ข้าพเจ้าไว้ใจว่า จะได้ทุกสิ่งที่ขอนี้ ด้วยเดชะพระบารมีแห่งพระบุตรของพระองค์ พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระนางมารีอา ราชินี และพระมารดาของข้าพเจ้า โปรดช่วยเสนอวิงวอนเพื่อข้าพเจ้าด้วยเทอญ

(1) Quod scribode mea vita tollittur.

1. ท่านจะตายแน่

        มนุษย์ทุกรูปทุกนาม ได้รับคำตัดสินอยู่แล้ว ให้ต้องตาย ท่านเป็นมนุษย์ท่านจึงต้องตาย นักบุญเอา  กุสตินกล่าวว่า “โชคดี โชคร้ายต่าง ๆ ของเรา เป็นของไม่แน่ แต่สิ่งที่แน่คือ ความตาย” (1) ไม่แน่ว่า เด็กที่เกิดมาจะมั่งมี หรือยากจน และแข็งแรง หรืออ่อนแอ จะตายเมื่อยังหนุ่มสาว หรือเมื่อแก่ เหล่านี้ล้วนไม่แน่ มีแน่แต่ว่า เขาจะต้องตาย เจ้านายหรือในหลวง ก็จะถูความตายมาพรากไปทั้งนั้น และเมื่อถึงคราวที่ความตายจะมาถึง ก็ไม่มีฤทธิ์อันใดจะต้านทานไว้ได้ “สู้กับไฟ สู้กับน้ำ สู้กับเหล็ก สู้กับอำนาจกษัตริย์ พอสู้ได้ แต่สู้กับความตายสู้ไม่ได้” (2) แวงซังต์เดอโบแวสเล่าว่า  “กษัตริย์ประเทศฝรั่งเศสพระองค์หนึ่งเมื่อใกล้จะสิ้นพระชนม์ ตรัสว่า : “แม้อาศัยอำนาจของฉันทั้งหมด ฉันก็ไม่สามารถรั้งความตายให้คอยฉันแม้เพียงสักหนึ่งชั่วโมง” เมื่อปลายชีวิตมาถึง จะยั้งไว้สักนาทีเดียวก็หาได้ไม่(3)

        ท่านผู้อ่านที่รัก ขออวยพรให้ท่านมีอายุยืนนาน ตามความปรารถนาของท่านเถิด แต่ก็จะมีสักวันหนึ่ง และในวันนั้นจะมีช่วงหนึ่ง ซึ่งจะเป็นชั่วโมงสุดท้ายของท่าน สำหรับข้าพเจ้า ผู้กำลังเขียน และสำหรับท่านผู้กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะมีวันหนึ่ง มีเวลาจุดหนึ่งอันกำหนดไว้แล้ว ที่ข้าพเจ้าจะไม่เขียนต่อไป และที่ท่านจะไม่อ่านต่อไป “มีใครบ้าไหมซึ่งจะมีชีวิตและจะไม่เห็นความตาย” (สดด. 88, 49)

        การตัดสินปรับโทษบันทึกไว้แล้ว ไม่เคยมีใครบ้าพอที่จะหลอกตนเองว่าจะไม่ตาย สิ่งที่ได้เป็นมาแก่ลรรพบุรุษของท่าน มันก็จะเป็นมาแก่ตัวท่านเอง ในต้นศตวรรษก่อน มีกี่คนที่ได้เจริญชีวิตอยู่ในถิ่นฐานของท่าน แต่บัดนี้ไม่เหลือสักคนเดียว แม้เจ้านาย แม้ในหลวง ก็ได้ข้ามไปอยู่แผ่นดินใหม่ เขาไม่มีอะไรเหลือบนแผ่นดินนี้เลย นอกจากอนุสาวรีย์หินอ่อน และคำจารึกงาม ๆ ซึ่งก็เตือนใจเราว่า คนใหญ่คนโตของโลก ไม่มีอะไรเหลือ นอกจากฝุ่นดินกอบหนึ่งภายใต้หินนักบุญแบร์นาร์โดถามว่า “ช่วยบอกฉันที พวกคนที่รักโลกนั้นเขาอยู่ที่ไหน?” แล้วตอบเองว่า “ไม่มีอะไรเหลือ นอกจากเถ้าและฝูงหนอน”(4)

        จึงเห็นว่า สิ่งที่เราต้องขวนขวาย หาใช่ทรัพย์ที่จะสูญสิ้นไปไม่ แต่เป็นทรัพย์อันจะดำรงอยู่เสมอ เพราะว่าวิญญาณของเราจะดำรงอยู่เสมอนั่นเองจะเป็นประโยชน์อะไร หากท่านจะเป็นสุขสบาย (ณ ที่นี้ สมมุติว่า นอกจากพระเป็นเจ้าวิญญาณอาจเป็นสุขได้) แล้วจะต้องไปรับทุกข์ตลอดทั้งนิรันดรภาพ? ท่านได้ปลูกเรือนงาม ถูกใจแล้วมิใช่หรือ? ขอให้คิดเถิดว่า ในไม่ช้าท่านจะต้องละทิ้งมันไว้ และตัวท่านจะไปเน่าในหลุม ท่านได้ไต่ปีนขึ้นสู่บรรดาศักดิ์ชั้นสูงสุด ไม่มีใครจะเทียบได้แล้วใช่ไหม? ความตายจะมาถึง และจะลดฐานะของท่านเทียบเท่าคนชั้นต่ำ ที่เลวที่สุด เท่าที่จะมีได้ในโลกนี้ 

          ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        อา ! ข้าพเจ้าช่างอาภัพสัยจริง ๆ เป็นเวลาช้านานหลายปีมาแล้ว ข้าพเจ้าได้คิดแต่จะทำเคืองพระทัยของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าแห่งวิญญาณของข้าพเจ้าและเพราะที่เวลาได้ล่วงมาหลายปีแล้ว น่ากลัวว่า ความตายจะกระชั้นเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าแล้วก็เป็นได้ และในบัดนี้ ข้าพเจ้ามีอะไรบ้างนอกจากความทุกข์ความกลัดกลุ้มในมโนธรรม? โอ้ หากว่าข้าพเจ้าจะได้ปรนนิบัติพระองค์ พระสวามีเจ้าของข้าพเจ้า เสมอ !...ข้าพเจ้าบ้าเหลือเกิน ทั้งที่ได้อยู่ในโลกหลายต่อหลายปีมานักแล้ว แทนที่จะสะสมบุญกุศลไว้สำหรับชีวิตหน้า กลับไพล่ไปกอบโกยหนี้สินไว้กับพระยุติธรรม ข้าแต่พระมหาไถ่ที่สุดเสน่หา ขอประทานความสว่างและพละกำลัง ให้ข้าพเจ้าสามารถจัดบัญชีงบดุลให้เรียบร้อยเสียแต่บัดนี้เถิด พระเจ้าข้า บางทีความตายจะอยู่ไม่ห่างข้าพเจ้านัก ข้าพเจ้าจึงใคร่จะเตรียมตัวสำหรับเวลาสำคัญนั้น ซึ่งจะกำหนดความสุข หรือความทุกข์ทั้งชั่วนิรันดรสำหรับข้าพเจ้าขอฉลองพระคุณที่ทรงโปรดไว้ชีวิตข้าพเจ้าจนบัดนี้ และเพราะที่ข้าพเจ้ายังมีเวลาแก้ไขความผิด ข้าพเจ้าจึงขอกราบลงเฉพาะพระพักตร์ และทูลเพื่อทราบว่าข้าพเจ้าต้องทำอะไรเพื่อพระองค์บ้าง พระเจ้าข้าพระองค์ทรงปรารถนาให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพราะบาปที่ได้กระทำนั้นหรือ?- ข้าพเจ้าก็เป็นทุกข์ ข้าพเจ้าเสียใจจริง ๆ พระองค์ทรงปรารถนาให้ข้าพเจ้าใช้เวลาที่เหลืออยู่เพื่อรักพระองค์หรือ?- ข้าพเจ้ายินดีปฏิบัติตาม พระผู้เป็นเจ้า เจ้าข้า ในกาลก่อนข้าพเจ้าก็ได้เคยตั้งใจจะทำดังนี้ หลายครั้งหลายหนแล้วเหมือนกัน แต่แล้วข้าพเจ้าได้กลับสัตย์พระเยซูเจ้าข้า นับแต่นี้ไป ช้าพเจ้าจะไม่ยอมเป็นคนใจดำ ลบหลู่พระคุณของพระองค์อีก ก็เมื่อข้าพเจ้าไม่เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ อย่างน้อยตั้งแต่เวลานี้ จะมีหวังได้อย่างไรว่า เมื่อจวนจะตาย จะได้รับอภัยโทษและได้เข้าสวรรค์เล่า? ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ในบัดนี้ว่า จะเอาใจใส่ปรนนิบัติพระองค์จริงจัง ขอประทานพละกำลังและขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเลย พระเจ้าข้า คร้งก่อนเมื่อข้าพเจ้าได้ทำเคืองพระทัย พระองค์ก็ยังมิได้ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้า แล้วในบัดนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจสละละทุกสิ่งเพื่อทำตามน้ำพระทัยทุกประการ ข้าพเจ้าก็ยิ่งมีหวังมากขึ้น ข้าแต่พระเยซู ผู้น่ารักโปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้ารักพระองค์เถิด โปรดต้อนรับคนทรยศ ซึ่งตรมตรอมใจ เข้ามากอดพระบาท มารักพระองค์ และขอพึ่งพระกรุณา พระเยซูเจ้าข้า ข้าพเจ้ารักพระองค์ รำพระองค์หมดทั้งดวงใจ ข้าพเจ้ารักพระองค์ยิ่งกว่าตัวข้าพเจ้าเองตัวข้าพเจ้าเป็นของของพระองค์แล้ว ฉะนั้นขอจงทำแก่ข้าพเจ้า แก่สิ่งของทั้งหลายของข้าพเจ้า ตามแต่ชอบพระทัยเถิด ขอแต่ให้ข้าพเจ้าดำรงอยู่ในพระโอวาทของพระองค์เสมอ แบะให้ข้าพเจ้ารักพระองค์เท่านั้น นอกนั้นพระองค์จะทรงทำอย่างไรกับข้าพเจ้าก็สุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเถิด พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระนางมารีอา พระแม่เป็นที่วางไว้ใจ และที่หลบภัยของข้าพเจ้าขอฝากตัวและวิญญาณของข้าพเจ้าไว้กับท่าน โปรดช่วยวิงวอนพระเยซู เพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด


 

2. ท่านจะตายในไม่ช้า

        “กำหนดไว้แล้ว” –เป็นการแน่ว่า เราทุกคนถูกตัดสินประหารชีวิตแล้วนักบุญ ชีปรีอาโนกล่าวว่า “เราทุกคนเกิดมา มีเชือกโยงไว้ที่คอ และเราก้าวย่างไปไกลเท่าไร เราก็เขยิบเข้าใกล้ความตายเท่านั้น” พี่น้องที่รัก นามของท่านบันทึกอยู่ในบัญชีศีลล้างบาป คราวเมื่อท่านเกิดมาใหม่ ๆ ฉันใด ก็ในวันหนึ่งจะบันทึกอยู่ในบัญชีผู้ตาย ฉันนั้น ท่านเคยพูดถึงบรรพบุรุษว่า “คุณพ่อ คุณลุง คุณพี่ ล่วงลับไปแล้ว” อย่างไร ลูกหลานก็จะพูดถึงท่านอย่างนั้น ท่านได้ยินเสียงระฆัง เป็นสัญญาณส่งวิญญาณผู้อื่นอยู่บ่อย ๆ ฉันใด คนอื่นก็จะได้ยินเสียงระฆังเป็นสัญญาณส่งวิญญาณของท่านในวันหนึ่ง ฉันนั้น

       สมมุติว่า ท่านแลเห็นนักโทษกำลังเดินไปสู่ที่ประหาร แต่เขาพูดเล่นหัวเราะ ส่ายหน้าส่ายตา คิดถึงแต่ละคร โขน หนัง คิดแต่จะกินเลี้ยง จะเที่ยวเตร่ท่านจะว่าอย่างไร? ก็ตัวท่านเอง เวลานี้มิใช่กำลังเดินไปสู่ความตายดอกหรือ? และท่านคิดถึงอะไรบ้างเล่า? จงมองดูที่นั่นแน่ะ ในหลุม ท่านจะเห็นญาติมิตรถูกสำเร็จโทษไปแล้ว นักโทษที่ถูกตัดสินประหารแล้ว จะรู้สึกขนลุกเพียงไรเมื่อแลเห็นเพื่อน ๆ ด้วยกัน ถูกแขวนคอ และตายไปก่อนแล้ว ! จงมองดูซากศพเหล่านั้นเถิด ซึ่งต่างก็บอกกับท่านว่า “วันนี้เวรฉัน พรุ่งนี้เวรท่าน” (บสร. 38, 23) รูปภาพของพ่อแม่ผู้ล่วงลับไป สมุดหนังสือ บ้านช่อง ที่หลับที่นอน และเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้ เหล่านี้ล้วนเตือนใจเราให้คิดดังอธิบายมา

        อะไรเล่า จะบ้าเท่ากับการที่รู้ว่า ตนจะต้องตาย และเมื่อตายแล้ว จะมีนิรันดรภาพอันเป็นสุข หรือนิรันดรภาพอันเป็นทุกข์ การที่คิดว่าจากเวลาจุดนั้นตนจะได้รับความสุขตลอดนิรันดร หรือจะได้รับความทุกข์ตลอดนิรันดรแล้วไม่จัดบัญชีงบดุลไว้ให้เรียบร้อย ทั้งไม่พยายามทุกวิถีทาง จะทำให้ตนได้ตายดีเล่า ! เราให้รู้สึกสมเพชผู้ที่ตายปัจจุบันทันทีมิได้มีเวลาเตรียมตัวก่อน ก็ไฉนตัวเราเองไม่เตรียมตัวไว้ให้พร้อมสรรพเล่า? เราจะตายปัจจจุบันก็ได้เหมือนกันนะแต่จะเร็วหรือช้า จะทันรู้ตัวหรือไม่ทันรู้ตัว จะคิดถึงก่อนหรือไม่คิดถึงก่อนเราก็จะต้องตาย และทุก ๆ ชั่วโมง ทุก ๆ นาทีที่ล่วงไป เราก็เขยิบย่างเข้าใกล้เครื่องประหาร ซึ่งใช่อื่นไกลคือความเจ็บไข้ครั้งสุดท้าย ที่จะพรากเราจากโลกนี้นั่นเอง

        ในทุก ๆ ศตวรรษ ตามบ้านเรือน ตามสนามหลวง และตามเมืองต่าง ๆ ก็มีผู้คนมาอยู่ใหม่เต็มไปหมด ส่วนคนเก่า ถูกนำไปฝังไว้ในหลุมแล้ว วันเวลาสำหรับคนเหล่านั้น ได้จบสิ้นไปแล้ว ฉันใด ก็จะมีเวลาหนึ่ง ที่ตัวข้าพเจ้าและตัวท่านทั้งผู้ที่มีชีวิตอยู่ในบัดนี้ทั้งหลายจะไม่อยู่ในโลกต่อไป ฉันนั้น (5) เมื่อนั้นเราทุกคนจะอยู่ในนิรันดรภาพ ซึ่งจะเป็นกลางวันแห่งความบรมสุขนิรันดร หรือจะเป็นกลางคืนแห่งความบรมทุกข์นิรันดร ไม่มีสายกลาง เป็นการแน่ เป็นข้อความเชื่อว่าโชคอันใดอันหนึ่งในสองอันดังกล่าวนี้ กำลังคอยเราอยู่ !

                 ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        ข้าแต่พระมหาไถ่ที่สุดรัก หากข้าพเจ้าไม่ระลึกว่า พระองค์ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน ถูกทุบตี ถูกประมาท และถูกประหารเพื่อข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็มิบังอาจเข้ามากราบอยู่เฉพาะพระพักตร์ ความอกตัญญูของข้าพเจ้าใหญ่หลวงนักก็จริง แต่ความเมตตากรุณาของพระองค์ยังใหญ่กว่าอีก บาปของข้าพเจ้าใหญ่โตมากก็จริง แต่พระบุญญาบารมีของพระองค์ยิ่งใหญ่มากกว่าอีก ! ข้าพเจ้าขอยึดเอาบาดแผล พระโลหิต และความตายของพระองค์เป็นที่พึ่ง และที่วางใจของข้าพเจ้าข้าพเจ้าควรจะไปนรกนับแต่ได้ทำบาปประการแรกแล้ว มิหนำซ้ำต่อมา ก็ยังได้ทำเคืองพระทัยอีกหลายครั้งหลายหน ส่วนพระองค์เล่า ไม่เพียงแต่ทรงธำรงชีวิตข้าพเจ้าไว้เท่านั้น ยังได้ทรงตักเตือนให้ข้าพเจ้ามาคืนดีกับพระองค์อีก ทั้งยังได้ทรงแสดงพระทัยดี เอ็นดูสงสาร เรียกร้องเพื่ออภัยโทษ และประทานความสุขใจก็ในบัดนี้ ข้าพเจ้าหันมารักพระองค์ และไม่มีความประสงค์อะไรอื่นนอกจากขอรับพระหรรษทานจากพระองค์มีเหตุอันใดหรือ ที่จะทำให้ข้าพเจ้าต้องหวาดกลัวพระองค์จะทรงผลักไสขับไล่ข้าพเจ้า? ข้าพเจ้ารักพระองค์ และเสียใจที่ได้หมิ่นประมาทพระองค์ มิใช่เพราะมันจะทำให้ข้าพเจ้าสมไปนรก แต่เพราะมันได้ทำให้เจ็บช้ำน้ำพระทัยของพระองค์ พระเป็นเจ้า ผู้ทรงพระทัยดีต่อข้าพเจ้าอย่างล้นเหลือ ! พระเยซูเจ้าข้า โปรดเปิดคลังแห่งความเมตตากรุณาของพระองค์ออกกว้าง ๆ เถิด แม้ได้ทรงพระกรุณาแล้ว โปรดทรงพระกรุณาอีกเถิด พระเจ้าข้า ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าเป็นคนใจดำต่อไป โปรดเปลี่ยนดวงใจข้าพเจ้าใหม่หมดเถิด พระเจ้าข้า แต่ก่อนมันไม่รู้จักคุณค่าแห่งความรักของพระองค์ ไปถือเอาความสนุกเลว ๆ ของโลกว่าดีกว่าความรักของพระองค์ บัดนี้ขอให้มันกลับเป็นของของพระองค์จนหมดสิ้น และให้มันร้อนระอุอยู่ด้วยความรักต่อพระองค์เสมอไปเถิดพระเจ้าข้า--ข้าพเจ้าไว้ใจว่าจะได้บรรลุถึงสวรรค์ และจะได้รักพระองค์เป็นนิจอัตรา จริงอยู่ ในสรวงสวรรค์นั้นข้าพเจ้าจะไม่สามารถเข้าร่วมวงกับพวกหลังนี้ ข้าพเจ้าก็ปรารถนาจะปฏิพัทธิ์รักพระองค์ให้มากยิ่งกว่าผู้บริสุทธิ์อื่นใดทั้งหลาย เพื่อเป็นเกียรติมงคลแด่ความเมตตากรุณาของพระองค์ ขอโปรดให้คนบาปหนา เพราะได้ทำบาปมากมายเยี่ยงข้าพเจ้านี้ ได้เข้าอยู่ในสรวงสวรรค์เพื่อจะได้ลุกโชนไปด้วยความรักต่อพระองค์เถิด พระเจ้าข้า ณ บัดนี้ข้าพเจ้าตกลงใจเป็นของของพระองค์ และคิดแต่จะรักพระองค์อย่างเดียว ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดประทานความสว่างและพระหรรษทาน ช่วยข้าพเจ้าให้มีกำลังปฏิบัติตามความตั้งใจดีอันนี้ ที่พระองค์เองเป็นผู้ประทานให้เถิด พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระแม่มารีอา พระชนนีแห่งการดำรงชีพในความดี โปรดช่วยวิงวอนให้ข้าพเจ้าสัตย์ซื่อต่อคำมั่นสัญญานี้ด้วยเถิด


 

3. ผู้ปรีชาแท้

        ความตายเป็นของแน่ เรื่องนี้ คริสตังย่อมรู้ดี เชื่อ และเห็น ๆ อยู่กับตาแต่ไฉนหลายคนจึงลืมความตายมีอาการเหมือนว่าเขาไม่มีวันตายหนอ? สมมุติตรงข้ามว่า เมื่อสิ้นชีวิตนี้แล้ว ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ เขาคงจะคิดถึงมากกว่าที่เขาคิดถึงทุกวันนี้แน่ นี่เองเป็นเหตุให้เขาครองชีพ และตายอย่างไม่ดี พี่น้องที่รักท่านใคร่จะตายดีหรือ? จงครองชีพช่วงที่ยังเหลืออยู่นี้ โดยเพ่งเล็งดูความตายเถิด โอ้ ! แน่นอนทีเดียว ผู้ที่เพ่งดูความตายเขาจะตีราคาข้าวของของโลกได้ถูกต้องและจะแนะนำการกระทำของเขาไปในทางที่ถูก (6) นักบุญเลาเรนซีโอ ยูสติอาโนกล่าวว่า “การระลึกถึงความตาย ทำให้เราหมดความรักต่อข้าวของทั้งสิ้นแห่งโลกนี้” (7) โภคทรัพย์ทั้งสิ้นของโลกนี้ คือ ความสนุกสนานทางประสาทสัมผัสเงินทอง และยศศักดิ์ (8) แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมเป็นที่ไม่น่าใยดีสำหรับบุคคลที่คิดว่า ในไม่ช้าตนจะกลับเป็นฝุ่นดิน และจะถูกฝังไว้ใต้ดิน เป็นเหยื่อแก่ฝูงหนอน

        ที่จริง เพราะการเพ่งมองดูความตายนี้เอง บรรดานักบุญจึงถือว่า ทรัพย์สมบัติของแผ่นดินไม่มีค่า ฉะนั้น นักบุญ กราโล บอร์โรเมโอ จึงตั้งกะโหลกคนตายไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือเสมอ จะได้มองเห็นอยู่เรื่อย ๆ พระคาร์ดินัล บาโรนีโอ สวมแหวนมีคำจารึกว่า “จำไว้จะต้องตาย” (9) ผู้น่านับถือ ยูเวนัล อันชีนาพระสังฆราชแห่งซาลูสโซ ได้เขียนไว้บนกะโหลกคนตายว่า “ฉันได้เคยเป็นอย่างท่าน ท่านก็จะเป็นอย่างฉัน” มีคนถามนักบุญฤๅษีผู้หนึ่ง ขณะเมื่อใกล้จะตายว่าทำไมท่านจึงร่าเริงเช่นนั้น ท่านก็ตอบว่า ข้าพเจ้าตั้งความตายไว้ต่อหน้าต่อตาเสมอ ๆ เพราะฉะนั้น เมื่อความตายมาถึงข้าพเจ้าไม่เห็นเป็นของแปลก

        นักท่องเที่ยวขณะเดินทาง ชอบทำเป็นเจ้าใหญ่นายโต เพ่นพ่านตามประเทศต่าง ๆ มิได้เฉลียวใจบ้างว่า ตัวจะต้องกลับไปตกยากในประเทศหนึ่งและจะต้องอยู่ที่นั้นไปจนตลอดชีวิต เราว่า คนเช่นนี้บ้า ๆ บอ ๆ มิใช่หรือ? ก็ไม่เป็นคนบ้าบอดอกหรือ คนที่คิดหาแต่ความสบายในโลกนี้ ซึ่งเขาจะอยู่ไม่กี่วัน แล้วก็ปล่อยตนเสี่ยงภัยจะต้องไปเสวยทุกข์ในโลกหน้า ซึ่งจะต้องอยู่ทั้งชั่วนิรันดร? คนที่ยืมของคนอื่นมา ย่อมไม่ผูกใจรักของนั้น เพราะคิดว่า ไม่ช้าก็จะต้องคืนให้เจ้าของ ก็ทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นแห่งโลกนี้ เป็นของที่เรายืมมาทั้งนั้น จึงเป็นการโฉดเขลาที่จะผูกใจรักมัน เพราะในไม่ช้าก็จะต้องทิ้งมัน ข้าวของและทรัพย์ทั้งหมดแห่งโลกนี้ มันจะจมลง พร้อมกับลมหายใจออกครั้งสุดท้าย พร้อมกับการแห่ศพและที่สุดพร้อมกับการปลงลงในหลุม บ้านเรือนที่ท่านสร้างขึ้นไม่ช้าจะต้องยกให้แก่คนอื่น หลุมนั่นแหละจะเป็นที่พักอาศัยแห่งร่างกายของท่าน ตนถึงวันพิพากษาตกที่สุด ร่างกายนั้นก็จะไปสวรรค์ หรือไปนรก ซึ่งวิญญาณได้ไปคอยอยู่ก่อนแล้ว !

             ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        พระเจ้าข้า เป็นอันว่า เมื่อตาย ทุกสิ่งจะจบสิ้นสำหรับข้าพเจ้า จะไม่มีอะไรเหลือเลย นอกจากบุญกุศลเล็กน้อย ที่ข้าพเจ้าได้กระทำเพราะความรักต่อพระองค์ ก็ข้าพเจ้าจะคอยอะไรอยู่เล่า? คอยให้ความตายมาถึง คอยให้จมอยู่ในฐานะน่าสังเวช จมอยู่ในแปลงบาปอย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้หรือ? หากข้าพเจ้าจะต้องตายในเวลานี้ข้าพเจ้าคงจะตายด้วยความกระวนกระวาย และด้วยความเสียใจในชีวิตที่ล่วงมาแล้วขอซ้องสาธุการ ที่ได้ทรงโปรดให้ข้าพเจ้ายังมีเวลาร้องไห้เป็นทุกข์ถึงบาป และมีเวลารักพระองค์ ข้าพเจ้าตกลงปลงใจเริ่มแต่ในวินาทีนี้ทีเดียว โอ้องค์ทุณงามความดี ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพราะบาป ยิ่งกว่าเพราะภยันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น และข้าพเจ้ารักพระองค์ยิ่งกว่าสิ่งได ๆ ยิ่งกว่าชีวิตของข้าพเจ้าเองด้วย พระเยซูเจ้าข้า ข้าพเจ้าขอถวายตัวเองทั้งครบแด่พระองค์ ขอสวมกอดพระองค์ในบัดนี้ ของแนบพระองค์ไว้กับดวงใจ ขอมอบวิญญาณของข้าพเจ้าทั้งหมดแด่พระองค์ ณ บัดนี้ (10) ข้าพเจ้าจะไม่คอยมอบวิญญาณ เฉพาะเมื่อจะได้ยินคำสั่งให้ออกจากโลกว่า “จงออกไปเถิด วิญญาณคริสตัง” ข้าพเจ้าไม่ยอมคอยจนถึงเวลานั้น จึงจะขอร้องให้พระองค์ทรงช่วย พระเยซูเจ้าข้า โปรดเป็นพระเยซูของข้าพเจ้าเวยเถิด (11)พระมหาไถ่เจ้าข้า โปรดไถ่ให้ข้าพเจ้ารอดในบัดนี้ ด้วยทรงพระกรุณายกบาป และประทานความรักของพระองค์แก่ข้าพเจ้าพระเจ้าข้าใครจะไปรู้ บางทีบทพิเคราะห์ที่ข้าพเจ้าอ่านในวันนี้ จะเป็นคำตักเตือนของพระองค์ครั้งสุดท้ายแล้ว จะเป็นพระกรุณาของพระองค์ต่อข้าพเจ้าครั้งสุดท้ายแล้ว! โอ้องค์ความรักของข้าพเจ้า โปรดปกพระหัตถ์เหนือข้าพเจ้า และโปรดฉุดข้าพเจ้าออกจากปลักแห่งความใจเย็นเฉย ขอประทานให้ข้าพเจ้ามีใจเร่าร้อนนอบน้อมด้วยความจงรักภักดี ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากข้าพเจ้าเถิดพระเจาข้า ข้าแต่พระบิดาผู้สถิตสถาพรตลอดนิรันดร โปรดเห็นแก่ความรักของพระองค์ต่อพระเยซูคริสตเจ้า และประทานให้ข้าพเจ้าดำรงชีพในความดี และให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ รักพระองค์มาก ๆ ในชีวิตช่วงที่ยังเหลืออยู่นี้ พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระนางมารีอา พระชนนีผู้ทรงเมตตากรุณา ด้วยเดชะความรักของท่านต่อพระเยซูคริสตเจ้า ขอโปรดให้ข้าพเจ้าได้รับพระหรรษทานสองประการ คือ การดำรงชีพในความดีและความรัก ด้วยเถิด พระเจ้าข้า


 

(1) Cetera nostra bona et mala incerta sunt, sola mors certa est.

(2) Resistitur ignibus, ferro; resistitur tegibus; venit mors, quis ei resestit? (S. Aug. in Ps. 21)

(3) Constituisti terminus ejus, qui praeteriri non potuerunt (Job 14, 5).

(4) Dic mihi, ubi sunt amatores mundi ?..Nihil ex eis remansit, nisi cine res et vermes.

(5) Dies formabuntur, et nemo in eis (Ps. 138, 16)

(6) O mors, bonum est judicium tuum (Eccli. 41, 3)

(7) Consideretur vitae terminum, et non erit in hoc mundo quid ametur.

(8) Omne quod in mundo est, concupiscentia carnis est, concuposcentia oculorum et superbia vitae.

(9) Memento mori

(10) In manus tuas commendo spiritum meum.

(11) Jesus, sis mihi Jesus.  

ในสมัยนั้นมีหมออยู่บ้างเหมือนกัน แต่มีน้อยและหายาก หมอมีความรู้เรื่องโรคภัยไข้เจ็บจํากัดมากและคนจนไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายค่าหมอได้ นอกนั้นยังมีหมอดูและหมอผีเข้ามาช่วยบรรเทาทุกข์บ้าง  หมอดูช่วย วินิจฉัยว่า บาปที่เป็นต้นเหตุของโรคภัยไข้เจ็บอยู่ที่ไหน ส่วนหมอผีบางทีก็ทําให้ดูเหมือนว่าสามารถไล่ผีออกจากคนป่วยได้จริง พวกหมอผีมักจะทําจารีตบางอย่างซึ่งประกอบด้วยคาถา ท่าทางที่เป็นสัญญลักษณ์ วัตถุบางอย่าง และเรียกชื่อผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า จารีตดังกล่าวก็เหมือนกับไสยศาตร์ทั่วไป

1. พระเยซูรักษาโรค

    พระเยซูไม่เคยทําอะไรแบบพวกหมอผี  จริงอยู่ พระเยซูเคยใช้นํ้าลาย ซึ่งคนเข้าใจกันว่ามีสรรพคุณทางยา(มก.๗,๓๓;๘,๒๓) แต่เจตนาของพระเยซูก็คือ มีการสัมผัสกับคนป่วยในแบบใดแบบหนึ่ง (มก.๑,๓๑;๑,๔๑; ๖,๕๖; ๘,  ๒๒-๒๕) พระเยซูแตะต้องคนป่วย จับมือคนป่วย วางมือบนหัวคนป่วย แต่พระเยซูไม่เคยใช้คาถาหรือเรียกชื่อผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  อาจเป็นเพราะเหตุนี้ที่มีคนกล่าวหาว่าพระเยซูรักษาคนป่วย ด้วยอํานาจของเจ้าแห่งปิศาจ

     พระเยซูได้ใช้การภาวนาเหมือนกัน แต่ความคิดแตกต่างไปจากเรื่องราวในพระคัมภีร์ที่พูดถึงผู้ศักดิ์สิทธิ์บางท่านที่ภาวนาขอฝนหรือรักษาโรค ในกรณีเช่นนั้นผู้ภาวนาอาศัยความศักดิ์สิทธิ์ของตนวิงวอนขอจากพระเจ้าเพื่อผู้อื่น แต่สําหรับพระเยซูจุดสําคัญคือความเชื่อ ผู้ภาวนาคือผู้มีความเชื่อ และเป็นความเชื่อของตนที่ทําให้ตนหายจากโรค (มธ.๒๑,๒๒)

2. ความเชื่อเป็นเหมือนพระเจ้า

           พระเยซูบอกกับคนที่หายจากโรคเสมอว่า "ความเชื่อของเจ้าทําให้เจ้าหายจากโรค" คําพูดเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์ของพระเยซู ทําให้พระเยซูไม่เหมือนใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหมอ หมอผี หรือผู้ศักดิ์สิทธิ์ พระเยซูพูดเช่นนี้แสดงว่า ไม่ใช่พระเยซูที่รักษาโรค  ไม่ใช่เป็นเพราะพลังจิตของพระเยซู ไม่ใช่เส้นสายอะไรที่พระเยซูมีกับพระเจ้า ไม่ใช่คาถาอาคม ไม่ใช่ฤทธิ์ของนํ้าลายและที่น่าสังเกตคือ พระเยซูไม่ได้พูดตรง ๆ ว่าพระเจ้าทําให้หายโรค แต่พูดว่า "ความเชื่อของเจ้าทําให้เจ้าหายโรค"

      พระเยซูก็เป็นเหมือนชาวยิวโดยทั่วไป ที่เชื่อว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สําหรับพระเจ้า" (มก.๑๐,๒๗) แต่ที่ต่างไปจากคนอื่นก็คือ พระเยซูเชื่อด้วยว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สําหรับใครก็ตามที่มีความเชื่อ" (มก.๙,๒๓) คนที่มีความเชื่อกลับเป็นเหมือนพระเจ้าซึ่งมีอํานาจทุกอย่าง "ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้สําหรับท่าน ถ้าท่านสั่งภูเขานี้ว่า จงเคลื่อนออกไปมันก็จะเคลื่อนออกไป" (มธ๑๗,๒๐)

      เมล็ดมัสตาร์ดและการย้ายภูเขาเป็นเพียงคําเปรียบเทียบ ความเชื่อเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตารด์  แม้จะดูเล็กและไม่มีความสําคัญ แต่สามารถทําให้เกิดสิ่งใหญ่โต แม้กระทั่งสิ่งที่เรียกว่าเป็นไปไม่ได้ ซึ่งเปรียบเหมือนการย้ายภูเขา หรือย้ายต้นไม้ สําหรับพระเยซู ความเชื่อเป็นพลังมหาศาล พลังที่สามารถบรรลุถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สําหรับพระเยซู ความเชื่อเท่านั้นที่จะทําให้หายจากโรคภัย ความเชื่อเท่านั้นที่จะช่วยชีวิต ความเชื่อเท่านั้นที่จะทําให้โลกอยู่รอด

      ความเชื่อที่ว่ามานี้ ไม่ใช่การยอมรับระบบความคิด (creed) ทฤษฎีทางศาสนา คําสอน (doctrines)หรือชุดข้อความเชื่อ (dogmas) คนป่วยมีความเชื่อ หมายความว่าเขาเชื่อมั่นว่าเขามีทางหายจากโรคได้และเขาจะต้องหายแน่นอน เมื่อความเชื่อมั่นนี้แรงพอ ก็เกิดการหายจากโรค ถ้าคนหนึ่งพูดด้วยความมั่นใจมากพอ โดยไม่มีความสงสัยแคลงใจเลย แต่เชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขาพูดจะเกิดขี้น มันก็จะเกิดขึ้น (มก.๑๑,๒๓) และถ้าท่านภาวนาขอด้วยความมั่นใจว่าท่านได้รับมันแล้ว ท่านก็ได้รับจริง (มก.๑๑,๒๔) แต่ถ้าท่านสงสัยหรือลังเลใจ ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความคิดนี้แสดงออกมาในเรื่องเปโตรเดินบนผิวนํ้า พอเปโตรเริ่มไม่แน่ใจ เขาก็เริ่มจมลง (มธ.๑๔,๒๘-๓๑) เมื่อศิษย์ของพระเยซูเริ่ม "ขับไล่จิตชั่ว" นั้น ทําไม่สําเร็จเพราะความมั่นใจมีน้อยและลังเล พวกเขามีความเชื่อน้อยเกินไป (มธ.๑๗,๑๙-๒๐)

      ความเชื่อไม่ใช่เป็นเพียงพลังจิตที่มีอิทธิพลต่อร่างกาย มันเป็นอะไรมากกว่านั้น ความเชื่อเป็นความมั่นใจว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าความดีจะชนะความชั่วร้าย ความเชื่อเป็นความมั่นใจว่าพระเจ้าดีต่อมนุษย์ และพระเจ้าจะมีชัยชนะเหนือความไม่ดีต่าง ๆ พลังแห่งความเชื่อ คือพลังแห่งความดี พลังแห่งความจริง นั่นคือพลังของพระเจ้า

      สิ่งที่ตรงข้ามกับความเชื่อคือ การปลง การปลงไม่ใช่ปรัชญาของสมัยใดสมัยหนึ่งหรือของพวกใดพวกหนึ่ง แต่อยู่ในใจคน ทุกแห่งหน ทุกยุคทุกสมัย และแสดงออกมาในคําพูดต่าง ๆ  เช่น  "แก้ไขอะไรไม่ได้หรอก" "คุณจะไปเปลี่ยนโลกนี้ได้อย่างไร"  "ลงมายืนอยู่บนดินดีกว่า" "ไม่มีหวัง" "ยอมรับความจริงดีกว่า" หรือ "ปลงเสียเถิด"  นี่เป็นคําพูดของคนที่ไม่เชื่อในพลังของพระเจ้า หรือไม่หวังในสิ่งที่พระเจ้าสัญญา

        ความเชื่อที่เราพูดถึงข้างต้นนี้เกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับความหวัง ตามความหมายในพระคัมภีร์ คําว่าความเชื่อเกือบจะแยกไม่ออกจากคําว่าความหวัง (ฮีบรู ๑๑,๑; โรม ๔,๑๘-๒๒) เราอาจพูดได้ว่าความเชื่อกับความหวังเป็นเหรียญอันหนึ่งที่มี ๒ ด้าน และการขาดความเชื่อกับการปลงเป็นเหรียญอีกอันหนึ่งที่มี ๒ ด้านเช่นกัน

3. การแพร่ความเชื่อ

      ในสมัยของพระเยซู คนจน คนบาป คนป่วย พูดได้คําเดียวว่า "ปลง" แต่การที่พระเยซูรักษาโรคกายโรคใจได้สําเร็จ ก็เป็นความเชื่อที่มีชัยชนะเหนือการปลง คนป่วยที่หมดหวังและทนอยู่กับความเจ็บป่วยได้รับการกระตุ้นเตือนให้เชื่อว่าเขาจะหายได้และจะต้องหาย  ความเชื่อของพระเยซูเองมั่นคงแข็งแรงมาก  และสามารถ ปลุกความเชื่อให้เกิดขึ้นในตัวผู้อื่นได้ เมื่อคนมาสัมผัสพระเยซู เขา "ติด" ความเชื่อไปจากพระเยซู มันเป็นเหมือนโรคติดต่อ ความเชื่อสอนกันไม่ได้ แต่ติดต่อกันได้ มีบางคนที่เข้าใจและร้องขอพระเยซูให้ช่วยเพิ่มความเชื่อให้ (ลก.๑๗,๕) หรือขอให้พระเยซูช่วยแก้การขาดความเชื่อ (มก.๙,๒๔) พระเยซูเป็นผู้ก่อให้เกิดความเชื่อ แต่เมื่อมันเกิดแล้วมันก็สามารถแพร่ต่อ ๆ กันไปได้ ความเชื่อของคนหนึ่งแพร่ไปให้อีกคนหนึ่งพระเยซูส่งพวกสาวกออกไปแพร่ความเชื่อให้ติดต่อไปยังคนอื่น  ๆ

      ในที่ใดที่บรรยากาศแห่งความเชื่อ เข้าแทนที่บรรยากาศแห่งการปลง   สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น  ที่นาซาเร็ทบ้านเกิดของพระเยซู มีบรรยากาศที่ขาดความเชื่อ จึงไม่มีอะไรน่าพิศวงเกิดขึ้น (มก.๖,๕-๖) ส่วนในที่อื่นๆในแคว้นกาลิลี คนจำนวนมากมายหายจากโรคภัยไข้เจ็บ คนถูกผีสิงก็กลับเป็นปกติ คนโรคเรื้อนก็หายขาด  อัศจรรย์แห่งการปลดปล่อยเริ่มต้นแล้ว

4. อัศจรรย์

      คําถามที่ตามมาก็คือ มันเป็น "อัศจรรย์" จริง ๆ หรือ ?  ทั้งผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อเกี่ยวกับอัศจรรย์ ต่างก็เข้าใจเหมือนกันว่า คําว่า "อัศจรรย์" หมายถึงสิ่งที่ขัดกับกฎธรรมชาติ และอธิบายไม่ได้ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์และเหตุผล   แต่นักพระคัมภีร์บอกเราว่า ที่จริงแล้วในพระคัมภีร์ "อัศจรรย์" ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ขัดกับกฎธรรมชาติเลย "กฎธรรมชาติ" เป็นศัพท์วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ในพระคัมภีร์ไม่มีคําว่า "ธรรมชาติ" หรือ "กฎธรรมชาติ" โลกเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งธรรมดาสามัญ หรือสิ่งที่ผิดไปจากธรรมดา เป็นสิ่งที่พระเจ้าจัดสรรให้ทั้งนั้น พระคัมภีร์ไม่แยกว่าเหตุการณ์ใดเป็นธรรมชาติ เหตุการณ์ใดเหนือธรรมชาติ ทุกอย่างเนื่องมาจากพระเจ้าทั้งนั้น ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

      ในพระคัมภีร์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นการกระทําของพระเจ้า และบางอย่างเป็น "อัศจรรย์" ของพระเจ้า ก็เพราะมันสามารถสร้างความพิศวงหรือความประหลาดใจให้แก่เรา โลกที่พระเจ้าสร้างมานี้เป็นอัศจรรย์ ต้นมัสตาดขนาดใหญ่เติบโตขึ้นมาจากเมล็ดเล็ก ๆ ก็เป็นอัศจรรย์ ชาวอิสราเอลหลุดพ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์ก็เป็นอัศจรรย์  อาณาจักรของพระเจ้าก็เป็นอัศจรรย์    โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งอัศจรรย์สําหรับผู้ที่มีตามองเห็นอัศจรรย์ ถ้าเราไม่สามารถเห็นอะไรแล้วเกิดความรู้สึกพิศวงเลย นอกจากจะเห็นสิ่ง "ผิดธรรมชาติ" จึงจะรู้สึกตื่นเต้น ในกรณีนี้เราคงจะเป็นผู้น่าสงสารมาก

      กฎธรรมชาติเป็นทฤษฎี (สมมุติฐาน) ทางวิทยาศาสตร์ มันมีความสําคัญต่อมนุษย์เรามาก  แต่กฎธรรมชาติ ต้องได้รับการทบทวนอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าพบข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติม ที่เคยถือกันว่าเป็นกฎธรรมชาติหลายข้อในศตวรรษ ๑๗ ปัจจุบันก็ถูกล้มล้างไปแล้ว นักวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมักจะบอกเราว่าสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด ก็ยังไม่ใช่สุดทีเดียว มันอาจเปลี่ยนไปได้ในอนาคตถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติม นักวิทยาศาสตร์หลายคนกล้ารับว่า ในหลักการแล้ว สิ่งที่เรียกกันว่า "เหนือธรรมชาติ" จะถูกตัดออกไปเลยไม่ได้ ยังมีสิ่งเร้นลับอีกมากในโลกที่เรายังค้นไม่พบและยังไม่เข้าใจ

      ดังนั้น กฎธรรมชาติไม่ใช่เงื่อนไขที่จะตัดสินว่า อะไรเป็นอัศจรรย์ อะไรไม่ใช่ มีบางอย่างที่เห็นชัด ๆ ว่ามันขัดกับกฎธรรมชาติ แต่เราก็ไม่เรียกว่าเป็นอัศจรรย์หรือเป็นการกระทําของพระเจ้า เช่น การงอช้อนส้อมด้วยความคิด หรือกายกรรมของพวกโยคี ตรงกันข้ามบางอย่างแม้จะอธิบายได้ว่าเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ก็ถือกันว่าเป็นอัศจรรย์  เช่น การข้ามทะเลแดงของพวกยิวไปสู่อิสรภาพ  (นักพระคัมภีร์ชี้แจงว่าที่จริงแล้วไม่ใช่ทะเล แต่เป็นบึง)  สําหรับชาวยิว เหตุการณ์นี้แสดงว่าพระโปรดแท้ ๆ จึงหลุดพ้นไปได้ และนี่ก็กลายเป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระคัมภีร์(พันธสัญญาเดิม) ในการเล่าเรื่องนี้ให้ลูกหลานฟังทุกปี ก็มีการแต่งเติมให้เหตุการณ์นี้สวยงามระทึกใจเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพื่อยํ้าถึงความน่าพิศวงและพระคุณของพระเจ้า

      เราจึงต้องเข้าใจว่า ในพระคัมภีร์ อัศจรรย์คือการกระทําของพระเจ้าที่ค่อนข้างจะแปลกไปกว่าธรรมดาและทําให้คนรู้สึกพิศวงและเป็นที่ตื่นตาตื่นใจ ในกรณีเช่นนี้ก็ถือว่ามันเป็น "เครื่องหมาย " (sign) ที่แสดงถึงพลังของพระเจ้า แสดงถึงพระเมตตาของพระองค์ที่จะช่วยและปลดปล่อย

      แล้วเราจะต้องคิดอย่างไรกับ "อัศจรรย์" ของพระเยซูในหนังสือพระวรสาร ? ในวงการศึกษาพระคัมภีร์ มีทฤษฎีหนึ่งที่มีหลักฐานสนับสนุนมากพอ คือ มาร์โก ผู้เขียนพระวรสารฉบับแรกใน ๔ ฉบับ รู้สึกไม่พอใจที่ว่า ในกลุ่มคริสตชนของท่าน  ภาพพจน์เด่นของพระเยซู  คือเป็นอาจารย์ พวกที่ไม่เคยรู้จักพระเยซูโดยตรง ก็มารู้จักภายหลังโดยทางคําสอนและคําเปรียบเทียบ มาร์โกจึงอยากแก้ภาพพจน์นี้ให้สมดุลย์ จึงติดต่อกับชาวบ้านธรรมดาหลายคนที่เคยรู้จักพระเยซูในแคว้นกาลิลี และชาวบ้านเหล่านี้ ซึ่งหลายคนไม่ได้กลับเป็นคริสตชน ก็ได้เล่าเรื่องราวที่ประทับใจชาวบ้านจนๆ  เรื่องที่ประทับใจมากที่สุดก็คืออัศจรรย์  อัศจรรย์ย่อมน่าสนใจมาก กว่าคําสอนหรือความคิดต่างๆ  ยามผิงไฟตอนกลางคืนก็เอาขึ้นมาเล่าสู่กันฟัง เล่าไปเล่ามาก็มีการเพิ่มเติมให้น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น

      เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับอัศจรรย์ของพระเยซูส่วนมากก็คงได้มาด้วยวิธีนี้ อาจมีอีกบางอย่างที่มาร์โกได้มาทางอัครสาวกเปโตรหรือสาวกอื่น ๆ   เรื่องทั้งหมดนี้ มาร์โกไม่ได้รวบรวมและบันทึกลงไปด้วยหลักการของนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ มาร์โกยึดแหล่งที่มาของเรื่องราวเหล่านี้อย่างเคร่งครัด (ไม่ใช่ฟังจากชาวบ้านมาแล้ววินัจฉัยกลั่นกรองข้อมูลตามวิธีสมัยใหม่) เพราะอย่างไรเสีย เรื่องราวอัศจรรย์เหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่จะถ่ายทอดพระเยซูไปให้ผู้อ่าน "ภาษาอัศจรรย์" เป็นภาษาที่คนสมัยนั้นชอบและเข้าใจได้ง่าย   ผู้เขียนพระวรสารอีก ๒ คน คือ มัทธิวและลูกา คงจะได้เอาอย่างมาร์โก ส่วนยอห์นผู้เขียนคนที่ ๔ มีแหล่งข้อมูลทางอื่น (ยอห์นใช้คําว่า "เครื่องหมาย" หรือ "กิจการ" แทนที่จะใช้คําว่าอัศจรรย์)

      เป็นที่เชื่อได้ว่า  เรื่องราวอัศจรรย์ที่มาถึงมือเรานี้ ได้ผ่านการตกแต่งเพิ่มเติมให้สวยงามและยิ่งใหญ่ และนักพระคัมภีร์ยืนยันได้ว่า บางเรื่องก็เริ่มจากเป็นเหตุการณ์ธรรมดาสามัญ แต่มาถึงเรากลายเป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น (เช่นการเดินบนนํ้า    การทวีขนมปัง   การสาบต้นมะเดื่อ    การเปลี่ยนนํ้าเป็น

เหล้าองุ่น)

      อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยืนยันได้แน่ชัดทางประวัติศาสตร์ว่า พระเยซูได้ทําสิ่งอัศจรรย์จริง ได้ขับไล่ผี ได้รักษา คนเจ็บป่วยให้หาย ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจให้กับคนที่เห็น แต่สิ่งที่น่าสังเกตมาก คือทั้งที่ผู้เขียนพระวรสารพยายามรวบรวมเรื่องราวที่ถือกันว่าเป็นอัศจรรย์ แต่ก็บันทึกลงอย่างตรงไปตรงมาด้วยว่า พระเยซูมีความลังเลใจเป็นอย่างมากในการทําอัศจรรย์

5. พระเยซูทำอัศจรรย์

      หลายครั้งพวกฟาริสีเรียกร้องให้พระเยซูทําอัศจรรย์ (ขอเครื่องหมายจากสวรรค์) แต่พระเยซูก็ปฏิเสธทุกครั้ง (มก.๘,๑๑-๑๓; ลก.๑๑,๑๖; ยน.๒, ๑๘; ยน.๔,๔๘; ยน.๖,๓๐) สิ่งที่พวกฟาริสีต้องการคือ ให้พระเยซูทําสิ่งที่ประหลาดอัศจรรย์ เพื่อยืนยันว่าตนมีอํานาจมาจากพระเจ้าจริง ถ้าไม่มีอัศจรรย์ยืนยัน จะเชื่อพระเยซูได้อย่างไร แต่พระเยซูก็ไม่ยอมทําเครื่องหมายอะไรให้เห็นทั้งนั้น และคิดว่าพวกที่อยากเห็นอัศจรรย์เพื่อเป็นการยืนยันอํานาจพระเจ้า เป็นพวกที่ชั่วช้า (ลก.๑๑-๒๙)

      พระเยซูไม่เหมือนกับผู้ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆที่มีพูดถึงในพระคัมภีร์ พระเยซูถือว่า คนที่พยายามจะทําสิ่งอัศจรรย์เพื่อพิสูจน์ว่าตนมีอํานาจมาจากพระเจ้า เป็นคนที่ถูกมารหลอกลวง  เพราะเหตุนี้ จึงมีเล่าถึงการที่พระเยซูปฏิเสธไม่ยอมตามการล่อลวงให้กระโดดจากยอดพระวิหาร (ลก.๑๔,๑๒) ส่วนผู้ศักดิ์สิทธิ์สมัยก่อนพระเยซูเกือบทุกราย อดไม่ได้ที่จะต้องทําอะไรบางอย่างเพื่อพิสูจน์ตนเอง

      หลายคนเข้าใจผิดว่า  พระเยซูทําอัศจรรย์รักษาโรคภัยไข้เจ็บ  เพราะมีจุดประสงค์ที่จะพิสูจน์ตนเองว่า  เป็นพระผู้ไถ่  หรือเป็นบุตรพระเจ้า   ที่จริงแล้ว สาเหตุเดียวที่พระเยซูทําสิ่งอัศจรรย์ก็คือ ความสงสาร  พระเยซู  ต้องการช่วยประชาชนให้หลุดพ้นความทุกข์ทรมาน และหลุดจากความหมดหวังนั่งปลงในความทุกข์เวทนา พระเยซูเชื่อมั่นว่าสิ่งนี้เป็นไปได้ ต้องทําได้ และที่สําเร็จก็เพราะพลังแห่งความเชื่อนี้ พระเยซูไม่ถือว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่มีเอกสิทธิ์ในความสงสาร ในความเชื่อและพลังมหัศจรรย์ พระเยซูพยายามทําให้คนรอบข้างเกิดมีความสงสารและความเชื่อเดียวกันนี้ เพื่อจะได้ให้พลังของพระเจ้าแสดงบทบาทในท่ามกลางประชาชน

      อย่างไรก็ตาม   แม้พระเยซูไม่ต้องการจะพิสูจน์อะไร  แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจทั้งหลายที่เกิดขึ้น ก็แสดงให้เห็นว่าพระเจ้ากําลังช่วยประชาชนให้รอด โดยอาศัยความเชื่อที่พระเยซูก่อให้ลุกขึ้น

คำถาม

1. พระเยซูรักษาโรคด้วยวิธีใด ? 

2. “ความเชื่อเป็นเหมือนพระเจ้า”  มีความหมายต่อท่านอย่างไร ?

3. “การแพร่ธรรม” ในบริบทที่ท่านอ่านข้าบนนี้ คืออะไร ?

4. อัศจรรย์ในพระวรสารมีความหมายต่อท่านอย่างไร ?

 1. มีกี่คนตายปุบปับ ไม่ทันคิด !

        เป็นการแน่ที่เราทุกคนจะต้องตาย แต่จุตายเมื่อไรนั้นไม่แน่ อีดีโอตากล่าวว่า “ไม่มีอำรแน่กว่าความตาย และไม่มีอะไรไม่แน่กว่าเวลาตาย” (1) พี่น้องที่รัก ปี เดือน วัน ชั่วโมง และนาที ที่ข้าพเจ้าและท่านจะต้องลาจากโลก และต้องไปสู่นิรันดรภาพ มีกำหนดไว้แล้ว แต่เราไม่รู้เวลาเท่านั้น พระเยซูคริสต์ทรงประสงค์ให้ชาวเราเตรัยมพร้อมอยู่เสมอ ฉะนั้นบางครั้ง พระองค์ก็เตือนว่า “ความตายจะมาเหมือนขโมย มาในเวลากลางคืน แอบ ๆ มา” (1 ทส. 5, 2) บางครั้งก็เตือนว่า “จงตื่นเฝ้าไว้เถิด เพราะว่า ในเวลาที่ท่านไม่คิดถึงพระองค์จะเสด็จมาพิพากษาท่าน” (ลก. 12, 40) นักบุญเกรโกรี บอกว่า : พระเป็นเจ้าทรงพระทัยดีจึงไม่ทรงแจ้งเวลาตายให้เรารู้ เราจะได้เตรียมตัวไว้ให้พร้อมอยู่เสมอ (2) นักบุญเบอร์นาร์ดเตือนว่า : เพราะที่ความตายอาจปลิดชีวิตเราได้ทุกหนแห่ง และทุกเมื่อฉะนั้น ถ้าเราอยากจะตายดี อยากเอาตัวรอด ก็จำต้องเตรียมตัวคอยความตายไว้ทุกหนแห่ง อละทุกเมื่อ (3)

        ใคร ๆ ก็รู้ว่า ตนจะต้องตาย แต่ที่ร้าย ใคร ๆ ก็คิดว่ามันอยู่ห่างไกลจนไม่เหลียวดูมัน แม้คนแก่หนังย่นหนังเหี่ยว และเจ็บออดแอดเต็มทีแล้ว ก็ยังหลอกตัวเองว่าจะมีชีวิตต่อไปอีก 3-4 ปี แต่ ! ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า ทุกวันนี้มีกี่คนที่เรารู้จักได้ตายไปอย่างปัจจุบันทันด่วน บ้างกำลังนั่ง บ้างกำลังเอิน บ้างกำลังนอนบนเตียง? แน่นอน ไม่มีใครสักคนในพวกเหล่านี้ได้คิดก่อนว่า ตนจะตายปุบปับ และจะตายในวันนั้น ๆ ขอบอกอีกว่ามีกี่คนที่ตายไปในปีนี้ แม้ผู้ที่ตายบนที่นอนก็เถอะได้คิดไว้ก่อนว่าตนจะสิ้นชีพในปีนี้ ! มีน้อยคนนักที่จะไม่ตายปุบปับ!

        ฉะนั้น พี่น้องที่รัก เมื่อปีศาจมาประจญให้ท่านทำบาป พลางเป่าหูว่าพรุ่งนี้ค่อยไปแก้บาป นจงตอบแก่มันว่า : ใครจะไปรู้ วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของฉันก็ได้ ถ้าชั่วโมงนี้ วินาทีนี้ ที่ฉันกำลังหันหลังให้พระ เป็นชั่วโมงและวินาทีสุดท้ายของฉัน ซึ่งไม่มีหนทางแก้ไขแล้ว ฉันจะเป็นอย่างไรตลอดนิรันดร? มีคนบาปน่าสงสารกี่คนแล้ว ซึ่งพอได้ชิมอาหารอันเป็นพิษ แล้วก็ถูกความตายคร่าไปสู่นรก? “ปลาถูกจับด้วยเบ็ดฉันใด มนุษย์ก็ถูกจับในเวลาร้ายฉันนั้น” (บสร. 9, 12) เวลาร้าย คือ เวลาที่คนบาปกำลังทำผิดต่อพระเป็นเจ้าปีศาจมันจะล่อลวงอีกว่า: สำหรับท่าน จะไม่เป็นดังนั้นแน่ จงตอบแก่มันว่า: หากบังเอิญเป็นเช่นนั้นเล่า: ฉันจะเป็นอย่างไร ตลดอนิรันดรภาพ?

              ข้อเตือนใจและคำภาวนา.-

        ข้าแต่พระสววมีเจ้า สถานที่ข้าพเจ้าควรจะต้องอยู่ในขณะนี้หาใช่ที่ที่ข้าพเจ้าอยู่บัดนี้ไม่ นรกนั่นแหละที่ข้าพเจ้าควรจะไปอยู่ หลายครั้งมาแล้ว (4) ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าได้กระทำบาป ถึงกระนั้น นักบุญเปโตรได้กล่าวปลุกใจข้าพเจ้าว่า “พระเป็นเจ้าทรงเพียรทน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศ แต่ให้ทุกคนกลับใจใช้โทษบาป” (2 ปต. 3, 9) ถูกแล้ว พระองค์ได้ทรงเพียรทนต่อข้าพเจ้าตลอดเวลาช้านาน พระองค์ได้ทรงรอข้าพเจ้า ก็เพราะไม่ทรงประสงค์จะเห็นข้าพเจ้าพินาศ แต่ประสงค์จะให้ข้าพเจ้ากลับใจใช้โทษบาป ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าบัดนี้ข้าพเจ้ากลับมาหาพระองค์ ขอกราบลงแทบพระบาท และวิงวอนขอพระกรุณา พระสวามีเจ้าข้า เพื่อจะพ้นโทษได้นั้น ข้าพเจ้าต้องการพระกรุณาของพระองค์มาก ๆ และพระกรุณาชนิดพิเศษอย่างยิ่งด้วย (5) ทั้งนี้ด้วยว่าข้าพเจ้าได้ทำผิดต่อพระองค์ทั้งที่รู้ ๆ คนอื่นได้ทำผิดต่อพระองค์เหมือนกัย แต่เขามิได้รับความสว่างเท่าเสมอข้าพเจ้า ถึงกระนั้นก็ดี ข้าแต่องค์เจ้าพระคุณ พระองค์ยังทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ถึงบาป และให้ข้าพเจ้าวางใจว่าจะพ้นจากบาป พระมหาไถ่ที่สุดเสน่หา บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ด้วยจริงใจ ข้าพเจ้าไว้ใจว่าจะได้รับการอภัยบาป ทั้งนี้ด้วยเดชะพระบุญญาบารมีและพระมหาทรมานของพระองค์พระเจ้าข้า พระเยซูเจ้าข้า แม้พระองค์ทรงความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง พระองค์ก็ยังทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเยี่ยงโจรผู้ร้าย ได้ทรงหลั่งพระโลหิตของพระองค์จนหมดสิ้นเพื่อขะล้างบาปของข้าพเจ้า โอ้ ! พระโลหิตของพระองค์ผู้บริสุทธิ์ โปรดชำระล้างบาปของผู้สำนึกตนกลับใจด้วยเถิด (6) ข้าแต่พระบิดา ผู้สถิตสถาพรตลอดนิรันดร โปรดเห็นแก่ความรักของพระองค์ต่อพระเยซูคริสต์ และประทานอภัยโทษแก่ข้าพเจ้า โปรดสดับฟังคำภาวนาของพระบุตร ซึ่งกำลังวิงวอนอุทิศแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดพระเจ้าข้า โอ้ พระผู้เป็นเจ้าที่น่ารักอย่างยิ่งขอโปรดประทานมิใช่แต่การอภัยบาป แต่ขอพระหรรษทาน ที่ทำให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ด้วยเถิด โอ้ ! องค์คุณงามความดี ข้าพเจ้ารักพระองค์ แต่บัดนี้เป็นต้นไป กาย วิญญาณ เจตนา และอิสรภาพของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าขอถวายแด่พระองค์จนหมดสิ้น ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพเจ้าจะหลีกเลี่ยงทั้งความผิดหนัก และความผิดเบา ๆ ด้วยข้าพเจ้าปรารถนาจะหนีท่าทางอันเป็นภัยทั้งสิ้น “ขอพระองค์อย่าปล่อยข้าพเจ้าในการประจญล่อลวงใด ๆ เลย” ด้วยเดชะความรักของพระองค์ต่อพระเยซูคริสต์ขอโปรดให้ข้าพเจ้าแคล้วจากท่าทาง อันจะนำให้ข้าพเจ้าทำแสลงพระทัยของพระองค์เถิดพระเจ้าข้า “แต่ว่าให้ข้าพเจ้าทั้งหลายพ้นจากอันตราย” ขอโปรดให้ข้าพเจ้าพ้นจากบาป นอกนั้นพระองค์จะทรงลงโทษแก่ข้าพเจ้าอย่างไร ก็แล้วแต่จะทรงพระกรุณาเถิด พระเจ้าข้า ข้าพเจ้ายินดีรับความเจ็บไข้ ความทุกข์ร้อนและภยันตรายทั้งหลายตามแต่พระองค์จะทรงโปรดให้เป็นมา ขออย่างเดียวคืออย่าให้ข้าพเจ้าเสียพระหรรษทานของพระองค์ และเสียความรักต่อพระองค์เท่านั้นพระเจ้าข้า พระองค์ได้ทรงสัญญาแก่ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าขอสิ่งใด พระองค์จะทรงประทานสิ่งนั้น (7) ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงกราบลงวิงวอน ขอพระหรรษทานสองประการ คือ การดำรงชีพในความดี และความรักต่อพระองค์ พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระนางมารีอา แม่ผู้ใจกรุณา ข้าพเจ้าวางใจในท่าน โปรดภาวนาอุทิศเพื่อข้าพเจ้าด้วย


 

2. ชาวเราจงเตียมตัวตายกันเถิด

       พระสวามีเจ้าไม่ทรงปรารถนาที่จะเห็นชาวเราพินาศ ฉะนั้นจึงทรงเตือนให้เรากลับใจอยู่บ่อย ๆ ทรงชับว่า “ถ้าท่านทั้งหลายไม่กลับใจพระองค์จะทรงควงกระบี่” (สดด. 7, 12) พระองค์ยังตรัสว่า “จงดูเถิด กี่คนแล้ว ไม่ยอมเชื่อฟังเลยตายปัจจุบันทันใด ในเวลาที่เขาไม่สู้จะคิดถึง ในเวลาสบายดี มั่นใจว่าจะอยู่ต่อไปอีกหลายปี (8) พระองค์ทรงเสริมว่า “หากไม่กลับใจใช้โทษบาป ท่านทั้งหลายจะพินาศไปดุจกัน” (ลก. 13, 3) ไฉนก่อนจะลงพระอาชญาจึงได้ทรงบอกกล่าวหลายครั้งหลายหนดังนี้เล่า? ถ้ามิใช่เพราะทรงประสงค์ให้เราสำนึกรู้ตัวดัดแปลงกิริยา และเลี่ยงความตายร้าย นักบุญกุสตินบอกว่า : ผู้ที่เตือนให้ระวัง! คือผู้ไม่ประสงค์จะฆ่าเรานั่นเอง (9)

        ฉะนั้น จึงเป็นการจำเป็นแล้ว ที่เราจะต้องเตรียมบัญชีไว้ให้พร้อมสรรพก่อนจะถึงวันให้การ พี่น้องที่รัก ถ้าท่านจะตายก่อนค่ำวันนี้ และดังนั้น ชีวิตตลอดนิรันดรของท่านจะถูกกำหนดเด็ดขาดลงไป ท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร? ท่านเตรียมบัญชีพร้อมแล้วหรือยัง? หรือว่า ท่านจะยอมทุกอย่าง ขอเพียงให้พระเป็นเจ้าทรงต่อชีวิตของท่าน อีกหนึ่งปี หนึ่งเดือน หรืออย่างน้อยหนึ่งวัน? แล้วทำไม ขณะนี้ที่พระโปรดให้ท่านมีเวลา ท่านไม่จัดมโนธรรมไว้ให้เรียบร้อยเล่า? วัน ๆ นี้จะเป็นวันสุดท้ายของท่านไม่ได้ทีเดียวหรือ? “อย่ารีรออีกเลย จงกลับใจมาหาพระสวามีเจ้าเถิด อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะพระพิโรธของพระองค์อาจจะระเบิดออกมา เป็นเหตุให้ท่านพินาศไปในเวลาแห่งแก้แค้น” (บสร. 5, 9) พี่น้องที่รัก เพื่อเอาตัวรอด ก็จำเป็นต้องละทิ้งบาป เมื่อจำเป็นต้องละทิ้งมันในวันหนึ่ง ทำไมท่านไม่ละทิ้งมันเสียแต่เดี๋ยวนี้เล่า? (10)จะคอยให้ถึงเวลาจะตายก่อนอย่างนั้นหรือ? จงจำไว้เถิด เวลาจะตายนั้น ไม่ใช่เวลาอภัยโทษ สำหรับคนหัวแข็งมันเป็นเวลาแก้แค้นต่างหาก “จะทรงให้ท่านพินาศในเวลาแก้แค้น” (บสร. 5, 9)

        หากใครติดหนี้ท่านเป็นเงินจำนวนมาก ท่านก็ใช้ความระมัดระวัง จับให้เขาทำหนังสือสัญญาไว้ทันที แล้วกล่าวว่าต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ก็เหตุไฉนท่านไม่ใช้ความระมัดระวังให้เหมือน ๆ กัน ในเรื่องวัญญาณของท่านซึ่งมีค่ามากกว่าเงินจำนวนนั้นมากนัก เหตุไรท่านไม่พูดว่า ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้? เอาเถิด สมมุติว่า ท่านเสียเงินจำนวนนั้นไปท่านก็ไม่สัยหมดทุกสิ่งหรอก แม้จะเท่ากับเสียมรดกหมดทั้งก้อน จนสิ้นเนื้อประดาตัวก็ตาม ทั้งนี้เพราะท่านยังมีหวังจะหาใหม่ได้ แต่หากเมื่อตาย ท่านเสียวิญญาณไป มันหมายความว่า ท่านเสียหมดทุกสิ่ง ไม่มีทางจะได้คืนมาอีกแล้ว ! ท่านพิถีพิถันจดบันทึกข้าวของ อันเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านไว้ เพราะกลัวว่า หากท่านตายปุบปับมันจะเสียหาย ก็ถ้าหากมีอันเป็นไปท่านตายปุบปับ ขณะเป็นศัตรูของพระเป็นเจ้าเล่า วิญญาณของท่านจะเป็นอย่างไร ตลอดนิรันดร?

            ข้อเตือนใจและคำภาวนา

         ข้าแต่พระมหาไถ่ พระองค์ได้ทรงหลั่งพระโลหิตจนหมดสิ้น ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อกอบกู้วิญญาณของข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้าได้ทำให้วัญญาณของตนเสียไป หลายครั้งหลายหนแล้ว ทั้ง ๆ ที่วางใจในพระทัยเมตตากรุณาของพระองค์เป็นอันว่า หลายครั้งหลายหนแล้ว ข้าพเจ้าได้นำพระทัยดีของพระองค์มาใช้ เพื่ออะไร? เพื่อทำแสลงพระทัยยิ่งขึ้นเท่านั้น สมควรแล้วที่พระองค์จะทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าตายอย่างปัจจุบัน และลงไปสู่นรก เป็นความจริง ข้าพเจ้าได้บังอาจแข่งขันกับพระองค์ ยิ่งพระองค์ทรงพระทัยดี ข้าพเจ้ายิ่งทำให้ช้ำพระทัย ยิ่งพระองค์ทรงวิ่งตามหา ข้าพเจ้ายิ่งถอยหนี ยิ่งพระองค์ประทานเวลาให้ข้าพเจ้าใช้ชดเชยบาป ข้าพเจ้ายิ่งนำมาใช้ทำบาปมากขึ้น ! แต่ บัดนี้ พระสวามีเจ้าข้า โปรดดลใจให้ข้าพเจ้าตระหนักเถิดว่า บาปนั้นทำให้พระองค์ขัดเคืองพระทัยเพียงไร และให้ทราบว่า เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า จะต้องรักพระองค์ พระเยซูเจ้าข้า ไฉนจึงทรงโปรดปรานข้าพเจ้าถึงเพียงนี ทรงไล่ตามข้าพเจ้าเรื่อยมา ส่วนข้าพเจ้ากลับขับไล่พระองค์ไป? ไฉนจึงยังทรงประทานพระหรรษทาน แก่ผู้ที่ทำแต่ความเจ็บช้ำพระทัยต่อไปอีเลา? การกระทำของพระองค์ดทั้งหมดนี้บ่งชัดว่า พระองค์ไม่ประสงค์จะให้ข้าพเจ้าพินาศ โอ้ พระเจ้าผู้ทรงพระทัยดี บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ด้วยจริงใจเพราะได้ทำบาปแล้ว โปรดทรงพระกรุณาต้อนรับลูกแกะใจดำตัวนี้เถิด มันสำนึกตัว กลับมากราบอยู่แทบพระบาท โปรดอุ้มมันไว้ และวางลงบนตัก มันจะได้หนีไปไหนไหนไม่ได้ ข้าพเจ้าจะไม่ยอมหนีพระองค์ต่อไปอีกแล้ว พ้าพเจ้าต้องการรักพระองค์ และเป็นของของพระองค์ ขอยอมรับความยากลำบากทุก ๆ อย่าง เพราะต้องการเป็นของของพระองค์อย่างเดียวเท่านั้น พระเจ้าข้า จะมีโทษอันใดหรือสำหรับข้าพเจ้า ที่ร้ายไปกว่า การปราศจากพระหรรษทานของพระองค์ การออกห่างจากพระองค์ พระเป็นเจ้าของข้าพเจ้า พระผู้สร้างข้าพเจ้า ผู้สิ้นพระชนม์เพื่อข้าพเจ้า? เจ้าบาปอัปรีย์จัญไร เจ้าทำอะไรแก่ข้า เจ้าเป็นเหตุให้ข้าทำชอกช้ำน้ำพระทัยของพระองค์พระมหาไถ่ ผู้ทรงรักข้ายิ่งนัก ! อา ! พระเยซูเจ้าข้าพระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อข้าพเจ้าอย่างไร ก็สมควรให้ข้าพเจ้าตายเพื่อพระองค์อย่างนั้น พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพราะความรัก ข้าพเจ้าก็ควรตายเพราะความทุกข์ถึงบาป ข้าพเจ้าขอยอมตายเช่นเดียวกัน ในเวลาที่พระองค์ทรงพอพระทัยแต่ที่จริงแล้วจนบัดนี้ข้าพเจ้ายังมิได้รักพระองค์ หรือได้รักก็น้อยเต็มที จึงยังไม่อยากจะตายอย่างนี้ ! โปรดเถิด โปรดไว้ชีวิตข้าพเจ้าอีกหน่อย ข้าพเจ้าจะได้รักพระองค์ก่อนจะตาย เพื่อให้สำเร็จตามความมุ่งหวัง ขอพระองค์ทรงเปลี่ยนดวงใจของข้าพเจ้า โปรดแทงมัน เผามันด้วยความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ทั้งนี้โปรดเห็นแก่ความรักที่ได้บันดาลให้พระองค์ยอมสิ้นพระชนม์เพื่อข้าพเจ้าเถิดพระเจ้าข้า ข้าพเจ้ารักพระองค์ด้วยสิ้นสุดวิญญาณแล้ว บัดนี้วิญญาณของข้าพเจ้ากำลังอิ่มเอิบด้วยความรักของพระองค์ ขออย่าทรงปล่อยให้พลัดพรากจากพระองค์อีกเลย โปรดให้ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตในความดี และในความรักต่อพระองค์เสมอเถิด พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระแม่มารีอา ผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง พระแม่เป็นที่พักอาศัยอันร่มเย็นและเป็นแม่ของข้าพเจ้า โปรดเสนอวิงวอนเพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด


 

3. จงพร้อมสรรพอยู่ทุกเมื่อ

             พระสวามีมิได้ตรัสว่า : จงเตรียมตัวเมื่อจะตาย แต่ได้ตรัสว่า: เตรียมตัวไว้ “จงเตรียมให้พร้อมสรรพไว้” (บก. 12, 40) เมื่อถึงคราวจะตาย ขณะนั้นกำลังตกใจ วุ่นวาย จึงแทบไม่มีทางจะจัดมโนธรรมอันยุ่งเหยิงให้เจ้าระเบียบได้ เหตุผลบอกเราดังนี้ และพระเป็นเจ้าก็ทรงขู่เราว่า “เมื่อนั้น พระองค์จะเสด็จมามิใช่เพื่อยกโทษบาห แต่เพื่อแก้แค้นต่อการสบประมาทพระหรรษทานของพระองค์” (11) นักบุญเอากุสติน กล่าวว่า “อาชญาโทษอันเหมาะสมสำหรับผู้ที่เมื่อเอาตัวรอดได้ ไม่อยากรอด คือให้เข้าเอาตัวรอดไม่ได้ เมื่ออยากรอดนั้นแล” (12) บางคนจะพูดว่า : ใครจะไปรู้บางทีเวลานั้นฉันจะกลับใจ และจะเอาตัวรอดก็ได้?-พูดอะไรกัน ! อย่างนั้นท่านกระโดดลงไปในบ่อแล้วพูดว่า ใครจะไปรู้ เมื่อกระโดดลงไปในบ่อแล้วฉันอาจรอด ไม่ตายก็ได้ ! นั่นปะไร ! คนบาปช่างใจบอดมืดเสียจริงจนต้องนับว่าเสียสติเสียแล้ว ! คนเรานี้ชอบกล ! เมื่อพูดถึงเรื่องฝ่ายร่างกายมักพูดอย่างคนฉลาด แต่เมื่อพูดถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ มักพูดอย่างคนบ้า !

        พี่น้องที่รัก ใครจะไปรู้ บางทีข้อที่ท่านกำลังรำพึงอยู่นี้ จะเป็นพระโอวาทของพระเป็นเจ้ามาเตือนใจท่านเป็นวาระสุดท้ายแล้ว? เร่งเตรียมตัวเถิด ความตายจะได้ไม่มาถึง ขณะไม่ทันเตรียมตัว นักบุญเอากุสตินกล่าวว่า “ที่พระสวามีเจ้าทรงปิดบังวันจบชีวิตของเราไว้ ก็เพื่อให้เราเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ทุกวัน” (13)

        นักบุญเปาโลกล่าวว่า “จำต้องพยายามออกแรงเอาตัวรอดมิใช่แต่ด้วยความกลัว แต่ด้วยสะดุ้งตัวสั่นอีกด้วย” (14) นักบุญอันโตนีโนเล่าว่า ในหลวงของเกาะชิชิลีองค์หนึ่งใคร่จะสอนบุรุษผู้หนึ่งให้รู้ว่า ขณะที่ท่านกำลังเสวยราชย์อยู่นั้นพระองค์มีความหวาดกลัวอยู่มาก จึงรับสั่งให้บุรุษนั้นนั่งโต๊ะเสวย พระองค์ทรงบัญชาให้เอาดาบเล่มหนึ่งไปแขวนไว้ด้วยด้ายเส้นเล็ก ๆ บนหัวของเขา ทำเอาเขาผู้นั้นเมื่อนั่งอยู่ที่โต๊ะเสวยกินอะไรแทบไม่ลง เราทุกคนก็กำลังอยู่ในภัยอันตรายดุจเดียวกัน เพราะว่าในทุกวินาทีดาบหรือความตาย จะตกลงมาบนหัวของเราก็ได้และที่สำคัญความรอดตลอดนิรันดรของเรา ก็ย่อมสุดแล้วแต่ความตายอันนี้เอง

        จงระวัง ! เพราะเป็นเรื่องของนิรันดรภาพ ต้นไม้เมื่อล้มลงทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก ล้มลงทางไหน ก็จะคงอยู่ทางนั้น (ปญจล. 11, 3) โอ้ว่า ! เมื่อตายหากเราประกอบอยู่ด้วยพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า ! เมื่อนั้นวิญญาณของเราจะเต้นโลดยินดีอย่างที่สุด จะพูดว่าปลอดภัยแล้ว ฉันจะสูญเสียพระเป็นเจ้าไม่ได้ต่อไปแล้ว ฉันได้ความสุขตลอดนิรันดรแล้ว !- แต่หากตาย เมื่อวิญญาณอยู่ในบาป เมื่อนั้นจะต้องร้องไห้ด้วยความเสียใจสุดพรรณนาว่า “จบกัน ฉันพลาดไปแล้ว” (15) และไม่มีทางจะแก้ไขความพลาดพลั้งของฉัน ตลอดไปทั้งชั่วนิรันดรท่านยวง แห่งอาวิลา อัครสาวกแห่งประเทศสเปญ ได้รู้สึกกลัวเช่นนี้ เมื่อมีผู้บอกว่า ท่านใกล้จะตายแล้ว ท่านก็ร้องว่า “โอ้! หากฉันจะมีเวลาเตรียมตัวอีกหน่อยหนึ่ง !” แม้แต่คุณพ่ออธิการ อาคาธอน ผู้ได้บำเพ็ญตบะเป็นเวลาช้านานหลายปีก่อนตายก็ยังกลัวพูดว่า “ฉันจะเป็นอย่างไร? การพิพากษาของพระเป็นเจ้าเป็นอย่างไร? ใครจะไปรู้?” นักบุญอาร์เซนีโอ เมื่อใหล้จะตายก็ยังตัวสั่นจนพวกศิษย์ถามว่า ทำไมท่านจึงกลัวเช่นนั้น ท่านก็ตอบว่า “ลูกเอ๋ย นี่ไม่ใช่ความกลัวครั้งแรกที่พ่อรู้สึก แต่พ่อเคยรู้สึกกลัวดังนี้เรื่อยมาตลอดทั้งชีวิต” โยบ รู้สึกกลัวมากกว่าใคร ๆ ท่านจึงอุทานว่า “ฉันจะทำอย่างไร เมื่อพระเป็นเจ้าจะเสด็จลุกขึ้นพิพากษา? เมื่อพระองค์จะตรัสถาม ฉันจะเอาอะไรมาตอบ?” (โยบ. 31, 14)

         ข้อเตือนใจและคำภาวนา

       อา ! ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ใครบ้างที่รักข้าพเจ้ามากกว่าพระองค์? และข้าพเจ้าได้ดูหมิ่น ได้ทำร้ายใครบ้าง มากกว่าพระองค์ พระเจ้าข้า? พระโลหิตและบาดแยลของพระองค์ จงช่วยปกป้องคุ้มครองข้าพเจ้า ! ข้าแต่พระบิดาผู้สถิตสถาพรตลอดนิรันดร โปรดอย่าทอดพระเนตรดูบาปของข้าพเจ้าแต่โปรดทอดพระเนตรดูบาดแผลของพระเยซู พระบุตรสุดสวาทของพระองค์ผู้กำลังสิ้นพระชนม์อย่างทุกข์ทรมานเพื่อข้าพเจ้าเถิด พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้สร้าง ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ที่ได้กระทำผิดต่อพระองค์ ข้าพเจ้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ได้ทรงสร้างข้าพเจ้ามาเพื่อให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ ข้าพเจ้ากลับไพล่ไปดำรงชีพ คล้ายกับว่าพระองค์ได้ทรงสร้างมเพื่อให้ทำขัดเคืองพระทัย ขอให้เห็นแก่ความรัก ต่อพระเยซูคริสต์และทรงพระกรุณายกโทษของข้าพเจ้า โปรดประทานพระหรรษทานให้ข้าพเจ้ารักพระองค์เถิด พระเจ้าข้า ก่อนนี้ข้าพเจ้าได้กระทำเคืองพระทัย แต่บัดนี้ข้าพเจ้าจะไม่ยอมทำอีกแล้ว ข้าพเจ้ายินดีจะปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ทุก ๆ ประการพระองค์ทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าเกลียดชังบาปหรือ? ข้าพเจ้าก็เกลียดชังมันด้วยจริงใจ และไม่ยอมรักสิ่งใดนอกจากพระองค์ พระเจ้าข้า แต่บัดนี้ไปพระองค์ คือผู้ที่ข้าพเจ้ารักแต่ผู้เดียว ข้าพเจ้าขอวิงวอนและหวังจะได้ดำรงชีพในความดี พระเจ้าข้า ด้วยเดชะความรักของพระองค์ต่อพระเยซูคริสต์ขอโปรดให้ข้าพเจ้าสัตย์ซื่อ จนข้าพเจ้าพูดได้อย่างนักบุญ โบนาเวนตูราว่า “พระองค์ผู้เดียวเป็นที่รักของข้าพเจ้า พระองค์ผู้เดียวเป็นความรักของของข้าพเจ้า” (16)ไม่เอาแล้ว! ข้าพเจ้าจะไม่ยอมใช้ชีวิตทำเคืองพระทัยอีกต่อไป แต่ใคร่จะใช้มันเพื่อร้องไห้เพราะได้ทำผิดต่อพระองค์ และใช้มันเพื่อรักพระองค์เท่านั้น พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระแม่มารีอา ผู้ใดฝากตนไว้กับท่าน ท่านย่อมภาวนาอุทิศเสมอโปรดวิงวอนพระเยซูเพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด

(1) Nihil certius morte, hora autem nortis nihil incertius.

(2) De morte incerti sumus, ut ad mortem simper parati inveniamur.

(3) Mors ubique te expectat; tu ubique eam expectabis.

(4) Infernus domus mea est. (Job 17, 13).

(5) Miserere mei, Deus secundum magnam misericordiamtuam.

(6) O sanguis innocents, lava culpas poenitentis.

(7) Petite et accipietes (Jh. 16, 24)

(8) Cum dixerint pax et securitas, tunc repentinus eis superveniet interitus (1 Thess. 5, 3 cfr. prov. 29, 1).

(9) Non vult ferire, qui clamat tibi:observa.

(10) Si aliquando, cur non modo? (S. Augustinus).

(11) Mihi vindicta; ego retribuam in tempore, dicit Dominus. (Rom. 12, 19:Hebr. 10, 30).

(12) Justa poena est, ut qui recta facere, cum posser, noluit, amittat posse, cum velit. (Lib. 3 de lib, arb.).

(13) Latet ultimus dies, ut observentur omnes dies (Serm. 39 E.B.).

(14) Cum metu et tremore vestram salutem operamini (Phil. 2, 12).

(15) Ergo erravimus!

    ยอห์นแบปติสต์เทศน์ให้คนบาป ผู้ศักดิ์สิทธิ์ชื่อ ฮันนีนา เบนโดซ ขับไล่จิตชั่วออกจากคนบาป ฝ่ายพระเยซูทําตัวเป็นหนึ่งในพวกคนบาป เข้าร่วมวงสมพงษ์กับคนขอทาน คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณี

    ในสังคมที่มีกําแพงกั้นระหว่างชนชั้น เชื้อชาติหรือกลุ่ม วิธีรักษากําแพงให้คงอยู่ก็คือต้องห้ามการคบหาสมาคมกัน ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารหรือพูดคุยสนุกสนานเฮฮากับชนชั้นอื่นหรือกลุ่มอื่น ในแถบตะวันออกกลาง การกินอาหารด้วยกันเป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งแน่นแฟ้นที่มีต่อกัน พวกเขาจะไม่ยอมร่วมโต๊ะอาหารกับชนชั้นตํ่ากว่าตน หรือกับกลุ่มชนที่ตนไม่นับถือ

1. พระเยซูอยู่ข้างคนจน คนบาป

    การที่พระเยซูเข้าร่วมวงกับพวกที่ถือกันว่าเป็นคนบาป ทําให้คนประหลาดใจมาก การทําเช่นนี้แสดงว่าพระเยซูยอมรับพวกคนบาป ให้ความเคารพนับถือ “เป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาป” (มธ.๑๑,๑๙)  แต่สําหรับคนจนและคนน่าสงสารทั้งหลาย  การที่พระเยซูทำเช่นนี้มีผลน่าอัศจรรย์

    มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แน่ชัดว่าพระเยซูเข้าร่วมสังคมกับคนบาป เป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์รุ่นหลังจะแต่งเติมเรื่องราวอันน่าตําหนินี้ขึ้นมาภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อศิษย์รุ่นหลังส่วนใหญ่มีฐานะทางสังคมสูงกว่าคนที่ห้อมล้อมรอบข้างพระเยซู ตรงกันข้ามเราอาจจะต้องสงสัยว่า ศิษย์รุ่นหลังได้กลบเกลื่อนเรื่องราวประเภทนี้ไปมากน้อยแค่ไหน หลักฐานที่เรามีก็เพียงพอที่จะแสดงว่า พระเยซูเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับคนบาป

    "พวกเขาพูดว่า ชายคนนี้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงคนบาปและสังสรรค์กับพวกนั้น" (ลก.๑๕,๒) "พระเยซูกินเลี้ยงในบ้านของตน คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนก็มากินเลี้ยงกับพระเยซูและสาวก เพราะพวกนี้หลายคนมาเป็นสาวกของพระเยซู" (มก.๒,๑๕; มก.๙,๑๐; ลก.๕,๒๙)  "...แล้วพวกท่านก็ว่า นี่อย่างไรล่ะ นักกินนักดื่ม เพื่อนของคนเก็บภาษีและคนบาป" (ลก.๗, ๓๔; มธ.๑๑,๑๙) พระเยซูจัดเลี้ยงคนบาปในบ้านของตน โดยทั่วไปเรามักเข้าใจอย่างเถรตรงเกินไปว่าพระเยซูไม่มีที่จะนอน (มธ.๘,๒๐; ลก.๙,๕๘) เนื่องจากพระเยซูเดินทางเกือบตลอดเวลา ดังนั้นบ่อยครั้งที่ต้องหลับนอนตามสุมทุมพุ่มไม้หรือตามบ้านเพื่อนฝูง แต่พระเยซูมีบ้านของตนที่คาเปอร์นาอุม  อาจเป็นบ้านที่แบ่งส่วนกันอยู่กับเปโตรและอันดรู (มก.๑, ๒๑-๒๙-๓๕; ๒,๑; มธ.๔,๑๓) ใน มก.๒,๑๕ เมื่อพูดถึง "บ้านของเขา" อาจหมายถึงบ้านของเลวี ลูกาก็เข้าใจดังนั้น (ลก.๕,๒๙) แต่นักพระคัมภีร์หลายคนคิดว่าหมายถึงบ้านของพระเยซูจะถูกต้องมากกว่า เพราะว่าถ้าพระเยซูไม่มีบ้านอยู่ ก็ไม่รู้จะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงคนได้อย่างไร (ลก.๑๕,๒)

    เนื่องจากมีการพูดถึงการเชิญแขกและ "เอนกาย" กินอาหาร แสดงว่าการกินที่พูดถึงในพระวรสาร หมายถึงการกินเลี้ยงหรือปาร์ตี้ การกินอาหารธรรมดาจะนั่งกิน แต่ถ้าเป็นการกินเลี้ยงก็มีธรรมเนียมเอนกายกิน(ครึ่งนั่งครึ่งนอน) ซึ่งมีเวลาพูดคุยกันยาวนาน การกินเลี้ยงของพระเยซูไม่ใช่ว่าจะต้องจัดอย่างสวยงาม    หรืออาหารดี ๆ มากมาย  (ลก.๑๐,๓๘-

๔๒) การสังสรรค์พูดคุยกันมีความสําคัญกว่ามาก แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากการกินเลี้ยงแบบนี้เป็นสิ่งธรรมดามากในชีวิตของพระเยซู จึงไม่ต้องแปลกใจที่ผู้ไม่หวังดีได้ขนานนามพระเยซูว่า "นักกินนักดื่ม"

    ครั้งหนึ่งพระเยซูบอกเจ้าภาพผู้หนึ่ง (คงจะเป็นชนชั้นกลาง) ว่าต้องเชิญคนจน คนพิการ คนง่อยเปลี้ยเสียขาและคนตาบอด แทนที่จะเชิญแต่เพื่อนฝูงญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านที่มีเงินมีทองเท่านั้น(ลก.๑๔,๑๒-๑๓) เราเชื่อได้ว่าพระเยซูต้องทําสิ่งที่ตนสอนคนอื่น ฉะนั้นเป็นที่แน่นอนว่า พระเยซูมักจะเชิญพวกคนเหล่านี้มากินเลี้ยงอยู่เสมอ

    นอกจากนี้พระเยซูคงจะได้เชิญพวกฟาริสีและพวก "ผู้น่านับถือ" มากินเลี้ยงด้วย พวกนี้เชิญพระเยซูไปกินที่บ้าน (ลก.๗,๓๖;๑๑,๓๗;๑๔,๑) พระเยซูก็ต้องเชิญตอบเช่นเดียวกัน แต่พวกฟาริสีจะมากินเลี้ยงที่บ้านพระเยซูร่วมกับพวกคนขอทานได้อย่างไร ถ้าพวกฟาริสียอมรับเชิญก็ต้องถือว่าตนเสียเกียรติเป็นแน่ คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแล้วกลายมาเป็นนิทานเปรียบเทียบ (ลก.๑๔,๑๕-๒๔) ผู้ได้รับเชิญคงจะเป็น "ผู้น่านับถือ" ที่หาข้อแก้ตัวไม่ไปร่วมงานเลี้ยง พระเยซูคงจะได้ส่งสาวกออกไปตามถนนและซอกซอยเพื่อเชิญคนจนคนง่อยคนตาบอด...และบังคับให้เข้ามา พวกขอทานคงจะไม่กล้าเข้า และคนบาปอื่น ๆ ก็คงจะลังเล จึงต้องมีการบังคับกันอยู่บ้าง และคนเหล่านี้ก็คงไม่กล้าเชิญพระเยซูไปกินที่บ้านของตนเป็นการตอบแทน เนื่องจากกฎทางสังคม พระเยซูจึงต้องเชิญตัวเองไปในบางครั้ง เช่นในกรณีของซัคเคียส (ลก.๑๙,๑-๑๐)

    ซัคเคียสไม่ใช่คนจนทางเศรษฐกิจ เขาเป็นคนเก็บภาษีระดับหัวหน้าในเมืองเยริโก และได้สะสมเงินทองไว้มากมาย แต่เขาก็ถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปและถูกเหยียดหยาม ไม่มี "ผู้น่านับถือ" ไหนจะยอมเข้าไปในบ้านของซัคเคียส แต่พระเยซูก็เจาะจงเชิญตัวเองไปกินเลี้ยงที่บ้านของซัคเคียสผู้มีสมญาว่าคนบาปหนาที่สุดในเยริโก ในไม่ช้าเมื่อคนเก็บภาษีและคนบาปอื่น ๆ รู้จักพระเยซูมากขึ้น ก็เริ่มหาโอกาสสังสรรค์กับพระเยซูและเชิญพระเยซูไปกินเลี้ยงที่บ้านของตนบ้าง (ลก.๑๕,๑)

    พระเยซูให้ความสำคัญแก่การชุมนุมแบบนี้ บางทีก็เช่าห้องอาหารที่โรงแรมเพื่อกินเลี้ยงกับสาวก  อาหารคํ่าครั้งสุดท้ายก็เป็นหนึ่งในโอกาสเช่นนี้ หลังจากความตายของพระเยซู พวกสาวกทําพิธีระลึกถึงโดยการกินเลี้ยง เพราะว่าพระเยซูอยากให้ระลึกถึงด้วยวิธีนี้ "จงทําดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด" (๑คร.๑๑,๒๔)

2. การร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซู

    การที่พระเยซูไปร่วมกินอาหารกับพวกคนจนและคนบาป มีผลกระทบต่อพวกนี้อย่างมาก พระเยซูยอมรับพวกนี้มาเป็นเพื่อนเคียงบ่าเคียงไหล่ ทําให้พวกเขารู้สึกหายจากความอาย หายจากความรู้สึกถูกเหยียดหยามพระเยซูทําให้พวกเขารู้สึกว่าตนมีความสําคัญ มีศักดิ์ศรี มีความเป็นคนเหมือนผู้อื่นทั่วไป การที่พระเยซูสัมผัสกับพวกเขาทางกายโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ทําให้รู้สึกว่าพวกเขาไม่ใช่ "คนมีมลทิน" ดังที่สังคมตราหน้าพวกเขาไว้ นอกนั้น เนื่องจากว่าคนจํานวนมากนับถือพระเยซูว่าเป็นคนของพระเจ้า หรือเป็นประกาศก พวกคนจนและคนบาปก็ถือว่าการที่พระเยซูเป็นมิตรกับตน ก็แสดงว่าพระเจ้าไม่ถือโทษโกรธเคืองตน พระเจ้า มองข้ามความบาป  ความโง่เขลา  ความมีมลทินของตน  พระเจ้ายอมรับตนแล้ว

    นักพระคัมภีร์หลายคนชี้ให้เห็นว่า การเป็นมิตรร่วมโต๊ะอาหารกับพระเยซูนี้ที่จริงแล้วก็คือการอภัยบาปนั่นเองแม้จะไม่ได้พูดตรงๆ เราจะเข้าใจข้อนี้ได้ถ้ารู้ว่า ในสมัยพระเยซู บาปและการอภัยหมายความว่าอย่างไร   

    สมัยนั้นถือกันว่า บาปคือการเป็นหนี้ต่อพระเจ้า (มธ.๖,๑๒;๑๘, ๒๓-๓๕) ตนเองก่อหนี้ขึ้นในอดีต หรือเป็นบรรพบุรุษที่ก่อหนี้ไว้ โดยการ ทําผิดต่อกฎทางศาสนา การทําผิดกฎดังกล่าวอาจทําผิดโดยตั้งใจหรือโดยบังเอิญ (ถือว่าเป็นบาปเหมือนกันหมด) การให้อภัยคือการยกหนี้ ทําให้หลุดพ้นสภาพเป็นหนี้ นั่นคือเป็นอิสระ การที่พระเจ้าให้อภัยแก่คนคนหนึ่ง เป็นการมองข้ามอดีตของเขา และทําให้เขาหลุดพ้นจากผลอันเนื่องมาจากบาป   

    เมื่อพระเยซูแสดงตัวเป็นมิตรกับคนบาป พระเยซูก็มีความคิดความรู้สึกเช่นนี้ พระเยซูมองข้ามอดีตของคนบาปและไม่ถือว่าเขามีผิดหรือต้องมีโทษอะไร พระเยซูถือว่าเขาไม่เคยมีบาป หรือถ้าเคยมี ก็ไม่มีอีกแล้ว ดังนี้เขาไม่ต้องรับโทษ ไม่ต้องถูกตัดขาดจากสังคมหรือถูกเหยียดหยามอีกต่อไป เขาได้รับอภัยแล้ว

    พระเยซูไม่จําเป็นต้องเผยความจริงนี้ออกมาเป็นคําพูด เช่นเดียวกับในนิทานเรื่องลูกล้างผลาญ พ่อผู้รักลูกไม่ต้องพูดอะไรมากมายกับลูกเพื่อแสดงว่าลูกได้รับอภัยแล้ว การต้อนรับและการเลี้ยงฉลอง พูดได้ดังและชัดเจนมากกว่า

    เนื่องจากถือกันว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นผลอันเนื่องมาจากบาป การหายจากความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องเป็นผลอันเนื่องมาจากการพ้นจากบาปด้วย ถ้าคนหนึ่งหายจากความเจ็บป่วย ก็แปลว่าพระเจ้าได้ยกบาปของเขาแล้ว ความคิดเดียวกันนี้แสดงออกมาในเรื่องของคนง่อยในพระวรสาร (มก.๒,๑-๑๒) ถ้าชายคนนี้สามารถลุกขึ้นเดินได้ แสดงว่าเขาได้รับการยกบาปแล้ว ชายคนนี้อาจจะเป็นง่อยเนื่องมาจากสภาพจิตที่ถูกกดดันเพราะบาป พอได้ยินพระเยซูพูดว่าพระเจ้าได้ยกบาปเขาแล้ว เขาไม่ได้เป็นหนี้ต่อพระเจ้าอีกแล้ว ความกดดันดังกล่าวก็หายไป สภาพจิตกลับเป็นปกติ ร่างกายก็กลับเป็นปกติด้วย

    การสนทนาระหว่างพระเยซูกับพวกฟาริสีในเรื่องนี้ คงจะเขียนแต่งขึ้นภายหลังโดยมาร์โกหรือนักเทศน์สมัยหลังพระเยซู เพื่อสอนว่าการหายโรคอาจเป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งของการอภัยบาป แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า พระเยซูตั้งใจที่จะรักษาโรคเพื่อพิสูจน์ว่าตนมีอํานาจยกบาป เหตุที่พระเยซูรักษาโรคก็เพราะความสงสารและเหตุที่พระเยซูให้ความมั่นใจแก่คนง่อยว่าพระเจ้าได้ยกบาปเขาแล้ว ก็เพราะความสงสารเช่นกัน พลังที่รักษาโรคคือพลังแห่งความเชื่อ พลังที่ยกบาปก็คือพลังแห่งความเชื่อด้วย พระวรสารพูดว่าฝูงชนรู้สึกพิศวงที่พระเจ้ามอบอํานาจนี้ให้แก่มนุษย์ ไม่ได้พูดว่าพระเจ้ามอบอํานาจให้พระเยซู

3. รักมาก ได้รับการอภัยมาก

    ในเรื่องหญิงคนบาปที่ไปล้างเท้าพระเยซู พระเยซูบอกเธอว่า "เธอได้รับการยกบาปแล้ว...ความเชื่อของเธอได้ทําให้เธอรอดพ้น จงไปเป็นสุขเถิด" (ลก.๗,๔๘-๕๐) ในที่นี้คําสนทนาชี้ชัดว่าเป็นความเชื่อของหญิงคนนั้นที่ทําให้เธอได้รับการอภัยจากพระเจ้า พระเยซูทําให้เธอมั่นใจว่า หนี้ถูกลบล้างไปหมดแล้ว และเวลานี้พระเจ้ายอมรับเธอ พอเธอเชื่อ มันก็เกิดผลและชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปทันที พระเยซูเชื่อว่าพระเจ้าให้อภัยแก่เราโดยไม่มีเงื่อนไข และพระเยซูก่อให้เกิดความเชื่อเช่นเดียวกันในตัวหญิงคนนั้น พระเยซูทําอย่างไรให้เกิดความเชื่อเราไม่รู้ คงจะเป็นการแสดงตัวเป็นมิตร ยอมรับ หรือเพียงแค่ยอมให้เธอล้างเท้าด้วยนํ้าตา พระเยซูไม่ได้ปฏิเสธที่จะติดต่อกับเธอ ไม่ได้ลงโทษ ไม่ได้ดุด่าว่ากล่าว ไม่ได้ถือว่าเธอมีมลทิน พระเยซูเป็นเหมือนพ่อในนิทานเปรียบเทียบเรื่องลูกล้างผลาญ ที่ไม่ได้ตั้งเงื่อนไข ไม่ได้มีข้อแม้ ไม่ได้กําหนดว่าต้องทําโน่นก่อนทํานี่ทีหลัง  ด้วยการแสดงออกอย่างง่ายๆนิดเดียว พระเยซูก็สามารถปลดปล่อยหญิงคนนี้ให้หลุดจากอดีตของเธอ ทั้งนี้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น

    ผลที่ตามมาก็คือการหายจากโรคทางใจ หรือความรอดพ้น สําหรับหญิงคนนี้มันเป็นความรู้สึกโล่งอก ความยินดี ความกตัญญูและความรัก "ที่หญิงนี้แสดงความรักมากนั้น เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า นางได้รับการอภัยบาปที่มีอยู่มากมายจนหมดสิ้น" (ลก.๗,๔๗) ความรักและกตัญญูประกอบกับความยินดีสุดซึ้งเป็นเครื่องหมายแห่งการหลุดพ้นจากบาป ที่จริงแล้ว คนจนและคนถูกกดขี่ทุกประเภทที่มาสัมผัสกับพระเยซูต่างก็มีความรู้สึกเดียวกันคือมีความร่าเริงยินดี และหลายครั้งก็แสดงออกมาในการกินเลี้ยงสังสรรค์ พระเยซูอยากทําให้ทุกคนร่าเริงยินดี สิ่งนี้เองที่พวกฟาริสีรับไม่ได้ การร่วมวงเฮฮากับคนบาปเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าติเตียนที่สุด(ลก.๑๕,๑) และไม่มีคําไหนที่จะใช้ติเตียนพระเยซูได้ดีกว่าคําว่า "นักกินนักดื่ม" (ลก.๗,๓๔)

4. การกลับใจ

    เพื่อจะอธิบายถึงความร่าเริงยินดีและการเลี้ยงฉลองให้พวกฟาริสีเข้าใจ พระเยซูเล่านิทานเปรียบเทียบ ๓ เรื่อง เรื่องแกะพลัดฝูง เรื่องเหรียญที่หายไป และเรื่องลูกล้างผลาญ (ลก.๑๕,๑-๓๒) ทั้งสามเรื่องนี้สรุปว่าการได้สิ่งที่หายไปกลับคืนมา (การอภัย) เป็นเหตุแห่งความชื่นชมยินดีและการเฉลิมฉลอง

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระเยซูเป็นคนที่มีความร่าเริงยินดี และความร่าเริงยินดีนี้ก็เป็นเหมือนความเชื่อและความหวัง ซึ่งมีลักษณะติดต่อซึมซาบไปสู่คนรอบข้าง พระเยซูไม่เป็นเหมือนยอห์นแบปติสต์ พระเยซูเลี้ยงฉลอง ส่วนยอห์นแบปติสต์อดอาหาร (ลก.๗,๓๑-๓๔) การอดอาหารแสดงถึงความทุกข์โศกเศร้า คนจนและคนที่ถูกกดขี่ (รวมทั้งคนที่ไม่กลัวจะเสียเกียรติเหมือน"ผู้น่านับถือ"ทั้งหลาย) พบว่าการสัมผัสกับพระเยซูทําให้รู้สึกชื่นชมยินดีและรู้สึกเป็นอิสระ พระเยซูทําให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นจิตชั่ว คนชั่ว หรือพายุในทะเลสาบ ไม่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องนุ่งห่มอาหารหรือโรคภัยไข้เจ็บ   พระเยซูเตือนใจ และให้กําลังใจอยู่เป็นประจําว่า "อย่ากลัว" "ไม่ต้องเป็นห่วง" "จงชื่นชมยินดีเถิด" นอกจากช่วยให้คนหายโรคและให้อภัยแล้ว พระเยซูยังช่วยขจัดความกลัวและความกังวลต่าง ๆ นานาอีกด้วย

 

คำถาม

    1.เอกลักษณ์เด่นของพระเยซูคืออะไร ?

    2.”การกินการดื่ม” ของพระเยซูมีความสำคัญอย่างไร ?

    3. ท่านเข้าใจ ”รักมาก อภัยมาก” อย่างไร ?

    4.ท่านเข้าใจเรื่อง “การกลับใจ” อย่างไร ?

1. ยากที่จะกลับใจโดยแท้จริง

             ทุกวันนี้คนบาปพยายามขับไล่ความทรงจำ และ การระลึกถึงความตายออกไปทั้งนี้โดยหมายจะหาความสุข (ซึ่งที่แท้เขาไม่มีวันจะพบ) จากการดำรงชีพอยู่ในบาป แต่ ! เมื่อความโกลาหลแห่งความตายกระชั้นเข้ามา เมื่อเขาเข้าใกล้เวลาจะไปสู่นิรันดรภาพ เขาก็จะหนีความทุกข์ทรมานอันเนื่องมาแต่มโนธรรมตำหนิหาไม่ได้เลย เขาจะแสวงหาความสุข แต่จะไม่พบ ท่านปรอแฟตากล่าวไว้ว่า “เมื่อความกระวนกระวายมาถึงเขาจะหาสันติภาพ แต่จะไม่มี” (อสค. 7, 25) อันที่จริง วิญญาณจะมีความสุขได้อย่างไร เมื่อมองเห็นตนเต็มแปล้ไปด้วยบาปคล้ายกับถูกอสรพิษกำลังขบกัด? จะมีความสุขได้อย่างไร เมื่อมองเห็นว่าอีกไม่กี่นาที ตนจะต้องไปปรากฏตัวอยูเฉพาะพระพักตร์ ของพระเยซูคริสต์เจ้าพระตุลาการ ผู้ที่ตนได้ดูหมิ่นพระบัญญัติ และมิตรภาพของพระองค์เรื่อยมา? “ความวุ่นวายจะทับถมความวุ่นวายยิ่งขึ้นอีก” (อสค. 7, 26) ครั้นได้ยินว่าตนกำลังจะตาย ความคิดถึงการที่ตนจะต้องพรากจากทุกสิ่งของโลกนี้ ความกลัดกลุ้มในมโนธรรม เวลาที่ได้เสียไปเปล่า ไม่มีเวลาต่อไปแล้ว ความเข้มงวดในการพิพากษาของพระเป็นเจ้า นิรันดรภาพแห่งความทุกข์ทรมาน อันจะเป็นโชคของคนบาป ความคิดต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ จะประดังกันมา ราวกับพายุร้ายล้วนแล้วแต่จะทำให้สติของเขาวุ่นวายไป และเพิ่มความเสียใจเท่านั้น คนบาปผู้ใหก้จะตาย จะข้ามไปสู่ชีวิตหน้า ขณะกำลังวุ่นวายและเสียใจเท่านั้น คนบาปผู้ใกล้จะตาย จะข้ามไปสู่ชีวิตหน้า ขณะกำลังวุ่นวายและเสียใจเท่านี้แหละ !

        อับราฮัมได้สร้างกุศลธรรมมาก เพราะได้วางใจในพระเป็นเจ้า ทั้ง ๆ ที่ตามประสามนุษยืไม่มีหวัง แต่ท่านก็ได้เชื่อในคำมั่นสัญญาของพระเป็นเจ้า (1) ตรงกันข้าม คนบาปสร้างอกุศลกรรมอันใหญ่ยิ่ง เขาได้ลวงตน จนเป็นภัยแก่ตนเพราะได้ไว้วางใจในทางที่ผิดทั้งต่อความไว้ใจ และความเชื่ออีกด้วย เขาได้ดูหมิ่นจนกระทั่งพระโอวาทที่พระเ)ป็นเจ้าทรงคำราม คนใจกระด้าง เขากลัวจะตายร้ายแต่ไม่กลัวการดำรงชีพอย่างชั่วร้าย ! ก็ใครจะประกันได้ว่า เขาจะไม่ตายปัจจุบันทันได เช่น ถูกฟ้าผ่า เป็นลมตาย? เอาเถอะ ! แม้ก่อนตาย เขาจะมีเวลาแก้บาปแต่ใครเล่าจะเป็นผู้ประกันว่า เขาได้กลับใจโดยแท้จริง? นักบุญ เอากุสติน ได้ต่อสู้กับความอ่อนแอของท่านถึง 12 ปี จึงได้ชัยชนะ แล้วคนไข้หนัก ซึ่งเคยมีมโนธรรมอันเปื้อนโสมมอยู่เสมอ จะกลับใจจริง ๆ ได้ง่าย ๆ หรือ ในขณะที่ตนกำลังเจ็บปวด กำลังมึนศีรษะ กำลังพะวักพะวนกับความตาย? ที่ข้าพเจ้าใช้คำว่ากลับใจจริง ก็เพราะว่า คำพูด คำสัญญา เท่านั้นไม่พอ ยังต้องเป็นคำพูด คำสัญญาที่จริงใจด้วย อา! เมื่อนั้น คนไข้ จะรู้สึกสะดุ้ง และกระวนกระวายเพียงไรหนอ? เขาไม่เคยเอาใจใส่ในเรื่องมโนธรรม  และมามองเห็นกองบาปกำลังทับถมตนอยู่เมื่อมารู้สึกกลัวคำพิพากษา กลัวนรก กลัวนิรันดรภาพ ! ความคิดเหล่านี้จะระดมกันมาทำให้เขาว่าวุ่น ทั้งๆ ที่ขณะนั้นหัวก็คิดอะไรไม่ค่อยออก สติก็ฟั่นเฟือน ตัวกำลังปวดร้าว เพราะความตายกำลังกระชั้นเข้ามา เขาจะแก้บาป เขาจะสัญญา เขาจะร้องไห้ เขาจะร้องขอพระกรุณา แต่ที่ทำนี้ก็ทำไปโดยไม่รู้ตัว ! ขณะกำลังกระวนกระวาย กำลังกลัดกลุ้มใจ กำลังหายใจฝืด กำลังตระหนกตกใจอยู่อย่างนี้แหละ เขาก็จะข้ามไปสู่ชีวิตหน้า (2) จริงตามที่นักประพันธ์ผู้หนึ่งกล่าวไว้ “คำวิงวอน น้ำตา และคำสัญญาของคนบาปผู้ใกล้จะตาย ก็เช่นเดียวกับ น้ำตาและคำมั่นสัญญาของคนที่ถูกศัตรูก็กระโจนเข้ามาเอามีดจ่ออก กำลังจะปลิดชีพของตนอยู่แล้วนั่นเอง ช่างน่าสมเพชจริง ๆ คนไข้ที่ล้มเจ็บ ในขณะไม่มีพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า และเข้าไปสู่นิรันดรภาพด้วยอาการดังนี้!

       ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        โอ้ บาดแผลของพระเยซู ท่านเป็นที่พึ่งและปกป้องข้าพเจ้า หากไม่เพ่งมองดูท่านแล้ว ข้าพเจ้าคงต้องหมดหวังจะได้รับอภัยบาป หมดหวังจะตัวรอดตลอดนิรันดร ท่านคือตาน้ำแห่งพระเมตตากรุณาและพระหรรษทานที่พระเป็นเจ้าทรงใช้หลั่งพระโลหิตทั้งสิ้นของพระองค์ เพื่อชำระล้างบาปทั้งสิ้นให้พ้นจากวิญญาณของข้าพเจ้า โอ้ บาดแผลอันศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้นมัสการท่าน ข้าพเจ้าวางใจในท่าน ข้าพเจ้าเกลียดชัง และสาปแช่งความสนุกความเพลิดเพลินบ้า ๆ บอ ๆ ที่ได้เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าทำขัดเคืองพระทัยขององค์พระมหาไถ่และทำให้สูญเสียมิตรภาพกับพระองค์ แต่เมื่อยกตาขึ้นมองดูท่าน ข้าพเจ้าก็รู้สึกโล่งใจในทันที และรู้สึกรักท่าน ข้าแต่พระเยซูสุดเสน่หาสมแล้วที่มนุษทุกคนจะรักพระองค์ ด้วยสิ้นสุดดวงใจของตน แต่ข้าพเจ้ากลับได้ทำไห้เคืองพระทัย และได้ดูหมิ่นความรักของพระองค์มากมายนัก ถึงกระนั้น พระองค์ยังได้ทรงเพียรทนต่อข้าพเจ้า มิหนำซ้ำยังแสดงพระทัยดี เรียกร้องให้ข้าพเจ้าเข้ามารับอภัยโทษ ! โอ้ ! พระมหาไถ่เจ้าข้า ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทำเคืองพระทียอีก ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าพินาศไปเลย โอ้ ! แต่ บัดนี้ ข้าพเจ้ารักพระองค์ และใคร่จะรักพระองค์เสมอเป็นนิตย์ โปรดให้ข้าพเจ้าดำรงอยู่ในความดี โปรดตัดใจข้าพเจ้าให้ให้ขาดจากความรักใด ๆ ทั้งสิ้น ที่ไม่ใช่เพื่อพระองค์ โอ้ องค์คุณงามควมดีที่ล้นพ้น โปรดฝังความประสงค์อันแท้จริง และความตั้งใจแน่วแน่จะรักพระองค์แต่ผู้เดียวให้ปักแน่นอยู่ในดวงใจของข้าพเจ้า แต่บัดนี้ต่อไปจนสิ้นชีวิตเถิดพระเจ้าข้า

        โอ้ พระแม่มารีอา โปรดฉุดข้าพเจ้าหาพระเป็นเจ้า และมอบตัวข้าพเจ้าทั้งหมดให้เป็นของของพระองค์ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะจากโลกนี้ไปด้วย


 

2. ความหนักใจของคนบาป เมื่อใกล้จะตาย

        ความหนักใจของคนบาปเมื่อใหล้จะตายนั้น ใช่ว่ามีแต่เพียงอย่างเดียวแต่มีมากมายนัก

         ด้านหนึ่งเขาจะถูกปีศาจเคี่ยวเย็ญ ในเวลาที่เขาใกล้จะตาย ศัตรูร้ายกาจจำพวกนี้จะหักโหมออกแรงอย่างเต็มความสามารถ เพื่อจะทำให้วิญญาณที่จวนเจียนจะถูกปลิดออกจากชีวิตนี้พินาศไป มันเข้าใจดีว่า ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยที่จะต้องมัดเขาให้อยู่มือ เพราะถ้าเสียทีในคราวนี้ ก็เป็นอันเสียทีอย่างเด็ดขาดเมื่อนั้นปีศาจมิใช่แต่หนึ่งตน แต่มากมายหลายตนจนนับไม่ถ้วน จะพากันยกโขยงมาเฝ้าล่อลวงคนไข้ ต้องการให้เขาพินาศ (3)ตนหนึ่งปลอบว่า : อย่าตกใจคงจะหายน่ะ อีกตนหนึ่งจะทักว่า: เอ๊ะ! อย่างไรกัน ท่านเคยทำหูทวนลม ไม่ฟังเสียงพระตั้งหลายปีมาแล้ว เดี๋ยวนี้พระจะกรุณาต่อท่านหรือ? ตนหนึ่งแทรกว่า: เดี๋ยวนี้ท่านจะทำอย่างไร เพื่อจะแก้ไขความเสียหายที่ท่านได้ทำลายชื่อเสียงของเข? อีกตนหนึ่งตะคอกว่า: ดูซิ ทุกครั้งที่ท่านไปแก้บาปก็ไม่ได้มีความทุกข์ถึงบาปอย่างแท้จริง แล้วเดี๋ยวนี้ จะไปแก้บาปอีก แน่ใจแล้วหรือ?

        อีกด้านหนึ่ง คนไข้จะเห็นบาปของตนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ นักบุญเบอร์นาร์ด กล่าวว่า บาปแต่ละบาป เป็นเหมือนตำรวจแต่ละนาย ที่พากันมาจับเขาไว้แน่น บอกว่า “พวกเราคือ ลูกหลานของท่าน จะไม่ยอมทิ้งท่าน” (4) เราจะตามท่านไปยังชีวิตหน้า เราจะไปหาพระตุลาการผู้สถิตอยู่ตลอดนิรันดร พร้อมด้วยกันกับท่าน! เมื่อนั้น คนไข้จะพยายามไล่ศัตรูที่มากวนใจเหล่านี้ไปให้พ้นแต่จะพ้นได้ ก็โดยต้องเกลียดชังมัน และกลับใจมาหาพระเป็นเจ้าด้วยจริงใจ แต่อนิจจา ! ขณะนั้น สติของเขากำลังสับสน ใจก็แข็งกระด้าง “คนใจกระด้าง จะลงปลายร้าย และใครชอบเสี่ยงภัย คนนั้นจะพินาศไปในภัย” (บสร. 3, 27) นักบุญเบอร์นาร์ด กล่าวว่า คนที่ใจกระด้างหมกมุ่นอยู่ในความชั่วเมื่อสบายดี ครั้นเมื่อใกล้จะตาย เขาจะพยายามแหวกว่ายให้พ้นจากความพินาศ แต่จะทำไม่ไหว ทั้งนี้เพราะจะถูกความชั่วทับถมให้จมอยู่ในฐานะเดิม และจะสิ้นชีพไปด้วยประการฉะนี้เหตุว่าจนถึงบัดนี้เขาได้ชอบบาป และเพราะชอบบาป เขาจึงชอบเสี่ยงภัยในความพินาศ ฉะนั้นจึงเหมาะสมแล้ว ที่พระสวามีเจ้าจะทรงปล่อยให้เขาพินาศไปในภัยที่เขาเองได้พอใจอยู่จนวันตาย นักบุญ เอากุสติน เสริมว่า “ผู้ที่ถูกบาปละทิ้งก่อนที่ตัวเขาเองจะละทิ้งบาป ยากนักที่เขาจะเกลียดชังบาปเท่าที่ควร เมื่อคราวจะตาย เพราะว่าสิ่งที่เขาทำนั้น จะกระทำด้วยจำใจ” (5)

        น่าสังเวชจริง ๆ คนบาปใจกระด้าง ที่ต่อสู้กับพระโอวาทของพระเป็นเจ้า ! เขาใจดำ ไม่ยอมอ่อนน้อม ไม่ยอมฟังพระสุรเสียง กลับใจกระด้าง ใจแข็งกว่าทั่งที่ใช้ตีเหล็กเสียอีก (โยบ. 41, 15) อาญาโทษต่อความผิดอันนี้คือเขาจะคงอยู่ในฐานะอันนั้น แม้ขอณเมื่อจะตาย เมื่อจะเข้าสู่นิรันดรภาพ ! “คนใจกระด้างจะลงปลายร้าย” (บสร. 3, 27) พระสวามีเจ้าตรัสว่า “พวกคนบาปหันหลังแก่เราแล้วหันไปรักสัตว์โลก พวกเคราะห์ร้ายเหล่านี้ เมื่อถึงคราวตายจะวิ่งกลับมาหาพระเป็นเจ้า แต่พระองค์จะตรัสตอบว่า: เอ้า! เดี๋ยวนี้กลับมาแล้วหรือ? เชิญไปเรียกพวกสัตว์โลกมาช่วยเจ้าซิ เขาเป็นพระเจ้าของเจ้าอย่างไรเล่า? (ยรม. 2, 27) ที่พระสวามีจะตรัสดังนี้ ก็เพราะที่เขาวิ่งมาหาพระองค์นั้นเขาไม่วิ่งกลับมาด้วยจริงใจนั่นเอง นักบุญฮีเอโรนีโมจึงว่า: ข้าพเจ้ายึดถือและรู้แน่ อาศัยการประสบการณ์ว่า ผู้ใดดำรงชีพอย่างไม่ดีจนถึงปลาย ผู้นั้นไม่มีวันจะลงปลายได้ด้วยดี” (6)

          ข้อเตือนใจและคำภาวนา

       ข้าแต่พระมหาไถ่สุดเสน่หา โปรดอย่าทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ามองเห็นแล้วว่าวิญญาณของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยบาดแผลแห่งบาป ราคตัณหาฉุดคร่าพาข้าพเจ้าไป ความเคยชินในความชั่วกดขี่ข้าพเจ้า จึงขอทอดตัวลงแทบพระบาท ทรงพระเมตตาเถิด กรุณาช่วยข้าพเจาให้พ้นจากภัยอันน่ากลัวเหล่านี้เถิด พระเจ้าข้า “พระสวามีเจ้าข้า ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ที่พึ่งที่หวังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ต้องอับอายเป็นอันขาด” (สดด. 30, 2) “ขออย่าทรงปล่อยให้วิญญาณผู้ไว้ใจในพระองค์ ต้องพินาศไปเลย” (สดด. 73, 19) ข้าแต่พระองค์ผู้พระทัยดีข้าพเจ้าเป็นทุกข์ตรอมใจเพราะได้ทำเคืองพระทัย ข้าพเจ้ายอมรับว่าได้ทำผิดไปแล้ว และตั้งใจดัดแปลงกิริยา แต่หากพระองค์ไม่ทรงประทานพระหรรษทานช่วย ข้าพเจ้าก็จะต้องพบกับความพินาศแน่แท้ พระเยซูเจ้าข้าโปรดทรงพระกรุณารับกบฎ ผู้ได้ทรยศต่อพระองค์ผู้นี้เถิด ของทรงคิดเสียว่าพระองค์ได้ทรงไถ่ข้าพเจ้าด้วยพระโลหิต และพระชนม์ชีพของพระองค์เอง โปรดเห็นแก่พระบารมีแห่งพระมหาทรมาน และการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ทรงกรุณารับข้าพเจ้าไว้ในอ้อมพระหัตถ์ และโปรดประทานให้ข้าพเจ้าดำรงอยู่ในความดี เมื่อข้าพเจ้ากำลังจะพินาศอยู่แล้ว พระองค์ยังได้ทรงเรียกข้าพเจ้ากลับมา บัดนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ยอมขัดขืนอีกต่อไป ขอมอบตัวข้าพเจ้าแด่พระองค์ โปรดล่ามข้าพเจ้าไว้กับความรักของพระองค์ อย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าต้องพินาศไป โดยสูญเสียพระหรรษทานของพระองค์อีกเลย พระเยซูเจ้าข้า ขออย่าทรงปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเลย พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระนางมารีอา พระบรมราชินีของข้าพเจ้า ขออย่าทรงปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเลย โปรดให้ข้าพเจ้าตายเสียเถิด ตายเสียสักพันครั้ง ยังดีกว่าจะเสียพระหรรษทานแห่งพระปิยบุตรของท่าน


 

3. ใครมีเวลา จงอย่าคอย

        สำคัญมากนะ ที่พระเป็นเจ้าทรงขู่บ่อย ๆ ว่า : จะให้คนบาปตายร้าย “เมื่อนั้น เขาจะเรียกหาเรา แต่เราจะไม่ขาน” (สภษ. 1, 28) พระเป็นเจ้าจะทรงฟังเสียงเขาตกทุกข์ได้ยากกระนั้นหรือ? (โยบ. 27, 9) หามิได้ “เราจะหัวเราะความฉิบหายของเขา เราจะเยาะเอา” (สภษ. 1, 26) การหัวเราะของพระเป็นเจ้า คือ การไม่ทรงพระกรุณานั่นเอง (7)“การแก้แค้นเอาไว้เป็นธุระเราเอง เราจะสนองตามความยุติธรรมเมื่อถึงเวลา คราวเมื่อเท้าของเขาจะเซซวน” (ฉธบ. 32, 35)

        พระเป็นเจ้าได้ทรงประกาศไว้ดังนี้ ในพระคัมภีร์ตอนอื่น ๆ อีกมากมายถึงกระนั้นคนบาปก็ยังกินอยู่อย่างสุขสบาย คล้ายกับมั่นใจว่า พระเป็นเจ้าได้ทรงสัญญากับเขาอย่างจริงจังว่า เมื่อเขาจะตาย พระองค์จะทรงอภัยบาป และให้เขาไปสวรรค์ จริงอยู่ หากคนบาปกลับใจ ไม่ว่าเป็นเวลาใด พระเป็นเจ้าก็ทรงสัญญาว่าจะอภัยบาปให้ทั้งนั้น แต่ที่สำคัญพระเป็นเจ้ามิได้ทรงสัญญาว่า คนบาปจะกลับใจเมื่อตาย ตรงข้ามพระองค์กลับทรงยืนยันเป็นหลายครั้งหลายคราวว่า “ใครเจริญอยู่ในบาป ก็จะตายในบาป” (โยบ. 8, 21-24) พระองค์ยังตรัสว่าแสวงหาพระเป็นเจ้า ในคราวที่จะไม่พบเรา” (ยน.7, 34) ฉะนั้นชาวเราจึงต้องแสวงหาพระเป็นเจ้า ในคราวที่จะสามารถพบพระองค์ได้ (อสย. 55, 6) แน่ละ! เพราะจะมีเวลาหนึ่งที่จะพบพระองค์ไม่ได้! น่าสงสารคนบาป น่าสงสารคนคนตาบอดที่ต้องการจะกลับใจขณะเมื่อจะตาย เพราะว่าเวลานั้นไม่ใช่เวลาสำหรับจะกลับใจ! ท่านโอเลอาสโตร กล่าวว่า “พวกคนอธรรม ไม่รู้จักสร้างความดีแต่เมื่อไม่มีเวลากลับอยากสร้าง” (8) เป็นความจริง พระเป็นเจ้าทรงประสงค์ให้ทุกคนเอตัวรอด แต่พระองค์ก็ทรงลงพระอาชญาแก่คนใจกระด้างด้วย

        สมมุติว่า ผู้เคราะห็ร้ายคนหนึ่งกำลังอยู่ในบาป และเผอิญมีอันเป็นไปโดยเป็นลมไม่รู้ตัว ผู้พบเห็นต่างรู้สึกเวทนา ที่เขาตายไปโดยมิได้รับศีลรับพร และมิได้แสดงให้ปรากฏว่าสำนึกตนกลับใจ ทีนี้สมมุติว่า เขาฟื้นขึ้น ขอแก้บาปแสดงความทุกข์ออกมาภายนอก ทุก ๆ คนก็ต่างโล่งใจ มันไม่ใช่เป็นความบ้าหรอกหรือ เมื่อเรามีเวลาจัดมโนธรรมให้เรียบร้อย แต่ก็ปล่อยให้ตัวตกอยู่ในสภาพบาปต่อไป มิหนำซ้ำยังเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งไม่ใช่อื่นไกล คือ การตั้งตนอยู่ในภัยอันตราย โดยที่บางทีก็จะได้แก้บาปก่อน บางทีก็ไม่ได้? ใคร ๆ ต่างรู้สึกสะดุ้งกลัว เมื่อเห็นคนตายปัจจุบัน แต่มีคนเป็นจำนวนมากที่จงใจประพฤติตัวให้อยู่ในภัยจะตายอย่างปัจจุบันและตายไปในบาป !

        “พระสวามีเจ้าทรงชั่งทุกสิ่ง ด้วยตราชูอันเที่ยงตรง” (สภษ. 16, 17) คนเราไม่สู้จะคิดถึงพระหรรษทานที่พระสวามีเจ้าทรงประทานให้ แต่พระสวามีเจ้าผู้ทรงเป็นผู้ชั่ง พระองค์ทรงคิดถึงเรื่องนี้ และเมื่อทรงเห็นว่า เราประมาทพระคุณของพระองค์จนถึงขีดกำหนด เมื่อนั้นแหละ จะทรงปล่อยให้เราอยู่ในบาป และให้ตายไปดังนั้น

        กรรมของผู้ที่ต้องการกลับใจเมื่อจะตาย ! นักบุญ เอากุสตินกล่าวว่า “การกลับใจและแก้บาป ที่คนไข้ร้องขอ มันก็คือการกลับใจชนิดเป็นไข้นั่นเอง” (9)นักบุญฮีเอโรนีโมเสริมว่า “ในคนบาปแสนคนที่ดื้ออยู่ในบาปจนถึงเวลาตายแทบไม่มีสักคน เอาตัวรอด” (10) และนักบุญ วินแชนซีโอ แฟร์เรารีกล่าวต่อว่า “การที่คนบาปคนหนึ่ง ในจำพวกดังกล่าว เอาตัวรอดได้ นับว่าเป็นอัศจรรย์ใหญ่กว่าการปลุกคนตายให้กลับคืนชีพเสียอีก” (11)

        ผู้จดจ่ออยู่ในบาปจนถึงเวลาตายจะเป็นทุกข์ จะเสียใจในเวลานั้นได้อย่างไร? ท่านแบลลาร์มีโน (*) เล่าว่า ท่านได้ไปที่บ้านที่คนไข้ และเตือนให้เขาสวดบทแสดงความทุกข์ เขาตอบว่า เขาไม่รู้ว่าความทุกข์คืออะไร ท่านก็พยายามอธิบาย แต่คนไข้ก็ว่า “คุณพ่อ ผมไม่เข้าใจ ผมทำดังนั้นไม่เป็น” พูดแล้วก็ตายไปดังนี้ “มันเป็นเครื่องชี้แสดงว่า เขาไปนรก” เรื่องที่เล่านี้ ท่านแบลลาร์มีโนเองเป็นผู้บันทึกไว้ นักบุญเอากุสติน กล่าวว่า “เป็นอาชญาโทษที่ยุติธรรมสำหรับคนบาปแล้ว ให้เขาลืมตัวเอง ขณะตาย เพราะเขาได้ลืมพระเป็นเจ้าขณะมีชีวิตอยู่”

        นักบุญเปาโล เตือนใจเราว่า “ท่านอย่าหลง จะล้อพระเป็นเจ้าเล่นไม่ได้คนเราหว่านอะไร ก็จะเก็บเกี่ยวผลอันนั้น ฉะนั้น ใครหว่านในเนื้อหนัง ก็จะเก็บเกี่ยวความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนัง” (กท. 6, 7-8) มันเป็นการเย้ยพระเป็นเจ้าเล่นที่จะดำรงชีพ หมิ่นประมาทพระบัญญัติของพระองค์ แล้วคอยรับรางวัล รับเกียรติมงคลตลอดนิรันดร แต่ ระวัง! “จะล้อพระเป็นเจ้าเล่นไม่ได้” ท่านหว่านอะไรในชีวิตนี้ ท่านจะได้รับผลอันนั้น ในชีวิตหน้า ใครหว่านความสนุกสนาน ทางเนื้อหนังที่ต้องห้าม คนนั้นก็จะเก็บผลแต่ความเปื่อยเน่า ความทุพพลภาพความตายชั่วนิรันดร

        คริสตชนที่รัก ที่พูดมาสำหรับผู้อื่น ก็พูดไว้สำหรับท่านด้วย ไหน ! ท่านลองบอกทีว่า หากท่านจะตายในขณะนี้ สมมุติว่าหมอทิ้งท่านแล้ว ท่านไม่รู้ตัวแล้วท่านกำลังเจ้าตรีทูต ท่านจะทำอะไร ท่านจะอ้อนวอนเล่า ขอพระเป็นเจ้าโปรดต่ออายุของท่านอีกหนึ่งเดือน อีกหนึ่งสัปดาห์ จะได้จัดมโนธรรมให้เรียบร้อย ใช่ไหม? ก็ในบัดนี้ พระเป็นเจ้ายังทรงประทานเวลานั้นแก่ท่านอยู่จงขอบพระคุณพระเจ้าเถิด แล้วให้เร่งแก้ไขความผิดที่ได้ประกอบขึ้น จงใช้วิธีการทุกอย่างทุกประการ ที่จะทำให้ท่านดำรงอยู่ในพระหรรษทานเมื่อเวลาจะตายเถิด เพราะว่า เมื่อนั้น จะไม่มีเวลาแก้ไขได้อีกต่อไปแล้ว!

        ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        อา ! พระเป็นเจ้า ใครเล่าได้เพียรทนข้าพเจ้าเท่าเสมอพระองค์ ! หากพระทัยดีของพระองค์จะมีขอบเขตแล้ว บัดนี้ ข้าพเจ้าจะต้องเสียใจ หมดหวังที่จะได้รับอภัยบาปเป็นแน่แท้ เดชะบุญ เป็นพระองค์ พระเป็นเจ้าผู้ยอมตายเพื่อยกบาปและช่วยให้ข้าพเจ้ารอด พระองค์ทรงสั่งให้ข้าพเจ้าวางใจหรือ? ข้าพเจ้าก็วางใจ แม้บาปจะทำให้ข้าพเจ้าหวาดหวั่นและตำหนิติโทษข้าพเจ้า แต่ก็พระทัยดีและคำมั่นสัญญาของพระองค์ มีฤทธิ์ กระตุ้นเตือนให้ข้าพเจ้าวางใจ พระองค์ทรงสัญญาจะประทานพระหรรษทานแก่ผู้ที่กลับใจมาหาพระองค์ว่า “จงกลับใจและมีชีวิตเถิด” (อสค. 18, 32) พระองค์ทรงสัญญาจะสวมกอดผู้กลับมาหาพระองค์ว่า “จงหันมาหาเราและเราจะหันไปหาท่าน” (ศคย. 1, 3) พระองค์ยังได้ตรัสว่าพระองค์ไม่ทรงรู้จักดูแคลนดวงใจที่ตรมตรอม และถ่อมตน (สดด. 50, 19) ฉะนั้น พระสวามีเจ้าข้า ข้าพเจ้าจึงกลับมาหาพระองค์ ข้าพเจ้าจึงหันมาหาพระองค์ขอสารภาพว่า ข้าพเจ้าสมจะไปนรกตั้งพันครั้งมาแล้ว แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ตรอมใจเพราะได้ทำบาปให้เคืองพระทัย ขอตั้งสัตย์ปฏิญญาว่า ต่อไปจะไม่ทำดังนี้อีก แต่จะรักพระองค์เสมอไป อา! ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทำใจดำต่อพระองค์อีกเลย พระเจ้าข้า ข้าแต่พระบิดาผู้สถิตสถาพรตลอดนิรันดร โปรดเห็นแก่พระบารมีคววามนอบน้อมของพระเยซูคริสต์ผู้ได้ทรงนอบน้อมจนสิ้นพระชนม์และโปรดให้ข้าพเจ้ารู้จักนอบน้อมต่อพระองค์ในทุกสิ่งทุกอย่าง ขอประทานความก้าวน้าในความดี และความรักต่อพระองค์เถิด นอกนั้นข้าพเจ้าไม่ขออะไรอีกแล้ว พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระแม่มารีย์ โปรดเหนอวิญญาณเพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด


 

(1) Contra spem in spem credidit. (Rom. 4, 18).
(2) Turbabuntur populi, et pirtransibunt (Job 34, 20)
(3) Replebuntur domus eorum draconibus (Is. 13, 21).
(4) Opera tua sumus, non te deserimus.
(5) Qui prius a peccato relinquitir quam ipse relinquat; non libere, sed a nessessitate condemnat.
(6) Hoc teneo, hoc multiplici experiential didici, quod ei non bonus est finis, cui mala simper vita fuit, cui  
    mala simper vita fuit. (In Epist Eusebii ad Dam.).
(7) Ridere Dei est nolle misereri. (S. Greg.).
(8) Impii nusquam didicerunt beneficare, nisi cum non sit temps bene facendi.
(9) Poenitentia, quae ab infirmo petitur, infirma est (Serm. 255 E.B.).
(10) Vix de centum millibus, quorum mala vita fuit, meretur in morte a Deo indulgentiam unus. (S. Hier in epist. Euseb. de morte ejusd.).
(11) Majus miraculum est, quod male viventes faciant bonum finem, quam suscitare mortuos.
(*) ท่าน แบลลาร์มีโน ถูกสถาปนาเป็นนักบุญ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 1930.
(**) เมื่อว่า “ท่านอัครสาวก” เฉย ๆ หมายถึงนักบุญเปาโลเสมอ.

 

 

พระเยซูคงจะได้ใช้ข้อความหลายตอนจากหนังสือประกาศกอิสยาห์  เพื่ออธิบายภารกิจแห่งการปลดปล่อยที่ตนกําลังทําเพื่อคนจนและคนถูกกดขี่ (ลก.๔,๑๖-๒๑;๗,๒๒;มธ.๑๐,๗-๘) แหล่งข้อมูลของลูกา มีการพูดถึงพระเยซูอ่านหนังสือประกาศกอิสยาห์ในศาลาธรรม ลูกาหยิบเรื่องนี้ขึ้นมา จัดข้อความจากประกาศกอิสยาห์ ตอนที่อธิบายงานของพระเยซูได้ดีที่สุดใส่เข้าไป แล้วเอาเรื่องนี้ไว้ในตอนแรกเริ่มภารกิจ เป็นเหมือนตั้งโครงการสําหรับงานที่พระเยซูกําลังจะทํา (ลก.๔,๑๖-๒๑) สมมุติว่าพระเยซูไม่ได้ลุกขึ้นอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้จริงก็ไม่เป็นปัญหาสําหรับลูกา ที่สําคัญคือลูกาเห็นความสําคัญของข้อความเหล่านี้ ซึ่งจะนําเราให้เข้าใจงานของพระเยซูได้อย่างแท้จริง

1.โครงสร้างการปลดปล่อยของพระเยซู

ข้อความจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ ที่เราต้องสนใจมี ๓ ตอน

          ในวันนั้น คนหูหนวก จะได้ยินถ้อยคําจากหนังสือ

          เงาและความมืดจะผ่านพ้นไป แล้ว คนตาบอด ก็จะมองเห็น

          คนตํ่าต้อย จะมีความชื่นชมในพระเจ้ามากขึ้น

          และ คนจนที่สุด จะเริงร่าในพระผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอิสราเอล (๒๙,๑๘- ๑๙)

          เวลานั้น ตาของ คนตาบอด จะเปิดกว้าง

          หูของ คนหูหนวก จะเปิดออก

          คนง่อย จะกระโดดเหมือนกวาง

          ลิ้นของ คนใบ้ จะร้องเพลงด้วยความยินดี  (๓๕,๕-๖)

          ข้าพเจ้าได้รับจิตของพระเจ้า

          เหตุว่าพระองค์ได้เจิมข้าพเจ้า

          พระองค์ส่งข้าพเจ้าให้นําข่าวดีไปสู่ คนจน

          ให้ไปรักษาใจของ คนระทมทุกข์

          ให้ไปประกาศอิสรภาพแก่ ผู้ถูกจองจํา

          ประกาศเสรีภาพแก่ ผู้อยู่ในคุก

          ให้ไปประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า  (๖๑,๑-๒)

2. การประกาศข่าวดี

          คนหูหนวก คนใบ้ คนตาบอด คนง่อย คนจน คนระทมทุกข์ คนถูกจองจํา คําเหล่านี้เป็นคําต่างๆ ที่ใช้เรียกคนจนและคนถูกกดขี่ และคํากริยาในแต่ละประโยคข้างต้นนี้ ก็เป็นคําต่างๆที่ใช้เรียกการกระทําที่พระเจ้าสัญญาว่าจะกระทําต่อคนจนและคนถูกกดขี่กล่าวคือคําว่า กลับได้ยิน กลับมองเห็น รักษาให้หาย นําความยินดี ประกาศอิสรภาพ นําข่าวดี เป็นคําต่างๆที่แสดงถึง การปลดปล่อย หรือช่วยให้รอดพ้น คําที่น่าสังเกตมากเป็นพิเศษคือ การประกาศหรือนําข่าวดี เป็นการปลดปล่อยหรือช่วยให้รอดในรูปแบบหนึ่ง การเทศน์สอนเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการปลดปล่อยที่พระเยซูกระทํา  การประกาศพระวรสารให้แก่คนจน หมายถึงการใช้คําพูดเพื่อช่วยพวกเขาให้รอดพ้น

          คําว่า "ข่าวดี" หมายถึงเนื้อหา หรือสารที่พระเยซูประกาศให้แก่คนจนและคนถูกกดขี่ "ข่าว" ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หรือที่เราแน่ใจว่ากําลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ถ้าเป็น "ข่าวดี" ก็หมายความว่าข่าวนั้นนําความหวังมาให้ ทําให้เรามีกําลังใจ และโดยทั่วไปทําให้คนมีความสุข ฉะนั้นข่าวดีสําหรับคนจนก็หมายความว่าข่าวนั้นนําความหวังและกําลังใจมาให้คนจน

          พระเยซูประกาศเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันจะนําความยินดีมาสู่คนจน อาณาจักรพระเจ้าจะมาถึงคนจนและคนถูกกดขี่ คําประกาศหลัก รวมอยู่ในข้อความตอนที่เรามักเรียกว่า "บุญลาภ"

          เป็นบุญของคนจน

          เพราะอาณาจักรพระเจ้าเป็นของท่าน

          เป็นบุญของท่านที่หิวโหยในเวลานี้

          เพราะท่านจะได้อิ่มหนํา

          เป็นบุญของท่านที่กําลังร้องไห้

          เพราะท่านจะได้หัวเราะ  (ลก.๖,๒๐-๒๑)

          ลูกาได้รักษาคําประกาศดังกล่าวในสภาพที่เหมือนเดิมมากกว่าผู้เขียนพระวรสารอื่นๆ เพราะมันเป็นคําพูดที่พระเยซูพูดกับคนที่อยู่รอบข้าง...พวกท่านคนจน คนหิวโหยและน่าสงสาร มัทธิวได้ดัดแปลงคําประกาศนี้ให้เหมาะกับกลุ่มผู้อ่าน ที่ไม่ใช่คนจนหรือน่าสงสารอะไร มัทธิวจึงขยายข่าวดีให้ครอบคลุมไปถึงคนที่มีใจยากจนหรือร่วมใจกับคนจน ไปถึงคนที่หิวกระหายความชอบธรรม ไปถึงคนที่พยายามทําตัวสุภาพอ่อนน้อมเหมือนคนจน ไปถึงคนที่โศรกเศร้าเสียใจ และคนที่ถูกเบียดเบียนเพราะเป็นศิษย์พระเยซู มัทธิวได้เปลี่ยนคําประกาศให้กลายเป็นคําเร้าใจ (มธ.๕,๑-๑๒)

3. อาณาจักรพระเจ้า มิใช่หลังความตาย

          สิ่งต่างๆที่พระเยซูกระทํามีผลทําให้พวกคนจนกลับมีความหวังเกี่ยวกับอนาคต ส่วนคําประกาศที่พูดถึงข้างต้นนี้ก็มีผลต่อคนจนมากเช่นเดียวกัน เดิมทีเดียวความหวังที่ว่านี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับ "สวรรค์" ในความหมายที่เราใช้พูดถึงสถานที่แห่งความสุขหลังจากความตาย คําว่า "สวรรค์" ในสมัยพระเยซูเป็นอีกคําหนึ่งที่ใช้เรียกพระเจ้า เมื่อพูดว่า "อาณาจักรแห่งสวรรค์" ก็คือ"อาณาจักรแห่งพระเจ้า" ได้รางวัลในสวรรค์หรือมีสมบัติในสวรรค์ หมายความว่าเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า คําว่า "สวรรค์" ตามตัวอักษรในภาษายิวหมายความว่าท้องฟ้า และชาวยิวเข้าใจกันว่าท้องฟ้าเป็นที่อยู่ของพระเจ้าและจิตอื่นๆ ชาวยิวไม่เคยพูดว่า คนตายแล้วขึ้นไปสวรรค์ แต่เชื่อว่าทุกคนที่ตายแล้วต้องลงไปใน"เชโอล"(sheol) ซึ่งอาจจะแปลว่าใต้พิภพหรือหลุมฝังศพนั่นเอง แม้สําหรับผู้ที่เชื่อเรื่องการรับคุณรับโทษหลังจากความตายก่อนที่จะกลับเป็นขึ้นมา ก็เชื่อว่าทั้งการรับคุณและรับโทษก็เกิดขึ้นในใต้พิภพนี้เอง เพียงแต่เป็นอย่างละแผนกกัน คนดีไปอยู่ในอ้อมอกของท่านอับบราฮัมในใต้พิภพ ส่วนคนชั่วต้องไปอยู่อีกฟากหนึ่งในใต้พิภพที่ถูกแยกออกด้วยหุบเหวหรือความว่างเปล่า (ลก.๑๖,๒๓-๒๖) ความเชื่อของคริสตศาสนิกชนเกี่ยวกับสวรรค์ดังที่หลายคนเชื่ออยู่ในปัจจุบันนี้ เกิดขึ้นหลังจากความตายของพระเยซู โดยที่บรรดาศิษย์เชื่อว่าพระเยซูถูกยกขึ้นสวรรค์หรือได้รับยกย่องประทับอยู่เบื้องขวาพระเจ้า

          แต่ข่าวดีที่พระเยซูประกาศ ข่าวดีแห่งอาณาจักรพระเจ้า เป็นข่าวดีเกี่ยวกับอนาคตของชีวิตมนุษย์บนโลกเรานี้ เป็นข่าวดีที่ว่าคนจนจะไม่จน คนหิวโหยจะอิ่มหนํา และคนที่ถูกกดขี่จะไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป 

          ตลอดหลายศตวรรษในอดีต คริสตชนเข้าใจไม่ถูกเกี่ยวกับอาณาจักรพระเจ้า  เพราะมีการแปล  ลูกา ๑๗,๒๑  ผิดพลาด โดยแปลว่า "อาณาจักรพระเจ้าอยู่ในตัวท่าน"  ปัจจุบันนี้นักพระคัมภีร์เห็นพ้องกันว่า ที่ถูก ต้องแปลว่า "อาณาจักรพระเจ้าอยู่ท่ามกลางพวกท่าน" ประโยคนี้เป็นคําที่พระเยซูพูดตอบโต้กับพวกฟาริสี เมื่อพวกฟาริสีถามว่าอาณาจักรพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด ถ้าตอบว่า "อาณาจักรพระเจ้าอยู่ในตัวท่าน" ก็เท่ากับว่าพวกฟาริสียอมรับสิ่งที่พระเยซูกําลังประกาศอยู่ ซึ่งความจริงแล้วพวกฟาริสีไม่ยอมรับ

4. อาณาจักรพระเจ้า

          อาณาจักรพระเจ้าไม่ใช่อยู่ภายในตัวคน แต่คนมีชีวิตความเป็นอยู่ในอาณาจักรพระเจ้า พระเยซูมักจะวาดภาพพจน์อาณาจักรพระเจ้าเป็นสถานที่อะไรบางอย่างที่เข้าออกได้ (มก.๙,๔๗;๑๐,๑๕-๒๓-๒๕;มธ.๕,๒๐; ๗,๒๑; ๑๘,๓; ๒๑,๓๑; ๒๓,๑๓; ยน.๓,๕) กินอยู่ข้างในได้ (มก.๑๔,๒๕; มธ.๘,๑๑-๑๒;ลก.๒๒,๓๐) มีประตูเปิดปิดได้ (มธ.๗,๑๓-๑๔; ๗,๗-๘;๒๓, ๑๓; ๒๕,๑๐-๑๒; ลก.๑๓,๒๔-๒๕;๑๑,๕๒) คล้ายๆกับจะเปรียบเป็นบ้านหรือเมืองที่มีกําแพงล้อมรอบ

          เมื่อพูดถึงอาณาจักรแห่งมาร (ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอาณาจักรพระเจ้า) พระเยซูจะพูดเปรียบเป็นบ้านหรือเมืองอย่างชัดเจน "มารจะขับไล่มารได้อย่างไร ถ้าอาณาจักรใดแตกแยกกันเอง อาณาจักรนั้นจะตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าบ้านใดแตกแยกกันเอง บ้านนั้นก็จะพังลง" (มก.๓,๒๓-๒๕) "ไม่มีใครสามารถทะลวงเข้าไปในบ้านของผู้ที่แข็งแรงกว่าเพื่อจะปล้นเอาสิ่งของ..."(มก.๓,๒๗) "อาณาจักรใดที่แตกแยกกันก็จะถูกทอดทิ้งให้รกร้าง ไม่มีบ้านหรือเมืองใดที่แตกแยกแล้วจะคงอยู่ได้" (มธ.๑๒,๒๕)

          นอกนั้นยังมีความเกี่ยวพันกันระหว่างคําว่า "อาณาจักร" กับ "พระวิหาร" พระวิหารที่พระเยซูบอกว่าจะสร้างขึ้นภายใน ๓ วัน (แปลว่าเร็วๆนี้) ไม่ใช่พระวิหารที่สร้างด้วยมือมนุษย์ (มก.๑๔,๕๘) แต่มันคือกลุ่มชนใหม่ ตามม้วนคัมภีร์ที่พบที่กุมรัน กลุ่มชนแห่งกุมรันเรียกตนเองว่าเป็นพระวิหารใหม่ หรือบ้านใหม่ของพระเจ้า เช่นเดียวกัน เมื่อพูดว่าจะสร้างพระวิหารใหม่ พระเยซูหมายถึงจะสร้างกลุ่มชนใหม่

          การที่พระเยซูวาดภาพพจน์อาณาจักรพระเจ้าเป็นบ้าน เป็นเมืองหรือเป็นกลุ่มชน ทําให้เราเห็นชัดว่าสําหรับพระเยซู อาณาจักรพระเจ้าหมายถึงสังคมมนุษย์บนแผ่นดินโลกเรานี้ เป็นอาณาจักรหรือสังคมที่มีโครงสร้างทางการเมือง มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง "อาณาจักรของข้าพเจ้า ไม่ใช่เป็นของโลก" (ยน.๑๘,๓๖) ไม่ใช่หมายความว่าไม่อยู่ในโลกหรือไม่อยู่บนพื้นแผ่นดินนี้ เวลาพระวรสารโดยนักบุญยอห์นพูดถึงพระเยซูและศิษย์ว่า "อยู่ในโลกแต่ไม่เป็นของโลก" (ยน.๑๗,๑๑; ๑๗,๑๔-๑๖) ความหมายมันชัดเจน เราอยู่ในโลกแต่เราไม่ยึดมาตรฐานหรือค่านิยมของโลกมาเป็นหลักแห่งชีวิต ในเมื่อโลกยังถูกครอบงำด้วยอิทธิพลของมาร เมื่อพระเยซูพูดถึงอาณาจักรพระเจ้า ก็มีความหมายเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ค่านิยมและอุดมการณ์ของอาณาจักรพระเจ้าไม่เหมือนกับค่านิยมและอุดมการณ์ของอาณาจักรอื่นๆในโลก พระเยซูไม่ได้หมายความว่าอาณาจักรพระเจ้า  ลอยอยู่ในอากาศ หรืออยู่เหนือแผ่นดินนี้ แต่หมายถึงความจริงที่จับต้องได้ เป็นองค์กรที่มีโครงสร้างทางสังคม และทางการเมือง

5. อาณาจักรพระเจ้าต่างจากอาณาจักรมาร

           อาณาจักรของพระเจ้า ต้องเกี่ยวข้องกับการเมืองและสังคม แต่การเมืองและสังคมในอาณาจักรพระเจ้า  ไม่เหมือนกับการเมืองและสังคมในอาณาจักรของมนุษย์กลุ่มต่างๆ ไม่เหมือนกับการเมืองและสังคมในอาณาจักรของมาร

          พระเยซูเข้าใจว่า มารกําลังปกครองโลก และเรียกยุคนั้นว่า "ยุคชั่วช้าอธรรม" (มก.๘,๓๘;มธ.๑๙-๓๕;๒๓,๓๓-๓๖) เป็นยุคที่มารหรือความชั่วเป็นใหญ่ เห็นได้ชัดจากการที่คนจนและคนถูกกดขี่ต้องทนทุกข์ทรมานและอยู่ภายใต้อํานาจของจิตชั่ว เห็นได้ชัดจากความหน้าซื่อใจคด ความใจจืดใจดําของพวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสี เห็นได้ชัดจากความโลภและการเอารัดเอาเปรียบของพวกชนชั้นผู้นํา นี่เป็นความจริงที่ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในยุคของพระเยซูเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย นี่แหละอาณาจักรต่างๆของโลกซึ่งตกอยู่ในมือของมาร และมารก็ใช้มนุษย์บางคนเป็นเครื่องมือในการปกครอง และมนุษย์เหล่านี้ต้องกราบไหว้นอบน้อมต่อมัน (มธ.๔, ๘-๑๐) และต้องปกครองตามนโยบายชั่วร้ายของมัน มารเป็นจิตชั่วที่ปกครองโดยทางอ้อม ซีซาร์ เฮรอด ไกฟาส หัวหน้าสงฆ์ พวกผู้หลักผู้ใหญ่ คัมภีราจารย์และฟาริสี ต่างก็เป็นหุ่นเชิดของมารทั้งนั้น พระเยซูประนามโครงสร้างทางสังคมและการเมืองทั้งหมดในสมัยนั้น เพราะมันชั่วร้ายและอยู่ใต้อํานาจมารทั้งสิ้น

          เมื่ออาณาจักรพระเจ้ามาถึง  พระเจ้าจะเข้าแทนที่มาร  พระเจ้าจะเข้าปกครองมนุษยชาติ และจะประทานอํานาจปกครองให้แก่ผู้ที่จะรับใช้พระเจ้าและทําให้แผนการของพระเจ้าสําเร็จไปในสังคมมนุษย์ ความชั่วร้ายจะถูกกําจัดให้หมดไป และประชาชนจะมีจิตของพระเจ้าสิงสถิตอยู่ด้วย

          ฉะนั้น ความแตกต่างระหว่าง อาณาจักรของมนุษย์(หรือของมาร)  กับ อาณาจักรของพระเจ้า อยู่ตรงที่อย่างแรกคือ สังคมมนุษย์ที่มีความชั่วครอบคลุม และอย่างหลังคือ สังคมมนุษย์ที่มีความดีโอบอุ้ม (ไม่ใช่ว่าอย่างแรกอยู่ในโลกนี้ อย่างหลังอยู่ในโลกอื่น)

          ปัญหาอยู่ที่อํานาจและโครงสร้างอํานาจ  ในโลกเรานี้มีคนดีอยู่มากมาย แต่ความชั่วยังเหนืออยู่ มารยังกุมอํานาจไว้ในมือ พระเยซูมองกิจกรรมปลดปล่อยที่ตนกําลังทําอยู่นั้นว่า เป็นการช่วงชิงอํานาจกับมาร เป็นสงครามต่อสู้กับมารในทุกรูปแบบ การที่พระเยซูรักษาโรค เป็นเหมือนการเข้าปล้นบ้านเมืองของมาร (มก.๓,๒๗) ที่เป็นไปได้ก็เพราะมีอะไรบางอย่างที่แข็งแรงกว่ามาร นั่นคือความดีแข็งแรงกว่าความชั่ว พระเยซูมั่นใจว่าในที่สุดอาณาจักรพระเจ้าก็จะมีชัยชนะเหนืออาณาจักรมาร และอาณาจักรที่จะคงเหลืออยู่ในโลกก็คืออาณาจักรของพระเจ้าเท่านั้น

          แล้วความพินาศที่ยอห์นและพระเยซูพูดถึงเล่า ? พระเยซูคิดว่าอาณาจักรพระเจ้าจะมาถึงหลังจากความพินาศของชาติยิว หรือว่าแทนที่จะมีความพินาศ จะมีอาณาจักรพระเจ้าแทน

          ก่อนที่จะตอบคําถามนี้ได้ เราต้องเข้าใจเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้นก่อน ต้องเข้าใจว่าในทางปฏิบัติจริง ความดีและความชั่วหมายถึงอะไร เราต้องดูว่า พระเยซูคิดอย่างไรเกี่ยวกับโครงสร้างของความชั่วในสังคมมนุษย์ พระเยซูคิดว่า ค่านิยมหลักในอาณาจักรพระเจ้าเป็นอย่างไร ค่านิยมในอาณาจักรพระเจ้าต่างกับค่านิยมในอาณาจักรของมารอย่างไร

 

คำถาม

          1. ข่าวดีคืออะไร ?

          2. ท่านเข้าใจอาณาจักรพระเจ้าอย่างไร ?

          3. อาณาจักรพระเจ้าอยู่ที่ไหน ?

          4. จะรู้ได้อย่างไรว่า บ้านนี้ เมืองนี้ เป็นอาณาจักรพระเเจ้าหรือของมาร?

           

 

ความรู้สึกต่าง ๆ ของคนใกล้จะตาย
ซึ่งไม่เอาใจใส่ต่อวิญญาณและ
ไม่เคยจะคิดถึงความตาย 

 

 

1. วิประติสารของคนบาปเมื่อใกล้จะตาย

          สมมุติว่า ท่านกำลังอยู่ต่อหน้าคนไข้ ซึ่งจะมีชีวิตต่อไปอีกไม่กี่ชั่วโมงน่าสงสารจริง ๆ ! เขาปวดร้าวไปทุกขุมขน อ่อนเพลีย แน่นหน้าอก หายใจฝืด เหงื่อเย็นออก ไม่รู้ตัว หูตึงไม่ค่อยได้ยิน ไม่เข้าใจ พูดก็แทบไม่ออกแล้ว แต่ที่ทำให้เขาลำบากกว่าหมด คือ การที่จะต้องตายในไม่ช้า และแทนที่เขาจะคิดถึงวิญญาณของตน เตรียมบัญชีสำหรับนิรันดรภาพ เขากลับคิดถึงแต่หมอ และหยูกยาที่จะช่วยให้เขาหายป่วย หายความปวดร้าวอันกำลังจะคร่าชีวิตของเขาไปนั้น นักบุญ เลาแรนซีโอ ยูสตีนีอาโนกล่าวถึงคนไข้หนักเช่นนี้ว่า “เขาไม่ทำอะไร นอกแต่คิดถึงตัวเองเท่านั้น” (1)

        แม้พวกญาติมิตร ยังเตือนให้เขารู้ว่า ตนกำลังอยู่ในภัยอันตราย แต่ในพวกญาติมิตร ม่มีใครสักคนที่จะกล้าบอกตรง ๆ ว่า : เขากำลังจะตาย ไม่มีใครกล้าเตือนให้เขารับศีลรับพร เพราะต่างคนต่างกลัวจะทำให้คนไข้ตกอกตกใจ (ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สำหรับข้าพเจ้า ขอฉลองพระเดชพระคุณของพระองค์ ตั้งแต่บัดนี้ที่เมื่อข้าพเจ้าจะตาย พระองค์จะทรงโปรดให้พี่น้องที่รักในคณะของข้าพเจ้าอยู่เฝ้าพยาบาล เขาเหล่านี้ล้วนแต่หวังดีต่อข้าพเจ้า ปรารถนาให้ข้าพเจ้าได้เอาตัวรอดตลอดนิรันดร ปรารถนาให้ช้าพเจ้าได้ตายดีค พระเจ้าข้า)

        ระหว่างนั้น แม้ไม่มีใครบอกว่าคนไข้ใกล้าจะตาย แต่เมื่อตัวคนไข้เองแลเห็นคนในครอบครัวกำลังชุลมุน กระซิบกระซาบซักถามหมอเรื่อย ๆ เอาหยูกยาหลายต่อหลายขนานมาให้กิน  ให้กินบ่อย ทั้งเป็นยาแรง ๆ คนไข้ก็กระวนกระวายและตกประหม่า รู้สึกกลัว รู้สึกกลัดกลุ้มในมโนธรรม รู้สึกเสียใจจึงพูดว่า : อนิจจา! ใครจะไปรู้ จะถึงวาระสุดท้ายของฉันแล้วกระมัง? “จงจัดแจงข้าวของของเจ้าให้พร้อมไว้เพราะว่าเจ้าจะตาย จะไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป” (อสย. 38, 1)

        เขาจะรู้สึกสลดใจเพียงไร เมื่อจะได้ยินว่า อาการไข้ของเขาหมดหวังเสียแล้ว ต้องเตรียมตัวรับศีลรับพร ฝากตัวไว้กับพระเป็นเจ้า แล้วก็จะต้องลาโลก! ต้องลาโลก? มันหมายความว่าอะไร? หมายความว่า ต้องลาจากทุกสิ่งจากบ้านเรือน จากเรือกสวนไร่นา จากพ่อแม่ญาติพี่น้อง จากมิตรสหาย จากสมาคม จากการเล่นหย่อนใจ จากการเที่ยวเตร่หาความสำราญอย่างนั้นหรือ? ถูกแล้ว ต้องลาจากทุกสิ่งหมด เมื่อนั้นผู้เขียนพินัยกรรมจะมาบันทึกว่า “ข้าพเจ้ายก...ข้าพเจ้ายก...ให้...” ส่วนคนไข้เล่าจะเอาอะไรไปกับตัว? - จะเอาแต่ผ้าห่มเก่า ๆ ผืนหนึ่ง ซึ่งในไม่ช้าก็จะพลอยผุเปื่อยพร้อมกับตัวเองในหลุม!

        โอ! คนไข้จะรู้สึกโศกเศร้า และกระวนกระวายเพียงไรหนอ เมื่อจะแลเห็นคนในบ้านต่างร้องไห้ พวกเพื่อนฝูงพากันเงียบกริบ ไม่กล้าปริปากพูดต่อหน้าตน! แต่สิ่งที่ทำให้กลุ้มรำครญมากกว่าหมด ก็คือ ความวุ่นวายในมโนธรรมซึ่งเขาจะรู้สึกมากที่สุด ที่เขาได้ดำเนินชีวิตที่แล้วมาอย่างเหลวแหลกจนบัดนี้ ที่พระเป็นเจ้าได้ทรงเรียกเตือน และประทานความสว่างแก่เขามากต่อมาก ที่คุณพ่อวิญญาณก็ได้ว่ากล่าวหลายครั้งหลายหน และที่ตัวเขาเอง ก็ได้ตั้งใจว่าจะกลับใจหลายหน แต่แล้วมิได้ทำตามความตั้งใจ หรือได้ทำชั่วครู่ แล้วก็ละทิ้งไป! เมื่อนั้นเขาจะพูดว่า: ฉันช่างอาภัพจริง! ได้รับความสว่างจากเบื้องบนก็มาก เวลาที่จะจัดเตรียมมโนธรรมให้เรียบร้อง ก็มีมาก แต่ฉันมิได้ทำ และบัดนี้  ปลายชีวิตมาถึงเสียแล้ว! การหลีกเลี่ยงท่าทางบาป การปลีกตัวตัดขาดจากมิตรภาพการแก็บาปรับศีลทุก ๆ สัปดาห์ มันจะเสียเวลาหรือลำบากแค่ไหนเชียว? แม้จะยากเท่ายาก ฉันก็ควรจะต้องยอมทำทุกอย่าง ทั้งนี้เพื่อเห็นแก่ความรอดวิญญาณของฉัน ซึ่งเป็นของมีค่ากว่าอะไรทั้งหมด โอ้! น่าเสียดาย! หากฉันจะได้ประพฤติตามความตั้งใจอันดีนั้น ๆ  หากฉันได้ทำต่อมา ดังที่ได้เริ่มไว้ ป่านนี้ฉันคงจะรู้สึกพึงพอใจตนเองเป็นแน่! แต่ อนิจจา! ฉันไม่ได้ทำ และบัดนี้ก็ไม่มีเวลาจะทำเสียแล้ว!  ความรู้สึกต่าง ๆ ของผู้ใกล้จะตาย ซึ่งขณะสบายดี ได้ละเลยเรื่องมโนธรรมของตน จะคล้ายคลึงกับความรู้สึกของพวกนักโทษในนรก ซึ่งต่างเสียใจเพราะบาปของตน ในฐานะที่มันเป็นเหตุให้ตนต้องรับความทุกข์ทรมาน แต่ อนิจจา! มันไม่มีผล และไม่มีเวลาจะแก้ไขเสียแล้ว!

           ข้อเตือนใจและคำภาวนา

          พระสวามีเจ้าข้า หากในขณะนี้ มีใครมาแจ้งว่า ข้าพเจ้าจะตายอยู่แล้วข้าพเจ้าคงจะต้องมีความรู้สึกวุ่นวายใจมาก ขอขอบพระคุณที่พระองค์ประทานความสว่าง และประทานเวลาให้ข้าพเจ้าสำรวจดูเองได้ ไม่เอาแล้ว พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ยอมถอยหนีจากพระองค์ เท่าที่พระองค์ทรงตามหาข้าพเจ้า ก็มากพอดูอยู่แล้ว หากข้าพเจ้ายังดื้อไม่ยอมอ่อนน้อม ยังขืนสู้อยู่ต่อไป ก็น่ากลัวจริง ๆ ว่า พระองค์จะทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเสีย พระองค์ได้ทรงประทานดวงใจให้แก่ข้าพเจ้า ก็เพื่อใช้รักพระองค์ แต่ข้าพเจ้ากลับนมันไปใช้ในทางที่ผิด ไพล่ไปรักสัตว์โลก และมิได้รักพระองค์ พระผู้สร้าง และพระมหาไถ่ผู้ได้ทรงพลีพระชนม์ชีพเพื่อข้าพเจ้า! กี่ครั้งกี่หนแล้ว แทนที่จะรักพระองค์ ข้าพเจ้ากลับทำเจ็บช้ำน้ำพระทัย ดูหมิ่น และหันหลังให้พระองค์ ข้าพเจ้าทราบดีว่า บาป ทำให้พระองค์เจ็บช้ำน้ำพระทัย แต่ก็ยังไม่วายที่จะทำ พระเยซูเจ้าข้า ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เสียใจเป็นที่สุด ข้าพเจ้าประสงค์จะดัดแปลงกริยา ขอสละความสนุกเพลิดเพลินทั้งหลายของโลก และกลับมารักพระองค์ กลับมาทำความพึงพอใจแด่พระองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ได้ทรงพิสุจน์แล้วด้วนยหลักฐานแจ้งชัดและมากมายว่า ทรงรักข้าพเจ้า ฉะนั้น ก่อนที่จะตายขอโปรดให้ข้าพเจ้าพิสูจน์ว่า ข้าพเจ้าก็รักพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า แต่บัดนี้ไปข้าพเจ้าขอน้อมรับความเจ็บไข้ทุก ๆ ชนิด การถูกหมินประมาท ฯลฯ จากมนุษย์ทั้งมวล ขอประทานพรพละกำลังให้ข้าพเจ้าสามารถสู้ทนทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่ความรักต่อพระองค์เถิด พระเจ้าข้า โอ้องค์คุณงามควมดีล้นพ้น ข้าพเจ้ารักพระองค์ รักพระองค์ยิ่งกว่าสมบัติพัสถานทั้งสิ้น โปรดให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ยิ่ง ๆ ขึ้นและให้ข้าพเจ้าเจริญชีวิตอยู่ในความดีเถิด พระเจ้าข้า

        พระแม่มารีอา ท่านคือที่พึ่งทีวางใจของข้าพเจ้า โปรดวิงวอนพระเยซูเพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด


2. โทษเพราะได้เสียเวลา

             โอ! คราวเมื่อตาย ความจริงต่าง ๆ แห่งอัตถ์ความเชื่อ ช่างปรากฏแจ้งชัดจริงหนอ! แต่ก็เหมาะสำหรับแต่จะเพิ่มความทรมานแก่คนไข้ ซึ่งได้ครองชีพอย่างเหลวไหล เฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบุคคลผู้ได้ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้า ด้วยว่าเขามีโอกาสปรนนิบัติพระองค์ มีเวลาแลเห็นแบบอย่างดี และได้รับความดลใจมากกว่าผู้อื่น โอ! เขาจะรู้สึกเจ็บใจเพียงไร เมื่อจะคิด จะพูดว่า: ฉันได้เตือนสอนผู้อื่น แต่ฉันเองกลับประพฤติชั่วไปยิ่งกว่าเขา! ฉันได้ละโลก แต่ก็ได้เจริญชีพ มีใจผูกพันอยู่กับความสนุก เพลิดเพลินความฟุ้งเฟ้อโอ่อ่า และความรักประสาโลก! เขาจะรู้สึกวุ่นวายใจสักเท่าไร เมื่อจะคิดว่า แม้หากคนอกพระศาสนาจะได้รับความสว่างเท่า ๆ กับตนแล้ว เขาคงจะได้กลายเป็นนักบุญไปทีเดียว! เขาจะรู้สึกแค้นใจเพียงไร เมื่อจะระลึกถึง การที่ตนได้ประมาทคนดีมีใจศรัทธา ถือว่าเป็นคนสติฟั่นเฟือน ตนเองกลับนิยมชมชอบคติของชาวโลก ของการทะนงตนหรือความเห็นแก่ตน เช่น ไม่ยอมแพ้ใคร ไม่ยอมทนความลำบาก ฯลฯ

        “ความปรารถนาของพวกคนอธรรม จะกลายเป็นควัน” (สดด. 111, 10) เมื่ใกล้จะตาย เขาจะรู้สึกอยากได้เวลาที่ได้เสียไปสักเท่าไรหนอ! นักบุญเกรโกรีเล่าในหนังสือ คำสนทนา ของท่านว่า : มีบุรุษผู้หนึ่งชื่อ กรีซันซีโอ เป็นเศรษฐี แต่ประพฤติตนเหลวไหล เมื่อใกล้จะตาย ได้แลเห็นปีศาจฝูงหนึ่งประจักษ์มาจะจับแก แกจึงร้องว่า “ช้าก่อน ขอเวลาข้าถึงพรุ่งนี้เถอะ” ฝ่ายฝูงปีศาจก็ตอบว่า “ไอ้บ้า เจ้าจะหาเวลาขณะนี้? เจ้าได้เสียเวลาไปในการทำบาปแล้วบัดนี้ มีหน้ามาถามหาเวลาอีกหรือ? จบกัน ไม่มีเวลาแล้ว” ชายผู้เคราะห์ร้ายร้องต่อไปและขอให้คนช่วย ที่นั่น มีฤๅษีอง์หนึ่ง ชื่อ มักซีโม เป็นลูกของแก แกก็ร้องบอกลูกว่า “ลูกรัก ช่วยพ่อด้วย มักซีโม ช่วยพ่อด้วย” ขณะนั้น หน้าของแกแดงเหมือนไฟ แกพลิกตัวไป พลิกตัวมา อย่างคนคลั่ง และในขณะที่กำลังทุรนทุราย และกำลังตะโกนร้อง อย่างคนเสียใจอยู่นี้ แกก็สิ้นใจไป อย่างน่าสังเวช

        อนิจจา! คนบ้าเหล่านี้ ขณะสยายดี นิยมแต่ความบ้าของตน แล้วเมื่อจะตายนั่นแหละ จึงจะเปิดตา ยอมรับว่า ตัวได้บ้าไป แต่ขณะนั้น มันไม่มีประโยชน์มีแต่จะเพิ่มความเสียใจสำหรับการแก้ไขความชั่วที่ตัวได้สร้างไว้เท่านั้น และเมื่อเขาตายไปดังนี้ มันส่อให้เห็นว่า การเอาตัวรอดของเขา ไม่แน่นัก! พี่น้องที่รักผู้กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านคงเห็นพ้องว่า เป็นเจริงดังที่กล่าวมา ก็ถ้าเป็นจริงดังนั้น ความบ้าและความผิดบกพร่องของท่าน จะต้องมากขึ้นอีกหากว่า เมื่อท่านยังสบาดี และรู้จักความจริงเหล่านี้ แต่ก็ยังไม่นำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ทันเวลา ข้อที่ท่านกำลังรำพึงอยู่นี้เอง จะเป็นประหนึ่งมีดกรีดแทงใจท่าน ขณะเมื่อท่านจะตายอีกด้วย!

        อย่างไรก็ดี ขณะนี้ท่านยังมีเวลา ที่จะเลี่ยงความตายอันน่ากลัวนั้น จงเร่งแก้ไขเสีย อย่าไปคอยเวลานั้น ซึ่งไม่เหมาะสำหรับจะแก้ไข อย่าไปคอยอีกหนึ่งเดือน หรืออีกหนึ่งสัปดาห์ ใครจะไปรู้ แสงสว่างที่พระเป็นเจ้าทรงพระกรุณาประทานแก่ท่านในเวลานี้ อาจจะเป็นแสงสว่างแวบสุดท้ายแล้ว อาจจะเป็นคำร้องเตือนท่านครั้งสุดท้ายแล้ว ก็เป็นได้! เป็นความโง่โฉดเขลาที่จะไม่คิดถึงความตายซึ่งเป็นของแน่ และซึ่งนิรันดรภาพขึ้นอยูกับมัน แต่ก็เป็นความโง่เขลายิ่งขึ้นอีกที่เมื่อคิดว่าตนจะต้องตายแล้วไม่เตรียมตัวเผชิญมัน โปรดตริตรอง และตั้งใจเสียแต่บัดนี้ ให้เหมือนกับท่านจะกระทำเดี๋ยวนี้เถิด เพราะว่าทำในบัดนี้มีผล ทำในบัดนั้นไม่มีผล ทำในบัดนี้มีหวังเอาตัวรอด ทำในบัดนั้นหวังจะเอาตัวรอดได้ยากนั้น! คราวเมื่อขุนนางผู้หนึ่ง ขออนุญาตกราบลาออกจากการเป็นข้าบริพารของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 เพื่อจะไปบาช ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าอย่างเด็ดขาดจักรพรรดิจึงรับสั่งถามว่า: เหตุไร เจ้าจึงคิดจะละจากการเป็นข้าบริพารของเราเสียเล่า? มหาดเล็กผู้นั้นทูลตอบว่า “ขอเดชะ! เพื่อจะเอาตัวรอด ก็จำเป็นที่จะต้องมีเวลาใช้โทษใช้กรรม คั่นอยู่กึ่งกลางระหว่างชีวิตอันเหลวแหลกและความตายพระเจ้าข้า”

               ข้อเตือนใจและคำภาวนา

       ไม่เอาแล้ว พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมใช้พระเมตตตานอกลู่นอกทางต่อไปแล้ว! ขอฉลองพระเดชพระคุณที่ทรงประทานความสว่างให้แก่ข้าพเจ้าในบัดนี้ และขอปฏิญญาว่า จะเปลี่ยนชีวิตใหม่ ข้าพเจ้ามองเห็นแล้ว พระองค์จะทรงทนข้าพเจ้าต่อไปไม่ไหว ทำไม! ข้าพเจ้าต้องต้องการคอยให้พระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าก่อนหรือ? ข้าพเจ้าต้องการจะให้พระองค์ทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าจมปลักอยู่ในชีวิตอันเหลวแหลกซึ่งเป็นพระอาชญาโทษ ที่เลวร้ายกว่าความตายอีกหรือ? บัดนี้ ข้าพเจ้าขอกราบลงแทบพระบาท โปรดรับข้าพเจ้าไว้ในพระหรรษทานด้วยเถิด พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมจะได้รับพระกรุณาอันนี้ก็จริง แต่พระองค์ได้ตรัสว่า “ความอธรรมของคนอธรรม จะไม่เป็นภัยแก่เขา ในเมื่อเขาจะกลับใจ” (อสค. 33, 12) ฉะนั้น พระเยซูเจ้าข้า แม้ในกาลก่อนข้าพเจ้าได้กระทำขัดเคืองพระทัยเหลือคณนา แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ด้วยจริงใจแล้ว และหวังจะได้รับอภัยบาป พระเจ้าข้า ขอกราบทูลอย่างนักบุญอัลแซมว่า “อา! ขอพระองค์อย่าทรงปล่อยให้วิญญาณของข้าพเจ้าพินาศไปในบาปเลย เพราะพระองค์ได้ทรงไถ่มันด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง “ขออย่าทอดพระเนตรดูความอกตัญญูของข้าพเจ้า แต่ขอทอดพระเนตรดูความรักของพระองค์ ในการสิ้นพระชนม์เพื่อข้าพเจ้าเถิดพระเจ้าข้า ถึงแม้ข้าพเจ้าได้เสียพระหรรษทานไป แต่พระองค์ไม่ได้เสียฤทธิ์จะนำพระหรรษทานนั้นคืนมาให้ข้าพเจ้า พระมหาไถ่ที่สุดเสน่หาเจ้าข้า พระมหาไถ่ที่สุดเสน่หาเจ้าข้า ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าเถิด โปรดอภัยโทษและประทานพระคุณให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ เพราะว่า ในบัดนี้ข้าพเจ้าขอปฏิญญาว่า จะไม่ยอมรักสิ่งใด นอกจากพระองค์ ท่ามกลางสัตว์โลกทั้งหลาย ที่พระองค์ทรงสร้างมาได้ พระองค์ได้ทรงพระกรุณาเลือกสรรข้าพเจ้า เพื่อรักพระองค์ ข้าพเจ้าจึงเลือกเอาพระองค์ องค์คุณงามความดีที่ล้นพ้น เลือกเพื่อรักพระองค์ ให้ยิ่งกว่าสมบัติพัสถานทั้งสิ้นพะองค์ได้ทรงแบกกางเขนเดินนำหน้า ข้าพเจ้าจึงไม่ยอมหยุดยั้งเดินตามพระองค์พลางแบกกางเขนที่พระองค์ทรงประทานให้ ข้าพเจ้ายินดีรับความยากลำบากและความทุกข์ร้อนทุกชนิด ตามแต่พระองค์จะทรงโปรดให้เป็นมา ขอเพียงอย่าให้ข้าพเจ้าไร้พระหรรษทานของพระองค์ เท่านี้ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระนางมารีอา ที่วางไว้ใจของข้าพเจ้า โปรดทูลวิงวอนพระเป็นเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าเจริญชีวิตในความดีและให้ข้าพเจ้ารักพระองค์เท่านั้นเถิดนอกนั้น ข้าพเจ้าไม่ขออะไรอีกแล้ว


3. โทษเพราะได้เพิกเฉยต่อพระหรรษทาน

        ผู้ใดขณะสบายดี ได้ละเลยต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่วิญญาณ ผู้นั้นเมื่อจะตาย ไม่ว่าจะมองเห็นอะไร สิ่งนั้นจะกลายเป็นหนามคอยทิ่มแทงเขาหมดทุกอย่าง การระลึกถึงความสนุกสบายดีได้เคยมี การได้สมความปรารถนา ความโอ่อ่าที่เคยมี ก็เป็นหนาม เพื่อน ๆ ที่มาเยี่ยมเยียนและสิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำให้หวนระลึกถึงก็เป็นหนาม คุณพ่อวิญญาณ ซึ่งผลัดกันมาเยี่ยม ก็เป็นหนาม ศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งเขาจะได้รับ คือ ศีลแก้บาป ศีลมหาสนิท และศีลทาสุดท้าย ก็เป็นหนาม กางเขนที่ตั้งอยู่ข้างเคียงนั้นเอง ก็เป็นหนาม เพราะว่าภาพอันนี้ทำให้เขามองเห็นการตอบสนองอันไม่บังควรของตน ต่อความรักของพระเป็นเจ้าผู้สิ้นพระชนม์เพื่อช่วยให้ตนรอด

        โอ้! เมื่อนั้น คนไข้ผู้น่าสังเวช จะร้องว่า: ฉันช่างเป็นบ้าเสียจริง ๆ! ถ้าได้อาศัยความสว่าง และความสะดวก เท่าที่พระเป็นเจ้าได้ทรงประทานให้ฉันป่านนี้ ฉันคงเป็นนักบุญไปแล้ว ฉันอาจจะใช้ชีวิตอย่างผาสุกอยู่ในพระหรรษทานพองพระเป็นเจ้าได้ แต่บัดนี้สิ แม้ได้เจริญชีพอยู่เป็นเวลาช้านานหลายปี ฉันได้อะไรบ้าง นอกจากความทุกข์ทรมาน ความเสียใจ ความสะทกสะท้าน ความกลัดกลุ้มในมโนธรรม และบัญชียุ่งเหยิง อันจะต้องแจงสี่เบี้ยต่อพระเป็นเจ้า? ทั้งฉันจะเอาตัวรอดำด้ก็ยากมาก! เขาจะพูดดังนี้ เมื่อไรเล่า? เมื่อน้ำนันจวนจะหมดตะเกียง เมื่อละครแห่งโลกนี้จวนจะปิดฉากกลางโรง ในขณะที่เขากำลังมองเห็น นิรันดรภาพแห่งความสุข และนิรันดรภาพแห่งความทุกอยู่รำไร ๆ และในเมื่อเขาจวน ๆ จะหายใจออกเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเขาจะได้สุขหรือได้ทุข์เป็นนิตย์อัตรา เท่าที่พระเป็นเจ้าจะคงเป็นพระเป็นเจ้า ก็ย่อมสุดแล้วแต่การหายใจออกครั้งนี้เอง! ขณะนั้นเขาจะยอมเสียเท่าไรเสียไป ต้องการแต่จะให้มีเวลาสักหนึ่งปี หนึ่งเดือน หรืออย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ ที่มีสมองปลอดโปร่ง เพราะขณะนี้เขากำลังปวดศีรษะ กำลังแน่นหน้าอก หายใจฝืด ทำอะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก ไม่อาจบังคับให้ใจของเขาเจาะจงทำการดีอย่างใดอย่างหนึ่งได้: คล้ายกับว่า เขากำลังถูกขังอยู่ในหลุม ซึ่งอะไร ๆ ก็ยุ่งเหยิงนุงนังไปหมด ที่นั้น เขาคิดเห็นแต่ความพินาศอันกำลังจะตกลงมาทับ และตัวเขาเองก็มองไม่เห็นทางจะเลี่ยงให้พ้น ฉะนั้น เขาจึงอยากได้เวลา แต่จะได้รับคำตอบว่า “จงออกเถิด” เร็ว ๆ เข้า ปิดบัญชีเสียในชั่วเวลาสั้น ๆ นี้ พยายามทำให้ดีเท่าที่ทำได้ แล้วก็ออกไปไม่รู้หรือ ความตายไม่คอยใคร ทั้งไม่เกรงกลัวใคร?

        โอ้! เมื่อนั้นเขาจะสดุ้งตัวสั่น เมื่อจะคิด และจะพูดว่า “เช้านี้ฉันยังมีชีวิตอยู่ แต่เย็นนี้ฉันจะตายไปได้ง่าย ๆ! วันนี้ฉันยังอยู่ในห้อง แต่พรุ่งนี้ฉันจะอยู่ในหลุม! ส่วนวิญญาณของฉันจะไปอยู่ที่ไหนหนอ?- - เขาจะสดุ้งโหยงขึ้นอีก เมื่อจะแลเห็นมีผู้เตรียมเทียน! เมื่อจะรู้สึกเหงื่อเย็นคราวจวนจะตายไหลออกมา ! เมื่อจะได้ยินคนสั่งให้พวกญาติออกจากห้องและไม่ให้เข้ามาอีก! เมื่อตาของเขาจะเริ่มมัว มองอะไรไม่สู้เห็น! ที่สุดเขาจะสดุ้งกลัวแค่ไหนหนอ เมื่อจะแลเห็นแสงเทียน เพราะความตายคลานเข้ามาใกล้แล้ว! โอ้เทียน! เทียนเจ้าเอ๋ย! ในคราวนั้น เจ้าจะส่องให้เห็นความจริงกี่ข้อหนอ! เมื่อนั้นเจ้าจะชี้ให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ผิดกับที่ปรากฏอยู่ขณะนี้! เจ้าจะเผยแสดงให้เห็นว่า สมบบัติพัสถานทั้งสิ้นของโลกเป็นแต่ความฟุ้งเฟ้อ ความบ้า และความหลอกลวง! แต่อันจะรู้จักความจริงเหล่านี้ ก็เมื่อสายไปเสียแล้วจะเป็นประโยชน์อันใดเล่า?

                ข้อเตือนใจและคำภาวนา

       อา! ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้าตาย แต่ประสงค์ให้ข้าพเจ้ากลับใจและมีชีวิต ขอขอบพระคุณที่ทรงรอข้าพเจ้าจนถึงเวลานี้ และที่ทรงประทานความสว่างให้แก่ข้าพเจ้าในบัดนี้ ข้าพเจ้าสำนึกรู้ตัวว่า ได้หลงไป ได้ถือเอาทรัพย์สมบัติเลว ๆ และอนิจจัง ดีกว่ามิตรภาพของพระองค์และเพราะเห็นแก่มันได้ดูหมิ่นพระองค์ ข้าพเจ้าเสียใจและเป็นทุกข์จริง ๆ ที่ได้ทำผิดต่อพระองค์ถึงเพียงนี้ โอ้! ขอพระองค์ประทานความสว่างและพระหรรษทานค้ำจุนข้าพเจ้าตลอดชีวิตที่ยังเหลือนี้เถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ได้ปฏิบัติตามที่ควร จะได้ดัดแปลงกิริยาเสีย พระเจ้าข้า อันจะรู้จักความจริงข้อนี้ ในเมื่อสายไปแล้ว จะเป็นประโยชน์อะไร? “ขออย่าทรงมอบวิญญาณ ที่ร้องหาพระองค์แก่เหล่าสัตว์ร้ายเลย” (สดด. 73, 19) เมื่อปีศาจจะมาประจญให้ข้าพเจ้าทำเคืองพระทัยอีก โปรดเถิด พระเยซูเจ้าข้า โปรดเห็นแก่พระบารมีแห่งพระมหาทรมานของพระองค์ และตราบใดยังถูกประจญอยู่ก็ขอให้ข้าพเจ้าเฝ้าวิงวอนพระองค์อยู่ตราบนั้น พระโลหิตของพระองค์เป็นสรณะของข้าพเจ้า พระทัยดีของพระองค์เป็นความรักของข้าพเจ้า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สมแล้วให้มนุษย์ทั้งหลายรักปฏิพัทธ์พระองค์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ข้าพเจ้ารักพระองค์และขอรักพระองค์เสมอเป็นนิตย์โปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า จะต้องตัดใจออกห่างจากอะไรบ้าง ข้าพเจ้าจึงจะเป็นของของพระองค์อย่างครบถ้วน ข้าพเจ้าต้องการให้เป็นดังนี้ และขอพระองค์โปรดประทานกำลังให้ข้าพเจ้าปฏิบัติดังนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า

        โอ้ พระราชินีแห่งวิมานสวรรค์ โอ้พระชนนีของพระเป็นเจ้า โปรดช่วยวิงวอนเพื่อข้าพเจ้าคนบาป เมื่อข้าพเจ้าจะถูกประจญล่อลวง ขอท่านโปรดให้ข้าพเจ้ารีบวิ่งมาขอพึ่งพระเยซูและพึ่งท่านเสมอ ๆ เถิด ด้วยว่าผู้ใดวิงวอนขอท่านช่วย ท่านไม่เคยปล่อยให้เขาเสียทีเลย สักครั้งเดียว


(1) Nihil aliud quam de se cogitare sufficient.

 

การแสวงหาเงินทอง   เป็นเรื่องตรงข้ามกับการแสวงหาอาณาจักรพระเจ้า เจ้าแห่งเงินตราและพระเจ้า เป็นเจ้านายด้วยกันทั้งคู่ ถ้าท่านรักและปรนนิบัติเจ้านายคนหนึ่ง ก็จําเป็นต้องปฏิเสธเจ้านายอีกคนหนึ่ง (มธ. ๖,๒๔; มก.๔,๑๙) จะประนีประนอมไม่ได้

1. ผู้ที่จะเข้าสวรรค์

มักจะถือกันว่า คําพูดของพระเยซูเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง เป็นคําพูดที่แข็งที่สุดในพระวรสาร และคริสตชนโดยทั่วไปมักจะทําให้มันอ่อนลงไปบ้าง  ข้อความที่สะดุดใจเรามากคือ อาณาจักรพระเจ้าเป็นอาณาจักรของคนจน หากคนรวยยังคงสภาพอยู่เช่นนั้น ก็ไม่มีส่วนในอาณาจักรพระเจ้า (ลก.๖,๒๐-๒๖) คนรวยเข้าสู่อาณาจักรพระเจ้าไม่ได้ เหมือนกับอูฐลอดรูเข็มไม่ได้(มก.๑๐,๒๕) มาร์โกบอกว่าแม้พวกสาวกก็ยังตะลึง นี่มันอาณาจักรอะไรกัน ? "ถ้าเช่นนั้นใครจะรอดได้? พวกเขาถามกันเอง พระเยซูจ้องมองพวกเขาแล้วพูดว่า สําหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ แต่สําหรับพระเจ้า ทุกอย่างเป็นไปได้" (มก.๑๐,๒๔-๒๗) พูดอีกนัยหนึ่งคือ ต้องมี "อัศจรรย์" คนรวยจึงจะเข้าอาณาจักรพระเจ้าได้ และอัศจรรย์นี้ไม่ใช่ทําให้คนรวยเข้าได้พร้อมกับทรัพย์สินเงินทอง แต่อัศจรรย์ทําให้คนรวยทิ้งทุกอย่างเพื่อเข้าอาณาจักรของคนจน  พระเยซูเชิญหนุ่มเศรษฐี คนหนึ่งให้ทําเช่นนั้น (มก.๑๐,๑๗-๒๒) แต่เขามีความเชื่อในอาณาจักรพระเจ้าน้อยเกินไป และหวังพึ่งเงินทองมากเกินไป อัศจรรย์จึงไม่เกิดขึ้น

     ไม่มีที่สําหรับคนรวยในอาณาจักรพระเจ้า ไม่มีรางวัลหรือความบรรเทาใจ (ลก.๖,๒๔-๒๖) ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องเศรษฐีกับขอทานที่ชื่อลาซารัส เหตุผลที่เศรษฐีไม่ได้รับรางวัลก็คือเพราะเขาเป็นเศรษฐี และไม่ยอมแบ่งปันความรํ่ารวยให้แก่ขอทาน (ลก.๑๖,๑๙-๓๑) และแค่เรื่องเดียวนี้แหละที่เศรษฐีอยากให้ใครช่วยไปเตือนพี่น้องของตน แต่พี่น้องคนไหนจะไปเชื่อ?

2. ค่าของการเป็นศิษย์

     ผู้ที่ปักใจอยู่กับอาณาจักรพระเจ้า และยอมรับค่านิยมของอาณาจักรนี้ ต้องทิ้งทรัพย์สินของตน (มธ.๖,๑๙-๒๑;ลก.๑๒,๓๓-๓๔; ๑๔, ๓๓) พระเยซูต้องการให้พวกศิษย์ทิ้งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ครอบครัวที่ดิน เรือ หรืออวนจับปลา(มก.๑,๑๘-๒๐; ๑๐,๒๘-๓๐; ลก.๕,๑๑) พระเยซูเตือนพวกเขาล่วงหน้าว่าให้นั่งคิดดูก่อนว่าจะไหวไหม (ลก.๑๔,๒๘-๓๓)

     นี่มันเป็นอะไรที่มากกว่าการทําบุญทําทาน พระเยซูขอให้แบ่งปันทรัพย์สินทั้งหมด พระเยซูพยายามสอนให้คนรู้จักตัดใจจากทรัพย์สมบัติ  ศิษย์ของพระเยซูต้องไม่เป็นห่วงว่า จะเอาอะไรกินเอาอะไรนุ่งห่ม (มธ.๖, ๒๕-๓๓)  "ถ้ามีใครมาเอาเสื้อคลุมของท่านไป ก็อย่าหวงเสื้อยาว  จงให้แก่ทุกคนที่ขอ  และอย่าขอสิ่งที่เขาขโมยไปกลับคืนมา...จงให้ยืมโดยไม่ต้องหวังได้คืน" (ลก.๖,๒๙-๓๕) "เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อย คนตาบอด พวกเหล่านี้จะไม่สามารถตอบแทนท่านได้ เมื่อนั้นแหละท่านเป็นผู้มีบุญ..." (ลก.๑๔,๑๓-๑๔)

     พระเยซูพยายามที่จะอบรมสั่งสอนให้ประชาชนรู้จักแบ่งปันสิ่งของกับทุก ๆ คน ความพยายามนี้แสดงออกมาได้ดีที่สุดในเรื่องอัศจรรย์ทวีปังและปลา (มก.๖,๓๕-๔๔) ผู้เขียนพระวรสารทั้ง ๔ และคริสตชนรุ่นแรกๆ ต่างก็ตีความหมายเหตุการณ์นี้ว่าเป็นอัศจรรย์แห่งการทวี แม้จะไม่ใช้คํานี้โดยตรงก็ตาม ตามปรกติพระวรสารจะดึงความสนใจของเราเข้าหาเรื่องอัศจรรย์โดยใช้คําพูดทํานองว่า ประชาชนต่างประหลาดใจ ตะลึง หรือรู้สึกทึ่ง แต่ในเรื่องนี้ไม่มีการพูดอะไรทํานองนี้เลย มีแต่พูดว่าพวกศิษย์ไม่เข้าใจ (มก.๖,๕๒;๘,๑๗-๑๘;๘,๒๑) เหตุการณ์นี้มีความหมายลึกกว่านั้น ไม่ใช่อัศจรรย์แห่งการทวี แต่เป็นตัวอย่างแห่งการแบ่งปัน

     พระเยซูเทศน์สอนฝูงชนในที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง ถึงเวลาพักกินอาหารก็พบว่าบางคนนําอาหารติดตัวมาด้วย แต่บางคนไม่ได้นํามา พระเยซูกับสาวกมีปัง ๕ ก้อนกับปลา ๒ ตัว สาวกเสนอแนะว่าให้ปล่อยฝูงชนไปหาซื้อกินเอง แต่พระเยซูบอกว่าให้สาวกจัดหาให้ทุกคนกิน สาวกไม่เห็นด้วยแต่ก็ช่วยจัดคนให้นั่งเป็นกลุ่มๆ แล้วพระเยซูเอาปังกับปลาที่มีอยู่บอกให้สาวกเอาไปแบ่งให้คนอื่น พระเยซูอาจจะได้ชักชวนให้คนที่นําอาหารมาแบ่งให้คนที่ไม่มี หรือไม่เช่นนั้น พอคนที่มี เห็นพระเยซูแบ่งอาหารให้คนอื่น ก็ทําตามอย่าง

     "อัศจรรย์" ก็คือ คนจํานวนมากเลิกเห็นแก่ตัว เลิกหวงสิ่งของที่ตนมี แล้วแบ่งปันด้วยใจกว้างขวาง แล้วทุกคนก็พบว่าอาหารมีเหลือเฟือเก็บเศษได้อีกตั้ง ๑๒ ตะกร้า ของที่เราเอามาแบ่งกัน มักจะดูว่ามัน "ทวีขึ้น"

3. คริสตชนกลุ่มแรก

     คริสตชนกลุ่มแรกในเยรูซาเลม  พบความจริงเดียวกันนี้ พวกเขาแบ่งปันข้าวของเงินทองให้สมาชิกทุกคนลูกาอาจจะได้วาดภาพกลุ่มคริสตชนกลุ่มนี้ให้เป็นภาพในอุดมคติ มากกว่าสภาพที่เป็นจริงเล็กน้อย แต่นั่นก็หมายความว่า คริสตชนในยุคเริ่มต้นได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเยซูเป็นอย่างดี

     "พวกผู้เลื่อมใสเป็นเจ้าของทุกอย่างร่วมกัน พวกเขาขายทรัพย์สิ่งของที่มีแล้วแจกจ่ายเงินที่ได้มาให้แก่สมาชิกตามความจําเป็นของแต่ละคน...พวกเขาเลี้ยงอาหารกันด้วยความยินดีและใจกว้างขวาง"(กิจการ.๒, ๔๔-๔๖) นี่ไม่ได้หมายความว่าขายทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องเก็บเสื้อผ้าของใช้และบ้านที่อาศัยอยู่เอาไว้ จุดสําคัญคือ "ไม่มีใครอ้างตนเป็นเจ้าของสิ่งที่มีอยู่ แต่ถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน" (กิจการ.๔,๓๒) "ผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินหรือบ้าน จะขายเสีย แล้วนําเงินที่ได้มาให้แก่บรรดาอัครสาวก แล้วนั้นเงินก็จะถูกแจกจ่ายให้แก่สมาชิกที่ขัดสน" (กิจการ.๔,๓๔-๓๕) เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้ขายบ้านที่ตนอาศัยอยู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนมาอยู่ในบ้านเดียวกัน แต่มีบอกว่าพวกเขาพบกันตามบ้านของคนนี้บ้างคนนั้นบ้าง (กิจการ ๒,๔๖) บ้านที่ขายไปก็คงจะเป็นบ้านที่ให้คนอื่นเช่า นั่นคือขายอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สินที่เป็นส่วนเกิน และไม่ใช่เป็นสิ่งที่จําเป็นเพื่อดําเนินชีวิตอยู่ได้

     ในเรื่องของซัคเคียสในพระวรสาร เมื่อซัคเคียสกลับใจ เขาบริจาคครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินที่ตนมี และสัญญาจะชดใช้ ๔ เท่าของจํานวนที่ได้โกงผู้อื่น (ลก.๑๙,๘) ทําให้เราเข้าใจว่า การเก็บส่วนหนึ่งไว้เพื่อดํารงชีพก็เป็นของธรรมดา และนี่ก็คือความหมายของการ "ขายทุกสิ่งทุกอย่าง" คือสละทรัพย์สินส่วนเกิน และไม่มุ่งแสวงหาการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ผลที่ตามมาก็คือ "ไม่มีใครในพวกเขาต้องขัดสน" (กิจการ.๔,๓๔)

4. ท่าทีของพระเยซูต่อคนจน

     พระเยซูไม่ได้ยกย่องเทิดเทินความยากจน ตรงกันข้าม พระเยซูพยายามยํ้าว่าอย่าปล่อยให้มีใครขัดสน และเพราะเหตุนี้พระเยซูจึงต่อต้านการหวงทรัพย์สินเงินทอง และแนะนําให้ทุกคนมีใจกว้างและแบ่งปันข้าวของที่มีให้คนอื่น สิ่งนี้เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีการจัดการเป็นรูปชุมชนหรือกลุ่มชน (community) พระเยซูหวังที่จะให้มีอาณาจักรหรือชุมชนระดับโลกที่มีโครงสร้างและการจัดการแบบที่ว่าจะไม่มีคนจนหรือคนรวย

     แรงบันดาลใจของพระเยซูก็คือความสงสารคนจนและคนถูกกดขี่ เมื่อพระเยซูบอกให้หนุ่มเศรษฐีสละเงินทองทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เพราะพระเยซูเคร่งครัดในหลักปรัชญาลอย ๆ อะไรบางอย่าง แต่เป็นเพราะพระเยซูสงสารคนจน ความจริงข้อนี้ชัดเจนมากในเรื่องหนุ่มเศรษฐี ที่มีเล่าในวรรณกรรมคู่เคียงพระวรสาร ที่มีชื่อว่า"พระวรสารของชาวฮีบรู" ตอนแรกก็เหมือนกับที่เล่าในพระวรสาร แต่ตอนปลายแตกต่างออกไป "...หนุ่มเศรษฐีเกาศีรษะ เพราะคําพูดนี้ไม่ถูกใจเขา พระเยซูพูดกับเขาต่อไปว่า เจ้าพูดได้อย่างไรว่าเจ้าถือตามพระบัญญัติและคําสอนของประกาศก ในเมื่อมีเขียนไว้ว่า เจ้าจงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง มองดูซิ พี่น้องหลายคนของเจ้า ลูกหลานของอับบราฮัมด้วยกัน ต้องใช้ผ้าขี้ริ้วมานุ่งห่มและกําลังจะอดตาย ในขณะที่บ้านของเจ้าเต็มไปด้วย ของดีมากมาย และไม่มีอะไรตกไปถึงพวกเขาเหล่านั้นบ้างเลย"  (นักพระคัมภีร์ชื่อเจเรไมอัสยืนยันว่า วรรณ กรรมตอนนี้มีหลักฐานสนับสนุนว่าเป็นคําพูดของพระเยซูมากพอๆกับตอนอื่นๆในพระวรสารโดยทั่วไป)

    สรุปได้ว่า  สังคมไหนที่คนจนต้องทนทุกข์ทรมานในขณะที่คนรวยมีเหลือเฟือ สังคมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมาร  พระเยซูไม่ยอมรับผู้ที่ถือกันว่า เป็นคนดีหรือใฝ่ธรรมะแต่ไม่เด็ดขาดในการเลือกเอาพระเจ้าเหนือเจ้าแห่งเงินตรา "เมื่อพวกฟาริสีที่ชอบแต่เงินทองได้ยินสิ่งเหล่านี้ก็หัวเราะเยาะพระเยซู พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า คนทั่วไปถือว่าพวกท่านเป็นคนดีมีคุณธรรม แต่พระเจ้าเห็นลึกลงไปในใจของพวกท่าน บางอย่างที่มนุษย์ยกย่อง กลับเป็นที่น่าขยะแขยงสําหรับพระเจ้า" (ลก.๑๖,๑๔-๑๕)

คำถาม

          1. อะไรทำให้คนเข้าสวรรค์ยาก ?

          2. เราควรมีท่าทีต่อเงินทองอย่างไร ?

          3. เราควรมีท่าทีต่อคนจนอย่างไร ?