Skip to main content

เตรียมเผชิญ

ค ว า ม ต า ย

บทที่ 06 "ความตายของคนบาป"

book

1. ยากที่จะกลับใจโดยแท้จริง

             ทุกวันนี้คนบาปพยายามขับไล่ความทรงจำ และ การระลึกถึงความตายออกไปทั้งนี้โดยหมายจะหาความสุข (ซึ่งที่แท้เขาไม่มีวันจะพบ) จากการดำรงชีพอยู่ในบาป แต่ ! เมื่อความโกลาหลแห่งความตายกระชั้นเข้ามา เมื่อเขาเข้าใกล้เวลาจะไปสู่นิรันดรภาพ เขาก็จะหนีความทุกข์ทรมานอันเนื่องมาแต่มโนธรรมตำหนิหาไม่ได้เลย เขาจะแสวงหาความสุข แต่จะไม่พบ ท่านปรอแฟตากล่าวไว้ว่า “เมื่อความกระวนกระวายมาถึงเขาจะหาสันติภาพ แต่จะไม่มี” (อสค. 7, 25) อันที่จริง วิญญาณจะมีความสุขได้อย่างไร เมื่อมองเห็นตนเต็มแปล้ไปด้วยบาปคล้ายกับถูกอสรพิษกำลังขบกัด? จะมีความสุขได้อย่างไร เมื่อมองเห็นว่าอีกไม่กี่นาที ตนจะต้องไปปรากฏตัวอยูเฉพาะพระพักตร์ ของพระเยซูคริสต์เจ้าพระตุลาการ ผู้ที่ตนได้ดูหมิ่นพระบัญญัติ และมิตรภาพของพระองค์เรื่อยมา? “ความวุ่นวายจะทับถมความวุ่นวายยิ่งขึ้นอีก” (อสค. 7, 26) ครั้นได้ยินว่าตนกำลังจะตาย ความคิดถึงการที่ตนจะต้องพรากจากทุกสิ่งของโลกนี้ ความกลัดกลุ้มในมโนธรรม เวลาที่ได้เสียไปเปล่า ไม่มีเวลาต่อไปแล้ว ความเข้มงวดในการพิพากษาของพระเป็นเจ้า นิรันดรภาพแห่งความทุกข์ทรมาน อันจะเป็นโชคของคนบาป ความคิดต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ จะประดังกันมา ราวกับพายุร้ายล้วนแล้วแต่จะทำให้สติของเขาวุ่นวายไป และเพิ่มความเสียใจเท่านั้น คนบาปผู้ใหก้จะตาย จะข้ามไปสู่ชีวิตหน้า ขณะกำลังวุ่นวายและเสียใจเท่านั้น คนบาปผู้ใกล้จะตาย จะข้ามไปสู่ชีวิตหน้า ขณะกำลังวุ่นวายและเสียใจเท่านี้แหละ !

        อับราฮัมได้สร้างกุศลธรรมมาก เพราะได้วางใจในพระเป็นเจ้า ทั้ง ๆ ที่ตามประสามนุษยืไม่มีหวัง แต่ท่านก็ได้เชื่อในคำมั่นสัญญาของพระเป็นเจ้า (1) ตรงกันข้าม คนบาปสร้างอกุศลกรรมอันใหญ่ยิ่ง เขาได้ลวงตน จนเป็นภัยแก่ตนเพราะได้ไว้วางใจในทางที่ผิดทั้งต่อความไว้ใจ และความเชื่ออีกด้วย เขาได้ดูหมิ่นจนกระทั่งพระโอวาทที่พระเ)ป็นเจ้าทรงคำราม คนใจกระด้าง เขากลัวจะตายร้ายแต่ไม่กลัวการดำรงชีพอย่างชั่วร้าย ! ก็ใครจะประกันได้ว่า เขาจะไม่ตายปัจจุบันทันได เช่น ถูกฟ้าผ่า เป็นลมตาย? เอาเถอะ ! แม้ก่อนตาย เขาจะมีเวลาแก้บาปแต่ใครเล่าจะเป็นผู้ประกันว่า เขาได้กลับใจโดยแท้จริง? นักบุญ เอากุสติน ได้ต่อสู้กับความอ่อนแอของท่านถึง 12 ปี จึงได้ชัยชนะ แล้วคนไข้หนัก ซึ่งเคยมีมโนธรรมอันเปื้อนโสมมอยู่เสมอ จะกลับใจจริง ๆ ได้ง่าย ๆ หรือ ในขณะที่ตนกำลังเจ็บปวด กำลังมึนศีรษะ กำลังพะวักพะวนกับความตาย? ที่ข้าพเจ้าใช้คำว่ากลับใจจริง ก็เพราะว่า คำพูด คำสัญญา เท่านั้นไม่พอ ยังต้องเป็นคำพูด คำสัญญาที่จริงใจด้วย อา! เมื่อนั้น คนไข้ จะรู้สึกสะดุ้ง และกระวนกระวายเพียงไรหนอ? เขาไม่เคยเอาใจใส่ในเรื่องมโนธรรม  และมามองเห็นกองบาปกำลังทับถมตนอยู่เมื่อมารู้สึกกลัวคำพิพากษา กลัวนรก กลัวนิรันดรภาพ ! ความคิดเหล่านี้จะระดมกันมาทำให้เขาว่าวุ่น ทั้งๆ ที่ขณะนั้นหัวก็คิดอะไรไม่ค่อยออก สติก็ฟั่นเฟือน ตัวกำลังปวดร้าว เพราะความตายกำลังกระชั้นเข้ามา เขาจะแก้บาป เขาจะสัญญา เขาจะร้องไห้ เขาจะร้องขอพระกรุณา แต่ที่ทำนี้ก็ทำไปโดยไม่รู้ตัว ! ขณะกำลังกระวนกระวาย กำลังกลัดกลุ้มใจ กำลังหายใจฝืด กำลังตระหนกตกใจอยู่อย่างนี้แหละ เขาก็จะข้ามไปสู่ชีวิตหน้า (2) จริงตามที่นักประพันธ์ผู้หนึ่งกล่าวไว้ “คำวิงวอน น้ำตา และคำสัญญาของคนบาปผู้ใกล้จะตาย ก็เช่นเดียวกับ น้ำตาและคำมั่นสัญญาของคนที่ถูกศัตรูก็กระโจนเข้ามาเอามีดจ่ออก กำลังจะปลิดชีพของตนอยู่แล้วนั่นเอง ช่างน่าสมเพชจริง ๆ คนไข้ที่ล้มเจ็บ ในขณะไม่มีพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า และเข้าไปสู่นิรันดรภาพด้วยอาการดังนี้!

        ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        โอ้ บาดแผลของพระเยซู ท่านเป็นที่พึ่งและปกป้องข้าพเจ้า หากไม่เพ่งมองดูท่านแล้ว ข้าพเจ้าคงต้องหมดหวังจะได้รับอภัยบาป หมดหวังจะตัวรอดตลอดนิรันดร ท่านคือตาน้ำแห่งพระเมตตากรุณาและพระหรรษทานที่พระเป็นเจ้าทรงใช้หลั่งพระโลหิตทั้งสิ้นของพระองค์ เพื่อชำระล้างบาปทั้งสิ้นให้พ้นจากวิญญาณของข้าพเจ้า โอ้ บาดแผลอันศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้นมัสการท่าน ข้าพเจ้าวางใจในท่าน ข้าพเจ้าเกลียดชัง และสาปแช่งความสนุกความเพลิดเพลินบ้า ๆ บอ ๆ ที่ได้เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าทำขัดเคืองพระทัยขององค์พระมหาไถ่และทำให้สูญเสียมิตรภาพกับพระองค์ แต่เมื่อยกตาขึ้นมองดูท่าน ข้าพเจ้าก็รู้สึกโล่งใจในทันที และรู้สึกรักท่าน ข้าแต่พระเยซูสุดเสน่หาสมแล้วที่มนุษทุกคนจะรักพระองค์ ด้วยสิ้นสุดดวงใจของตน แต่ข้าพเจ้ากลับได้ทำไห้เคืองพระทัย และได้ดูหมิ่นความรักของพระองค์มากมายนัก ถึงกระนั้น พระองค์ยังได้ทรงเพียรทนต่อข้าพเจ้า มิหนำซ้ำยังแสดงพระทัยดี เรียกร้องให้ข้าพเจ้าเข้ามารับอภัยโทษ ! โอ้ ! พระมหาไถ่เจ้าข้า ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทำเคืองพระทียอีก ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าพินาศไปเลย โอ้ ! แต่ บัดนี้ ข้าพเจ้ารักพระองค์ และใคร่จะรักพระองค์เสมอเป็นนิตย์ โปรดให้ข้าพเจ้าดำรงอยู่ในความดี โปรดตัดใจข้าพเจ้าให้ให้ขาดจากความรักใด ๆ ทั้งสิ้น ที่ไม่ใช่เพื่อพระองค์ โอ้ องค์คุณงามควมดีที่ล้นพ้น โปรดฝังความประสงค์อันแท้จริง และความตั้งใจแน่วแน่จะรักพระองค์แต่ผู้เดียวให้ปักแน่นอยู่ในดวงใจของข้าพเจ้า แต่บัดนี้ต่อไปจนสิ้นชีวิตเถิดพระเจ้าข้า

        โอ้ พระแม่มารีอา โปรดฉุดข้าพเจ้าหาพระเป็นเจ้า และมอบตัวข้าพเจ้าทั้งหมดให้เป็นของของพระองค์ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะจากโลกนี้ไปด้วย


 

2. ความหนักใจของคนบาป เมื่อใกล้จะตาย

        ความหนักใจของคนบาปเมื่อใหล้จะตายนั้น ใช่ว่ามีแต่เพียงอย่างเดียวแต่มีมากมายนัก

         ด้านหนึ่งเขาจะถูกปีศาจเคี่ยวเย็ญ ในเวลาที่เขาใกล้จะตาย ศัตรูร้ายกาจจำพวกนี้จะหักโหมออกแรงอย่างเต็มความสามารถ เพื่อจะทำให้วิญญาณที่จวนเจียนจะถูกปลิดออกจากชีวิตนี้พินาศไป มันเข้าใจดีว่า ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยที่จะต้องมัดเขาให้อยู่มือ เพราะถ้าเสียทีในคราวนี้ ก็เป็นอันเสียทีอย่างเด็ดขาดเมื่อนั้นปีศาจมิใช่แต่หนึ่งตน แต่มากมายหลายตนจนนับไม่ถ้วน จะพากันยกโขยงมาเฝ้าล่อลวงคนไข้ ต้องการให้เขาพินาศ (3) ตนหนึ่งปลอบว่า : อย่าตกใจคงจะหายน่ะ อีกตนหนึ่งจะทักว่า: เอ๊ะ! อย่างไรกัน ท่านเคยทำหูทวนลม ไม่ฟังเสียงพระตั้งหลายปีมาแล้ว เดี๋ยวนี้พระจะกรุณาต่อท่านหรือ? ตนหนึ่งแทรกว่า: เดี๋ยวนี้ท่านจะทำอย่างไร เพื่อจะแก้ไขความเสียหายที่ท่านได้ทำลายชื่อเสียงของเข? อีกตนหนึ่งตะคอกว่า: ดูซิ ทุกครั้งที่ท่านไปแก้บาปก็ไม่ได้มีความทุกข์ถึงบาปอย่างแท้จริง แล้วเดี๋ยวนี้ จะไปแก้บาปอีก แน่ใจแล้วหรือ?

        อีกด้านหนึ่ง คนไข้จะเห็นบาปของตนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ นักบุญเบอร์นาร์ด กล่าวว่า บาปแต่ละบาป เป็นเหมือนตำรวจแต่ละนาย ที่พากันมาจับเขาไว้แน่น บอกว่า “พวกเราคือ ลูกหลานของท่าน จะไม่ยอมทิ้งท่าน” (4) เราจะตามท่านไปยังชีวิตหน้า เราจะไปหาพระตุลาการผู้สถิตอยู่ตลอดนิรันดร พร้อมด้วยกันกับท่าน! เมื่อนั้น คนไข้จะพยายามไล่ศัตรูที่มากวนใจเหล่านี้ไปให้พ้นแต่จะพ้นได้ ก็โดยต้องเกลียดชังมัน และกลับใจมาหาพระเป็นเจ้าด้วยจริงใจ แต่อนิจจา ! ขณะนั้น สติของเขากำลังสับสน ใจก็แข็งกระด้าง “คนใจกระด้าง จะลงปลายร้าย และใครชอบเสี่ยงภัย คนนั้นจะพินาศไปในภัย” (บสร. 3, 27) นักบุญเบอร์นาร์ด กล่าวว่า คนที่ใจกระด้างหมกมุ่นอยู่ในความชั่วเมื่อสบายดี ครั้นเมื่อใกล้จะตาย เขาจะพยายามแหวกว่ายให้พ้นจากความพินาศ แต่จะทำไม่ไหว ทั้งนี้เพราะจะถูกความชั่วทับถมให้จมอยู่ในฐานะเดิม และจะสิ้นชีพไปด้วยประการฉะนี้เหตุว่าจนถึงบัดนี้เขาได้ชอบบาป และเพราะชอบบาป เขาจึงชอบเสี่ยงภัยในความพินาศ ฉะนั้นจึงเหมาะสมแล้ว ที่พระสวามีเจ้าจะทรงปล่อยให้เขาพินาศไปในภัยที่เขาเองได้พอใจอยู่จนวันตาย นักบุญ เอากุสติน เสริมว่า “ผู้ที่ถูกบาปละทิ้งก่อนที่ตัวเขาเองจะละทิ้งบาป ยากนักที่เขาจะเกลียดชังบาปเท่าที่ควร เมื่อคราวจะตาย เพราะว่าสิ่งที่เขาทำนั้น จะกระทำด้วยจำใจ” (5)

        น่าสังเวชจริง ๆ คนบาปใจกระด้าง ที่ต่อสู้กับพระโอวาทของพระเป็นเจ้า ! เขาใจดำ ไม่ยอมอ่อนน้อม ไม่ยอมฟังพระสุรเสียง กลับใจกระด้าง ใจแข็งกว่าทั่งที่ใช้ตีเหล็กเสียอีก (โยบ. 41, 15) อาญาโทษต่อความผิดอันนี้คือเขาจะคงอยู่ในฐานะอันนั้น แม้ขอณเมื่อจะตาย เมื่อจะเข้าสู่นิรันดรภาพ ! “คนใจกระด้างจะลงปลายร้าย” (บสร. 3, 27) พระสวามีเจ้าตรัสว่า “พวกคนบาปหันหลังแก่เราแล้วหันไปรักสัตว์โลก พวกเคราะห์ร้ายเหล่านี้ เมื่อถึงคราวตายจะวิ่งกลับมาหาพระเป็นเจ้า แต่พระองค์จะตรัสตอบว่า: เอ้า! เดี๋ยวนี้กลับมาแล้วหรือ? เชิญไปเรียกพวกสัตว์โลกมาช่วยเจ้าซิ เขาเป็นพระเจ้าของเจ้าอย่างไรเล่า? (ยรม. 2, 27) ที่พระสวามีจะตรัสดังนี้ ก็เพราะที่เขาวิ่งมาหาพระองค์นั้นเขาไม่วิ่งกลับมาด้วยจริงใจนั่นเอง นักบุญฮีเอโรนีโมจึงว่า: ข้าพเจ้ายึดถือและรู้แน่ อาศัยการประสบการณ์ว่า ผู้ใดดำรงชีพอย่างไม่ดีจนถึงปลาย ผู้นั้นไม่มีวันจะลงปลายได้ด้วยดี” (6)

          ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        ข้าแต่พระมหาไถ่สุดเสน่หา โปรดอย่าทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ามองเห็นแล้วว่าวิญญาณของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยบาดแผลแห่งบาป ราคตัณหาฉุดคร่าพาข้าพเจ้าไป ความเคยชินในความชั่วกดขี่ข้าพเจ้า จึงขอทอดตัวลงแทบพระบาท ทรงพระเมตตาเถิด กรุณาช่วยข้าพเจาให้พ้นจากภัยอันน่ากลัวเหล่านี้เถิด พระเจ้าข้า “พระสวามีเจ้าข้า ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ที่พึ่งที่หวังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ต้องอับอายเป็นอันขาด” (สดด. 30, 2) “ขออย่าทรงปล่อยให้วิญญาณผู้ไว้ใจในพระองค์ ต้องพินาศไปเลย” (สดด. 73, 19) ข้าแต่พระองค์ผู้พระทัยดีข้าพเจ้าเป็นทุกข์ตรอมใจเพราะได้ทำเคืองพระทัย ข้าพเจ้ายอมรับว่าได้ทำผิดไปแล้ว และตั้งใจดัดแปลงกิริยา แต่หากพระองค์ไม่ทรงประทานพระหรรษทานช่วย ข้าพเจ้าก็จะต้องพบกับความพินาศแน่แท้ พระเยซูเจ้าข้าโปรดทรงพระกรุณารับกบฎ ผู้ได้ทรยศต่อพระองค์ผู้นี้เถิด ของทรงคิดเสียว่าพระองค์ได้ทรงไถ่ข้าพเจ้าด้วยพระโลหิต และพระชนม์ชีพของพระองค์เอง โปรดเห็นแก่พระบารมีแห่งพระมหาทรมาน และการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ทรงกรุณารับข้าพเจ้าไว้ในอ้อมพระหัตถ์ และโปรดประทานให้ข้าพเจ้าดำรงอยู่ในความดี เมื่อข้าพเจ้ากำลังจะพินาศอยู่แล้ว พระองค์ยังได้ทรงเรียกข้าพเจ้ากลับมา บัดนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ยอมขัดขืนอีกต่อไป ขอมอบตัวข้าพเจ้าแด่พระองค์ โปรดล่ามข้าพเจ้าไว้กับความรักของพระองค์ อย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าต้องพินาศไป โดยสูญเสียพระหรรษทานของพระองค์อีกเลย พระเยซูเจ้าข้า ขออย่าทรงปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเลย พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระนางมารีอา พระบรมราชินีของข้าพเจ้า ขออย่าทรงปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเลย โปรดให้ข้าพเจ้าตายเสียเถิด ตายเสียสักพันครั้ง ยังดีกว่าจะเสียพระหรรษทานแห่งพระปิยบุตรของท่าน


 

3. ใครมีเวลา จงอย่าคอย

        สำคัญมากนะ ที่พระเป็นเจ้าทรงขู่บ่อย ๆ ว่า : จะให้คนบาปตายร้าย “เมื่อนั้น เขาจะเรียกหาเรา แต่เราจะไม่ขาน” (สภษ. 1, 28) พระเป็นเจ้าจะทรงฟังเสียงเขาตกทุกข์ได้ยากกระนั้นหรือ? (โยบ. 27, 9) หามิได้ “เราจะหัวเราะความฉิบหายของเขา เราจะเยาะเอา” (สภษ. 1, 26) การหัวเราะของพระเป็นเจ้า คือ การไม่ทรงพระกรุณานั่นเอง (7) “การแก้แค้นเอาไว้เป็นธุระเราเอง เราจะสนองตามความยุติธรรมเมื่อถึงเวลา คราวเมื่อเท้าของเขาจะเซซวน” (ฉธบ. 32, 35)

        พระเป็นเจ้าได้ทรงประกาศไว้ดังนี้ ในพระคัมภีร์ตอนอื่น ๆ อีกมากมายถึงกระนั้นคนบาปก็ยังกินอยู่อย่างสุขสบาย คล้ายกับมั่นใจว่า พระเป็นเจ้าได้ทรงสัญญากับเขาอย่างจริงจังว่า เมื่อเขาจะตาย พระองค์จะทรงอภัยบาป และให้เขาไปสวรรค์ จริงอยู่ หากคนบาปกลับใจ ไม่ว่าเป็นเวลาใด พระเป็นเจ้าก็ทรงสัญญาว่าจะอภัยบาปให้ทั้งนั้น แต่ที่สำคัญพระเป็นเจ้ามิได้ทรงสัญญาว่า คนบาปจะกลับใจเมื่อตาย ตรงข้ามพระองค์กลับทรงยืนยันเป็นหลายครั้งหลายคราวว่า “ใครเจริญอยู่ในบาป ก็จะตายในบาป” (โยบ. 8, 21-24) พระองค์ยังตรัสว่าแสวงหาพระเป็นเจ้า ในคราวที่จะไม่พบเรา” (ยน.7, 34) ฉะนั้นชาวเราจึงต้องแสวงหาพระเป็นเจ้า ในคราวที่จะสามารถพบพระองค์ได้ (อสย. 55, 6) แน่ละ! เพราะจะมีเวลาหนึ่งที่จะพบพระองค์ไม่ได้! น่าสงสารคนบาป น่าสงสารคนคนตาบอดที่ต้องการจะกลับใจขณะเมื่อจะตาย เพราะว่าเวลานั้นไม่ใช่เวลาสำหรับจะกลับใจ! ท่านโอเลอาสโตร กล่าวว่า “พวกคนอธรรม ไม่รู้จักสร้างความดีแต่เมื่อไม่มีเวลากลับอยากสร้าง” (8) เป็นความจริง พระเป็นเจ้าทรงประสงค์ให้ทุกคนเอตัวรอด แต่พระองค์ก็ทรงลงพระอาชญาแก่คนใจกระด้างด้วย

        สมมุติว่า ผู้เคราะห็ร้ายคนหนึ่งกำลังอยู่ในบาป และเผอิญมีอันเป็นไปโดยเป็นลมไม่รู้ตัว ผู้พบเห็นต่างรู้สึกเวทนา ที่เขาตายไปโดยมิได้รับศีลรับพร และมิได้แสดงให้ปรากฏว่าสำนึกตนกลับใจ ทีนี้สมมุติว่า เขาฟื้นขึ้น ขอแก้บาปแสดงความทุกข์ออกมาภายนอก ทุก ๆ คนก็ต่างโล่งใจ มันไม่ใช่เป็นความบ้าหรอกหรือ เมื่อเรามีเวลาจัดมโนธรรมให้เรียบร้อย แต่ก็ปล่อยให้ตัวตกอยู่ในสภาพบาปต่อไป มิหนำซ้ำยังเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งไม่ใช่อื่นไกล คือ การตั้งตนอยู่ในภัยอันตราย โดยที่บางทีก็จะได้แก้บาปก่อน บางทีก็ไม่ได้? ใคร ๆ ต่างรู้สึกสะดุ้งกลัว เมื่อเห็นคนตายปัจจุบัน แต่มีคนเป็นจำนวนมากที่จงใจประพฤติตัวให้อยู่ในภัยจะตายอย่างปัจจุบันและตายไปในบาป !

        “พระสวามีเจ้าทรงชั่งทุกสิ่ง ด้วยตราชูอันเที่ยงตรง” (สภษ. 16, 17) คนเราไม่สู้จะคิดถึงพระหรรษทานที่พระสวามีเจ้าทรงประทานให้ แต่พระสวามีเจ้าผู้ทรงเป็นผู้ชั่ง พระองค์ทรงคิดถึงเรื่องนี้ และเมื่อทรงเห็นว่า เราประมาทพระคุณของพระองค์จนถึงขีดกำหนด เมื่อนั้นแหละ จะทรงปล่อยให้เราอยู่ในบาป และให้ตายไปดังนั้น

        กรรมของผู้ที่ต้องการกลับใจเมื่อจะตาย ! นักบุญ เอากุสตินกล่าวว่า “การกลับใจและแก้บาป ที่คนไข้ร้องขอ มันก็คือการกลับใจชนิดเป็นไข้นั่นเอง” (9) นักบุญฮีเอโรนีโมเสริมว่า “ในคนบาปแสนคนที่ดื้ออยู่ในบาปจนถึงเวลาตายแทบไม่มีสักคน เอาตัวรอด” (10) และนักบุญ วินแชนซีโอ แฟร์เรารีกล่าวต่อว่า “การที่คนบาปคนหนึ่ง ในจำพวกดังกล่าว เอาตัวรอดได้ นับว่าเป็นอัศจรรย์ใหญ่กว่าการปลุกคนตายให้กลับคืนชีพเสียอีก” (11)

        ผู้จดจ่ออยู่ในบาปจนถึงเวลาตายจะเป็นทุกข์ จะเสียใจในเวลานั้นได้อย่างไร? ท่านแบลลาร์มีโน (*) เล่าว่า ท่านได้ไปที่บ้านที่คนไข้ และเตือนให้เขาสวดบทแสดงความทุกข์ เขาตอบว่า เขาไม่รู้ว่าความทุกข์คืออะไร ท่านก็พยายามอธิบาย แต่คนไข้ก็ว่า “คุณพ่อ ผมไม่เข้าใจ ผมทำดังนั้นไม่เป็น” พูดแล้วก็ตายไปดังนี้ “มันเป็นเครื่องชี้แสดงว่า เขาไปนรก” เรื่องที่เล่านี้ ท่านแบลลาร์มีโนเองเป็นผู้บันทึกไว้ นักบุญเอากุสติน กล่าวว่า “เป็นอาชญาโทษที่ยุติธรรมสำหรับคนบาปแล้ว ให้เขาลืมตัวเอง ขณะตาย เพราะเขาได้ลืมพระเป็นเจ้าขณะมีชีวิตอยู่”

        นักบุญเปาโล เตือนใจเราว่า “ท่านอย่าหลง จะล้อพระเป็นเจ้าเล่นไม่ได้คนเราหว่านอะไร ก็จะเก็บเกี่ยวผลอันนั้น ฉะนั้น ใครหว่านในเนื้อหนัง ก็จะเก็บเกี่ยวความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนัง” (กท. 6, 7-8) มันเป็นการเย้ยพระเป็นเจ้าเล่นที่จะดำรงชีพ หมิ่นประมาทพระบัญญัติของพระองค์ แล้วคอยรับรางวัล รับเกียรติมงคลตลอดนิรันดร แต่ ระวัง! “จะล้อพระเป็นเจ้าเล่นไม่ได้” ท่านหว่านอะไรในชีวิตนี้ ท่านจะได้รับผลอันนั้น ในชีวิตหน้า ใครหว่านความสนุกสนาน ทางเนื้อหนังที่ต้องห้าม คนนั้นก็จะเก็บผลแต่ความเปื่อยเน่า ความทุพพลภาพความตายชั่วนิรันดร

        คริสตชนที่รัก ที่พูดมาสำหรับผู้อื่น ก็พูดไว้สำหรับท่านด้วย ไหน ! ท่านลองบอกทีว่า หากท่านจะตายในขณะนี้ สมมุติว่าหมอทิ้งท่านแล้ว ท่านไม่รู้ตัวแล้วท่านกำลังเจ้าตรีทูต ท่านจะทำอะไร ท่านจะอ้อนวอนเล่า ขอพระเป็นเจ้าโปรดต่ออายุของท่านอีกหนึ่งเดือน อีกหนึ่งสัปดาห์ จะได้จัดมโนธรรมให้เรียบร้อย ใช่ไหม? ก็ในบัดนี้ พระเป็นเจ้ายังทรงประทานเวลานั้นแก่ท่านอยู่จงขอบพระคุณพระเจ้าเถิด แล้วให้เร่งแก้ไขความผิดที่ได้ประกอบขึ้น จงใช้วิธีการทุกอย่างทุกประการ ที่จะทำให้ท่านดำรงอยู่ในพระหรรษทานเมื่อเวลาจะตายเถิด เพราะว่า เมื่อนั้น จะไม่มีเวลาแก้ไขได้อีกต่อไปแล้ว!

        ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        อา ! พระเป็นเจ้า ใครเล่าได้เพียรทนข้าพเจ้าเท่าเสมอพระองค์ ! หากพระทัยดีของพระองค์จะมีขอบเขตแล้ว บัดนี้ ข้าพเจ้าจะต้องเสียใจ หมดหวังที่จะได้รับอภัยบาปเป็นแน่แท้ เดชะบุญ เป็นพระองค์ พระเป็นเจ้าผู้ยอมตายเพื่อยกบาปและช่วยให้ข้าพเจ้ารอด พระองค์ทรงสั่งให้ข้าพเจ้าวางใจหรือ? ข้าพเจ้าก็วางใจ แม้บาปจะทำให้ข้าพเจ้าหวาดหวั่นและตำหนิติโทษข้าพเจ้า แต่ก็พระทัยดีและคำมั่นสัญญาของพระองค์ มีฤทธิ์ กระตุ้นเตือนให้ข้าพเจ้าวางใจ พระองค์ทรงสัญญาจะประทานพระหรรษทานแก่ผู้ที่กลับใจมาหาพระองค์ว่า “จงกลับใจและมีชีวิตเถิด” (อสค. 18, 32) พระองค์ทรงสัญญาจะสวมกอดผู้กลับมาหาพระองค์ว่า “จงหันมาหาเราและเราจะหันไปหาท่าน” (ศคย. 1, 3) พระองค์ยังได้ตรัสว่าพระองค์ไม่ทรงรู้จักดูแคลนดวงใจที่ตรมตรอม และถ่อมตน (สดด. 50, 19) ฉะนั้น พระสวามีเจ้าข้า ข้าพเจ้าจึงกลับมาหาพระองค์ ข้าพเจ้าจึงหันมาหาพระองค์ขอสารภาพว่า ข้าพเจ้าสมจะไปนรกตั้งพันครั้งมาแล้ว แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ตรอมใจเพราะได้ทำบาปให้เคืองพระทัย ขอตั้งสัตย์ปฏิญญาว่า ต่อไปจะไม่ทำดังนี้อีก แต่จะรักพระองค์เสมอไป อา! ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทำใจดำต่อพระองค์อีกเลย พระเจ้าข้า ข้าแต่พระบิดาผู้สถิตสถาพรตลอดนิรันดร โปรดเห็นแก่พระบารมีคววามนอบน้อมของพระเยซูคริสต์ผู้ได้ทรงนอบน้อมจนสิ้นพระชนม์และโปรดให้ข้าพเจ้ารู้จักนอบน้อมต่อพระองค์ในทุกสิ่งทุกอย่าง ขอประทานความก้าวน้าในความดี และความรักต่อพระองค์เถิด นอกนั้นข้าพเจ้าไม่ขออะไรอีกแล้ว พระเจ้าข้า

        ข้าแต่พระแม่มารีย์ โปรดเหนอวิญญาณเพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด


 

(1) Contra spem in spem credidit. (Rom. 4, 18).
(2) Turbabuntur populi, et pirtransibunt (Job 34, 20)
(3) Replebuntur domus eorum draconibus (Is. 13, 21).
(4) Opera tua sumus, non te deserimus.
(5) Qui prius a peccato relinquitir quam ipse relinquat; non libere, sed a nessessitate condemnat.
(6) Hoc teneo, hoc multiplici experiential didici, quod ei non bonus est finis, cui mala simper vita fuit, cui  
    mala simper vita fuit. (In Epist Eusebii ad Dam.).
(7) Ridere Dei est nolle misereri. (S. Greg.).
(8) Impii nusquam didicerunt beneficare, nisi cum non sit temps bene facendi.
(9) Poenitentia, quae ab infirmo petitur, infirma est (Serm. 255 E.B.).
(10) Vix de centum millibus, quorum mala vita fuit, meretur in morte a Deo indulgentiam unus. (S. Hier in epist. Euseb. de morte ejusd.).
(11) Majus miraculum est, quod male viventes faciant bonum finem, quam suscitare mortuos.
(*) ท่าน แบลลาร์มีโน ถูกสถาปนาเป็นนักบุญ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 1930.
(**) เมื่อว่า “ท่านอัครสาวก” เฉย ๆ หมายถึงนักบุญเปาโลเสมอ.

 

 

book

บทที่ 06 "ความตายของคนบาป"