Skip to main content

เตรียมเผชิญ

ค ว า ม ต า ย

บทที่ 09 "สันติสุขของผู้ใคร่ธรรมเมื่อเวลาจะตาย"

book

1. ผู้ใคร่ธรรมปราศจากความหวาดกลัว

            “บรรดาวิญญาณของผู้ใคร่ธรรมอยู่ในพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า” ก็เมื่อพระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้กำวิญญาณของผู้ใคร่ธรรมไว้ในพระหัตถ์ดังนี้แล้ว ใครหนอจะมาแย่งชิงออกจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้? จริงอยู่นรกจะคอยมาเฝ้าประจญรุกรานแม้ผู้ใจศรัทธา เมื่อท่านใกล้จะตาย แต่พระเป็นเจ้าก็จะไม่ทรงหยุดพิทักษ์รักษาท่านเหมือนกัน นักบุญอัมโบร์ กล่าวว่า “เมื่อมีภัยอันตรายมาก พระองค์ก็ทรงประทานความช่วยเหลือทวีมากขึ้น แก่ข้าบริการที่สัตย์ซื่อต่อพระองค์” (1) กษัตริย์ดาลิด ก็ได้ทรงยืนยันเรื่องนี้เหมือนกันว่า “พระสวามีเจ้า... ทรงช่วยเหลือในเวลาที่เหมาะสม” (สดด. 9, 10) คราวเมื่อคนใช้ของ เอลีเซโอ แลเห็นพวกศัตรูมาล้อมเมือง เขาก็ตกใจ แต่ท่านนักบุญเตือนสติว่า “อย่ากลัว ฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา” (2 พกษ 6, 16) แล้วท่านก็ชี้ให้เขามองดูกองทัพนิกรเทวดา ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงใช้มาช่วยป้องกัน

            แน่นอน ปีศาจมาประจญล่อลวง แต่อารักขเทวดาก็จะมาต้านทาน เป็นกำลังช่วยเหลือผู้ใกล้จะตายเหมือนกัน บรรดานักบุญองค์อุปถัมภ์ก็จะมา นักบุญมีคาแอล ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยป้องกัน ข้าบริพารที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ในการสู้รบครั้งสุดท้ายก็จะมา พระมารดาของพระเป็นเจ้าก็จะเสด็จมากำจัดศัตรู ด้วยทรงเอาเสื้อของพระนางคลุมตัวข้าบริการผู้ภักดีไว้และเฉพาะอย่างยิ่ง พระเยซูคริสต์เองก็จะเสด็จมาคุ้มครองป้องกันภัยแก่ลูกชุมพาผู้ปราศจากมลทิน หรือผู้ได้เป็นทุกข์กลับใจแล้วซึ่งพระองค์ได้ทรงพลีพระชนม์ชีพเพื่อความรอดของเขา: พระองค์จะทรงโปรดให้เขามีความวางใจ และพละกำลังเท่าที่ต้องาการสำหรับรณรงค์ครั้งสุดท้ายนั้น เขาจึงจะร้องประกาศด้วยใจกล้าหาญว่า “พระสวามีเจ้าเสด็จมาช่วยฉันแล้ว” (สดด. 29, 11) “พระสวามีเจ้าทรงเป็นความสว่าง และเป็นความรอดของฉัน ฉันจะต้องกลัวใคร?” (สดด 26, 1) ท่านโอรีเชแนสกล่าวว่า “พระเป็นเจ้าทรงเอาใจใส่เรื่องความรอดของเรามากกว่าปีศาจเกลียดเรามากนัก” (2) นักบุญเปาโลกล่าวว่า “พระเป็นเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านถูกประจญ เกินกำลังของท่านไปได้” (1 คร. 10, 13) อาจมีผู้ค้านว่า: มีคนใจศรัทธาจำนานมากที่เมื่อจะตายรู้สึกสะดุ้งกลัวในเรื่องความรอดของตน ขอตอบว่า: จริง, แต่มีตัวอย่างน้อยที่บุคคลผู้ได้บำเพ็ญชีพอย่างศรัทธา แล้วเมื่อคราวจะตาย รู้สึกตกใจกลัวมาก ท่านวินแชนซีโอ ชาวโบแวส ออกความเห็นว่า “ที่พระเป็นเจ้าทรงปล่อยให้บางคนรู้สึกเช่นนั้นก็เพื่อจะให้เขาชำระมลทินบางประการให้หมดสิ้นในคราวที่จะตายนั้น” (3) นอกนั้นในประวัติของข้าบริการของพระเป็นเจ้าแทบทุกท่าน เราพบเห็นว่า ท่านตายด้วยอาการสงบและยิ้ม มนุษย์ทุกคน เมื่อคราวจะตาย ย่อมกลัวการพิพากษาของพระเป็นธรรมดา แต่สำหรับคนบาปจากความกลัว เจาถลำลงไปสู่ความเสียใจ สำหรับนักบุญ จากความกลัว ท่านก้าวไปสู่ความไว้ใจ นักบุญ อันโตนีโน เล่าว่า : เมื่อนักบุญ เบอร์นาร์ด ป่วย ท่านรู้สึกกลัวและถูกประจญให้เสียใจ แต่แล้ว เมื่อท่านระลึกถึงพระบารมีของพระเยซูคริสต์ท่านก็กำจัดความกลัวได้สิ้นเชิง และกล่าวว่า “บาดแผลของพระองค์คือ บุญกุศลของข้าพเจ้า” (4) นักบุญ ฮีลารีโอก็กลัวเหมือนกัน แต่แล้ว ท่านก็พูดด้วยหน้าชื่นตาบานว่า “ออกไปเถอะ วิญญาณข้าพเจ้า เกือบเจ็ดสิบปีแล้วเจ้าได้ปรนนิบัติพระคริสต์เจ้า เจ้ายังจะกลัวตายอีกหรือ?” (5) ท่านประสงค์จะพูดว่า: วิญญาณข้าเจ้าเอ๋ย เจ้ากลัวอะไร? เจ้าได้ปรนนิบัติพระเป็นเจ้าผู้ทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งบุคคลที่ได้ปรนนิบัติพระองค์โดยซื่อสัตย์สุจริตในชีวิตนี้ มีผู้ถามคุณพ่อ ยอแซฟ สกามักกาคณะเยสุอิต ก่อนท่านจะถึงแก่มรณภาพว่า: ในการตายนี้ ท่านมีความหวังหรือไม่?-ท่านตอบว่า “อะไรกัน! ฉันนับถือพระมะหะหมัดหรือนี่? ทำไมในบัดนี้ ฉันจะต้องสงสัยในพระทัยดีของพระเป็นเจ้าว่า พระองค์จะทรงปรารถนาให้ฉันเอาตัวรอดหรือไม่?”

            หากว่า เมื่อใหล้จะตาย เราจะถูกรบกวนให้คิดถึงความผิดที่ได้ทำต่อพระเป็นเจ้าแต่หนหลังนั้น จงตระหนักเถิดว่า พระเป็นเจ้าได้ทรงยีนยันว่า พระองค์จะทรงลืมบาปของคนที่เป็นทุกข์กลับใจ “หากคนอธรรมทำการใช้โทษ เราจะลืมบาปทั้งสิ้นที่เขาได้กระทำ” (อสค. 14 21-22) บางคนจะถามว่า “จะรู้แน่อย่างไรว่าพระเป็นเจ้าได้ทรงยกบาปแก่ฉันแล้ว?” ปัญหานี้ นักบุญบาซิลก็ได้ถาม (6) และท่านก็ตอบว่า “ก็เมื่อพูดได้ว่า ฉันเกลียดบาป ฉันสาปแช่งบาป” (7) ฉะนั้นผู้ใดเกลียดบาป ผู้นั้นก็แน่ใจได้ว่า พระเป็นเจ้าทรงยกบาปให้แก่ตนแล้ว เหตุว่า ดวงใจของมนุษย์จะอยู่เฉย ๆ โดยไม่รักอะไรสักอย่างไม่ได้ จึงจะรักสัตว์โลก หรือรักพระเป็นเจ้า ไม่อย่างใด ก็อย่างหนึ่ง ก็ถ้าไม่รักสัตว์โลก ก็เป็นอันว่า รักพระเป็นเจ้า และใครเล่า เป็นผู้ที่รักพระเป็นเจ้า? “ผู้ที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระเองค์ (ยน. 14, 21) เป็นอันว่า ผู้ใดตายขณะกำลังประพฤติตามพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า ผู้นั้นก็ตาย ขณะกำลังรักพระองค์ และผู้ใดรักพระเป็นเจ้า ผู้นั้นก็ปราศจากความกลัว (8)

              ข้อเตือนใจและคำภาวนา

            อา! พระเยซู้เจ้าข้า เมื่อไรหนอ จะถึงวันที่ข้าพเจ้ากราบทูลพระองค์ได้ว่า: พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเสียพระองค์ไม่ได้ต่อไปแล้ว? เมื่อไรหนอ ข้าพเจ้าจะได้แลห็นพระองค์ “อย่างหน้าต่อหน้า” และจะได้รักพระองค์ด้วยสิ้นสุดความสามารถอย่างแน่วแน่ตลอดทั้งชั่วนิรันดร อา! องค์คุณงามความดีที่ล้นพ้นเจ้าข้า พระองค์คือความรักแต่อันเดียวของข้าพเจ้า ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ยังอยู่ในภัยจะทำผิดต่อพระองค์ และจะเสียพระหรรษทานของพระองค์ได้อยู่ตราบนั้น ก่อนนี้ในช่วงเวลาหนึ่ง ข้าพเจ้ามิได้รักพระองค์ ทั้งได้ดูหมื่นความรักของพระองค์ แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ด้วยสิ้นสุดวิญญาณ และหวังว่า พระองค์ได้ทรงอภัยบาปแก่ข้าพเจ้าแล้ว ขณะนี้ ข้าพเจ้ารักพระองค์ด้วยสุดดวงใจ และปรารถนาจะรักพระองค์ จะทำแต่ที่ชอบพระทัย และทั้งนี้ด้วยสุดความสามารถ พระเจ้าข้า อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้ายังอยู่ในภัยจะไม่รักพระองค์จะหันหลังให้พระองค์ได้อีก อา! พระเยซูเจ้าข้า พระองค์คือชีวิตของข้าพเจ้าขุมทรัพย์ของข้าพเจ้า ขออย่างทรงปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเลย! หากทรงเห็นว่าข้าพเจ้าจะประสบเคราะห์กรรมดังนั้นอีก โปรดให้ข้าพเจ้าตายเสียในวืนาทีนี้เถิดตายอย่างลำบากเท่าไร ๆ ก็สุดแต่พระองค์จะทรงเห็นควร ข้าพเจ้าขอน้อมรับและวิงวอนขอด้วย พระเจ้าข้า ข้าแต่พระบิดาผู้สถิตสถาพรตลอดนิรันดร ด้วยเดชะความรักของระองค์ต่อพระเยซูคริตโต โปรดอย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าต้องประสบความพินาศอันยิ่งใหญ่นั้นเลย! ขอให้ลงโทษข้าพเจ้าตามแต่ชอบพระทัยเถิดขอเพียงให้ข้าพเจ้าพ้นเสียจากพระอาชญาโทษอันนั้น คือการเสียพระหรรษทานและการปราศจากความรักต่อพระองค์เท่านั้น พระเจ้าข้า พระเยซูเจ้าข้า โปรดมอบข้าพเจ้าไว้กับพระบิดาของพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า

            ข้าแต่พระแม่มารีอา โปรดมอบตัวข้าพเจ้าไว้กับพระบุตรของท่านโปรดทูลวิงวอนเพื่อให้ข้าพเจ้าได้เจริญชีวิตอยู่ในมิตรภาพของพระองค์ และในความรักของพระองค์ด้วยเถิด นอกนั้นพระองค์จะทรงทำอย่างไรต่อข้าพเจ้าก็สุดแล้วแต่จะทรงโปรดเถิด


2. ผู้ใคร่ธรรมเปี่ยมด้วยความบรรเทา

            “บรรดาวิญญาณของผู้ใคร่ธรรมอยู่ในพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า และความทุกข์ทรมานแห่งความตายจะไม่อาจพ้อพานท่านได้ ท่านปรากฏต่อตาคนโฉดเขลาว่าตายเสียแล้ว...แต่ที่แท้ ท่านเจริญอยู่ในสันติสุข” (ปชญ 3, 1-3) ตาของคนโฉดเขลา มองเห็นเหมือนว่าข้าบริการของพระเป็นเจ้า ตายไปอย่างโศกสลดและตายไปด้วยจำใจ อย่างเช่นคนใจโลกตา แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่พระเป็นเจ้าทรงรู้จักบรรเทาใจบุตรของพระองค์ในขณะที่เขาจะตาย และแม้ในท่ามกลางความปวดร้าวของความตาย พระองค์ทรงโปรดให้เขารู้สึกปลาบปลื้มยินดี ราวกับว่ากำลังลิ้มรสสวรรค์ ซึ่งจะทรงประทานให้ในไม่ช้านั้นก่อนแล้วคนที่ตายในบาป แม้เมื่อยังนอนป่วย เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานในนรกรู้สึกกลัดกลุ้มวุ่นวาย หวาดกลัว และเสียใจ ฉันใด ตรงกันข้าม บรรดานักบุญเพราะท่านแสดงความรักต่อพระเป็นเจ้าขณะนั้นบ่อยกว่าคราวปกติ เพราะท่านปรารถนาและหวังจะได้พระเป็นเจ้าในไม่ช้า ดังนั้นเมื่อก่อนจะตาย ท่านก็เริ่มรู้สึกถึงความสุข อันจะได้รับอย่างเต็มที่ในสวรรค์ ณ เวลานั้นก่อนแล้ว ฉันนั้น ความตายสำหรับนักบุญ หาใช่เป็นอาชญาโทษไม่ แต่เป็นบำเหน็จรางวัลต่งหาก “เมื่อพระองค์จะทรงโปรดให้คนที่รักของพระองค์หลับ นั่นแหละคือ ชิ้นมรดกของพระองค์” (สดด. 126, 2-3) ความตายสำหรับผู้ที่รักพระเป็นเจ้าไม่ใช่ความตายแต่เป็นการหลับ เพราะเหตุที่เขาผู้นั้นอาจจะพูดได้ว่า “ฉันจะหลับ และจะพักผ่อนในสันติสุขของพระสวามีเจ้า” (สดด.4, 9)

            คุณพ่อ ซูอาแรส ได้มรณะอย่างสงบ เมื่อกำลังจะสิ้นใจ ท่านกล่าวว่า “ฉันมิได้เคยนึกฝึกเลยว่า ความตายจะอ่อนหวานเช่นนี้” (9) พระคาร์ดินัล โบโรนีโอ เมื่อแพทย์เตือนว่า ไม่ควารคิดถึงความตายให้มากนัก ท่านก็ตอบว่า “คุณหมอคิดว่าฉันกลัวความตายกระมัง? ฉันไม่กลัวมันหรอก ฉันรักมัน” โซนเดอร์ส เล่าว่า: พระคาร์ดินัล พีเชอร์ (*) (พระสังฆราชแห่งโรเวสเตอร์) ก่อนจะไปสู่ที่ประหารเพราะความเชื่อ ท่านให้คนใช้เอาเสื้อนอกตัวดีที่สุดมาให้ท่านใส่ บอกว่าท่านกำลังไปงานวิวาหะมงคล แต่พอแลเห็นที่ประหาร ท่านก็โยนไม้เท้าทิ้ง พูดว่า “ท่านเจ้าเอ๋ย เดินไปเองเถิด เร็ว ๆ เข้า เราอยู่ใกล้สวรรค์แล้ว” (10) เมื่อก่อนจะมรณะ ท่านสวด “เต เดอุม” สมนาคุณพระเป็นเจ้าที่ได้ทรงโปรดให้ท่านตายเป็นมาร์ตีร์เพื่อความเชื่อ; แล้วท่านได้วางศีรษะรับคมขวานด้วยอาการร่าเริงนักบุญฟรังซีส อัสซีซี เมื่อจะสิ้นใจได้ร้องเพลงและชวนเพื่อนให้ขับร้องด้วยภราดา เอวีอาส จึงว่า “คุณพ่อเมื่อจะตายอยู่แล้วต้องร้องไห้ ไม่ใช่ร้องเพลง” แต่ท่านนักบุญกลับตอบว่า “สำหรับพ่อ จะทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากขับร้อง ในเมื่อพ่อแลเห็นว่า ในไม่ช้าพ่อจะได้ไปพบพระพักตร์ของพระเป็นเจ้า” ภคินี เทเรซีอานา เมื่อใกล้จะตาย ขณะที่ยังเป็นสาวอยู่เพื่อนภคินีต่างพากันมาร้องไห้รอบข้างเธอจึงว่า “เป็นอะไรหรือ? ร้องไห้ทำไม? ฉันจะไปหาพระเยซูคริสต์ผู้ที่ฉันรักหากพวกเธอรักฉัน โปรดร่วมใจยินดีกับฉันเถิด” (11)

            ท่านเฮนรีกรันเล่าว่า นายพรานผู้หนึ่ง ไปพบบุรุษผู้หนึ่งอยู่คนเดียวในป่า เป็นโรคเรื้อนมีแผลทั้งตัว ขณะนั้นกำลังจะตายอยู่แล้ว แต่ก็ร้องเพลง เขาจึงถามว่า “ไฉนท่านเป็นอย่างนี้แล้ว ยังร้องเพลงได้?” ฤษีผู้นั้นก็ตอบว่า “พี่ร่างกายของฉันนี้เท่านั้นที่เป็นกำแพงกั้นฉันกับพระเป็นเจ้า ก็บัดนี้ ฉันเห็นว่ามันกำลังหลุดออกทีละชิ้นๆ คุกแทบจะพังอยู่แล้ว ไม่ช้าฉันจะได้แลเห็นพระเป็นเจ้าฉันจึงรู้สึกดีใจ และขับร้อง” ความปรารถนาใคร่จะเห็นพระเป็นเจ้านี้เอง ทำให้นักบุญ อิกญาซีโอ มาร์ตีร์ ถึงกับพูดว่า “หากสัตว์ร้ายไม่มาปลิดชีวิตของฉัน ฉันเองจะยั่วให้มันมาขบกินฉัน” (12) นักบุญ คัทเธอรีน แห่งซีเอนาทนไม่ไหวเมื่อเห็นบางคนกล่าวว่า ความตายเป็นเคราะห์กรรม เธอจึงกล่าวว่า “ความตายที่รักเจ้าเอ๋ย เขาช่างมองดูเจ้า ในแง่ร้ายเสียนี่กระไร! ทำไมหนอ เจ้าจึงไม่มาหาข้า ผู้เรียกร้องหาเจ้าทุกคืนวัน” (13) นักบุญเทเรซา ก็อยากตายเสียเหลือเกินท่านถึงกับถือว่า การไม่ตายคือความตาย เพราะคิดเช่นนี้ ท่านจึงนิพนธ์เพลงที่มีชื่อเสียงบทหนึ่งว่า “ฉันตาย เพราะฉันไม่ตาย!” ความตายสำหรับนักบุญเป็นดังนี้แหละ!

             ข้อเตือนใจและคำภาวนา

            อา! องค์คุณงามความดีที่ล้นพ้น พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าเอ๋ย ในกาลก่อนข้าพเจ้ามิได้รักพระองค์ แต่บัดนี้ข้าพเจ้าหันมาหาพระองค์แล้ว ข้าพเจ้าขอสละสัตว์โลกทั้งสิ้น และเลือกรักพระองค์ พระสวามีที่น่ารักอย่างยิ่งแต่ผู้เดียว โปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า พระองค์ทรงประสงค์สิ่งใด ข้าพเจ้าจะกระทำสิ่งนั้นชีวิตที่ข้าพเจ้ายังเหลืออยู่นี้ ข้าพเจ้าขอพลีเพื่อทำตามน้ำพระทัย โปรดประทานพละกำลังให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ ทดแทนความอกตัญญูซึ่งข้าพเจ้าได้แสดงต่อพระองค์จนกระทั่งบัดนี้เถิด ข้าพเจ้าควรจะถูกเผาอยู่ในนรกแต่หลายปีมาแล้ว แต่พระองค์ได้ทรงไล่ตาม จนในที่สุดพระองค์จึงได้ทรงดึงข้าพเจ้าให้เข้ามาหาพระองค์ได้ บัดนี้ขอให้ข้าพเจ้าถูกเผาด้วยความรักต่อพระองค์เถิด พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระทัยดีหาขอบเขตมิได้ ข้าพเจ้ารักพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ผู้เดียว ก็สมควรนักหนาแล้ว เพราะว่ามีใครอีกเล่าที่ได้รักข้าพเจ้าเท่าเสมอพระองค์ พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้ที่น่ารักข้าพเจ้าจึงขอรักเฉพาะพระองค์ผู้เดียว ข้าพเจ้าตั้งใจจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่สามารถ เพื่อให้เป็นที่ชอบพระทัย พระเจ้าข้า พระองค์จะทรงทำอย่างไรต่อข้าพเจ้าก็สุดแล้วแต่จะทรงโปรดเถิด การที่ข้าพเจ้ารักพระองค์และพระองค์ทรงรักข้าพเจ้า เท่านี้ก็อิ่มใจข้าพเจ้าหนักหนาแล้ว พระเจ้าข้า

            ข้าแต่พระนางมารีอา ช่วยข้าพเจ้าด้วย โปรดวิงวอนพระเยซูเพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด


 

3. ผู้ใคร่ธรรมได้ลิ้มรสสวรรค์ก่อนตาย

            นักบุญ ชีปรีอาโน กล่าวว่า “ผู้ที่หวังว่า เมื่อตายแล้ว จะได้รับมงกุฎเป็นพระราชาในสวรรค์ ผู้นั้นจะกลัวความตายได้อย่างไร?” (14) จะกลัวความตายไปไย เมื่อรู้ว่าได้ตายและอยู่ในพระหรรษทานแล้ว ร่างกายของตนจะกลายเป็นสิ่งไม่รู้ตาย? (15)  ทั้งนี้เป็นไปตามที่ท่านอัครสาวกได้กล่าวว่า “ผู้ใดรักพระเป็นเจ้าและปรารถนาจะแลเห็นพระองค์ ผู้นั้นย่อมถือว่า ชีวิตเป็นของขื่นขม และความตายกลับเป็นของชื่นชม” (16) นักบุญโทมัส แห่ง วิลลานอวา “หากความตายพบใครกำลังหลับอยู่ มันก็ย่องมาเหมือนขโมย แย่งชิงฆ่าฟัน แล้วก็โยนเขาทิ้งในขุมนรกแต่ถ้ามันพบใครกำลังตื่นเฝ้า มันก็เข้ามาโค้งคำนับ คล้ายกับเทวทูต และแจ้ ให้ทราบว่า: พระสวามีเจ้ากำลังทรงคอยเขาในงานวิวาหะมงคล มาเถอะมา ฉันจะนำท่านไปยังสถานอันบรมสุข ซึ่งท่านปรารถนา” (17)

            โอ้! ช่างน่าปลื้มใจกระไรหนอ! เมื่อเตรียมพร้อมอยู่ในพระหรรษทาน กำลังคอยความตาย กำลังหวังจะได้แลเห็นพระเยซูคริสต์ในไม่ช้า และจะได้ยินพระองค์ตรัสว่า “คนใช้ที่ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าได้สัตย์ซื่อในเรื่องเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้มีอำนาจในเรื่องใหญ่โต จงเข้ามาสู่ความยินดีแห่งพระสวามีเจ้าของเจ้าเถิด” (มธ. 25, 21) โอ! เมื่อนั้นเขาจะรู้สึกดีใจสักเท่าไร ในการที่ได้ทำการใช้โทษบาปสวดมนต์ภาวนา ตัดใจออกห่างจากทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน และทำทุกสิ่งเพื่อพระเป็นเจ้า! เมื่อนั้นแหละ บุคคลที่ได้รักพระเป็นเจ้าจะได้ชิมผลแห่งการงานอันศักดิ์สิทธิ์ของตน (18) เพราะเหตุนี้เอง คุณพ่อ ฮิปโปลีโต ดูรัสโซ เยซูอิต เมื่อเพื่อนนักบวชของท่านองค์หนึ่งตายไป ทั้งประกอบด้วยสำคัญว่าได้เอาตัวรอดท่านไม่ได้ร้องไห้ แต่กลับยินดีเสียอีก นักบุญ ยวง คริสซอสโตม กล่าวว่า “ช่างเป็นการโง่บัดซบเหลือเกิน เมื่อเชื่อว่ามีสวรรค์ชั่วนิรันดรแล้ว และยังเป็นทุกข์ถึงคนที่ไปสวรรค์อีก! (19) เขาจะรู้สึกชื่นใจเป็นพิเศษอย่างไรหนอ เมื่อจะระลึกถึงการที่เขาได้บำเพ็ญกิจปฏิบัติต่าง ๆ ต่อพระมารดาของพระเป็นเจ้า ระลึกถึงการสวดลูกประคำ การไปเฝ้า การอดอาหารในวันเสาร์ และการเข้าเป็นสมาชิกสายจำพวกของพระแม่เจ้า! เขาจะทูลเรียกพระนางว่า “Virgo Fidelis” (พรหมจาริณีผู้สัตย์ซื่อ) เพราะพระนางทรงสัตย์ซื่อจริง ๆ ในการบรรเทาใจข้าบริการที่สัตย์ซื่อของพระนาง ในคราวเมื่อเขาใกล้จะตายนั้น บุรุษผู้มีใจภักดีต่อพระนางพรหมจาริณีผู้หนึ่ง เมื่อใกล้จะตาย พูดกับ คุณพ่อ บีแนตตี ว่า “คุณพ่อครับคุณพ่อคงไม่อาจเชื่อว่า ผู้ที่ได้มีความภักดีต่อพระแม่เจ้า รู้สึกมีความอิ่มเอิบใจเพียงไร ขณะเมื่อจะตาย! โอ้! หากคุณพ่อจะมองเห็นความยิดีของผม เพราะได้ปรนนิบัติพระแม่เจ้าได้แล้ว! ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายให้คุณพ่อเข้าใจอย่างไรถูก! (19 ซ้ำ) จะรู้สึกตื่นเต้นยินดีเพียงไรหนอ ผู้ที่ได้รักพระเยซูคริสต์ได้ไปเฝ้าและได้รับพระองค์ในศีลมหาสนิทบ่อยๆ เมื่อเขาจะได้แลเห็นพระองค์โปรดเสด็จมาในห้องของเขา โดยศีลเสบียง เพื่อจะได้ทรงเป็นเพื่อนทางนำเขาไปสู่ชีวิตหน้า! ต้องนับว่าเป็นผู้มีบุญจริง ๆ ผู้ที่ขณะนั้น อาจพูดได้อย่างนักบุญฟีลิป เนรี ว่า “นี่แน่ะ องค์ความรักของข้าพเจ้า นี่แน่ะ องค์ความรักของข้าพเจ้า โปรดเอาความรักของข้าพเจ้ามาให้แก่ข้าพเจ้าเถิด”!

            บางท่านจะถามว่า “ใครจะไปรู้ ตัวฉันนี้จะมึโชคอย่างไร? ใครจะไปรู้ในที่สุด ฉันจะตายร้ายหรือเปล่า?” ข้าพเจ้าขอถามท่านผู้พูดดังนี้ว่า “อะไรทำให้คนเราตายร้าย? บาปอย่างเดียวเท่านั้นมิใช่หรือ? ฉะนั้นชาวเราจึงต้องกลัวแต่บาปอย่างเดียว ไม่ใช่จะต้องกลัวความตาย” นักบุญอัมโบรส กล่าวว่า “แน่ละ ไม่ใช่ความตายที่ให้ความตายที่ให้ความขมขื่น แต่บาปต่างหาก เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวความตายแต่ต้องกลัวชีวิต” (20) ท่านต้องการจะไม่กลัวตายใช่ไหม? ก็จงครองชีพให้ดีเถิด “ผู้ที่เกรงกลัวพระสวามีเจ้า (ในขณะนั้น) บั้นปลายเขาจะรู้สึกสบาย และจะได้รับพระพรในวันตาย” (บสร. 1, 13)

            คุณพ่อ ลากอลมบีแอร์ ถือเป็นการแน่ตามหลักศีลธรรม ว่าเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลผู้รักษาความสัตย์ซื่อต่อพระเป็นเจ้าในชีวิตนี้จะตายร้าย นักบุญเอากุสตินก็พูดเช่นนี้ไว้ก่อนแล้วเหมือนกันว่า “ผู้ที่ได้ดำรงชีพอย่างดีจะตายร้ายไม่ได้” (21) ผู้ใดเตรียมตัวเผชิญความตาย ผู้นั้นจะไม่กลัวความตายไม่ว่าชนิดใด แม้ความตายปัจจุบันไม่ทันรู้ตัว (22) เพราะเหตุที่เราจะไปพบพระพักตร์ของพระเป็นเจ้าได้ก็โดยต้องผ่านความตาย ฉะนั้นนักบุญยวงคริสซอสโตม จึงเตือนว่า : สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องคืนแด่พระเป็นเจ้า ชาวเราจงนำมาถวายเป็นบูชาแด่พระองค์เถิด (23) ขอให้ตระหนักไว้ว่า : ผู้ใดถวายความตายของตนแด่พระเป็นเจ้า ผู้นั้นกระทำกิจแสดงความรักต่อพระองค์ชั้นยอดเยี่ยม เท่าที่เขาสามารถจะกระทำได้ เพราะว่าเมื่อเขามีน้ำใจดี ยอมตายตามความพอใจของพระในเวลาและตามอย่างที่พระทรงพอพระทัย เขาก็บูชาตนเองเหมือนบรรดามาร์ตีร์ ผู้ใดรักพระผู้นั้นจะต้องปรารถนาและใฝ่ฝันหาความตาย เพราะว่าความตายนั้นจะทำให้เขาไปร่วมสนิทกับพระเป็นเจ้าตลอดทั้งชั่วนิรันดร และทำให้เขาพ้นจากภัยจะเสียพระองค์ต่อไปผู้ที่ไม่ปรารถนาจะไปเห็นพระเป็นเจ้าโดยเร็ว และไม่ปรารถนาจะพ้นภัยที่จะเสียพระองค์ได้นั้น แสดงว่าเขารักพระเป็นเจ้าน้อย ในระหว่างที่ชาวเรายังมีชีวิตอยู่ก็จงรักพระเป็นเจ้าด้วยสุดความสามารถของเราเถิด ชีวิตของเรานี้ เราต้องใช้เพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น คือ เพื่อเพิ่มความรักต่อพระเป็นเจ้าให้มากขึ้น ๆ ด้วยว่าเมื่อตายเรามีความรักต่อพระองค์เท่าใด ก็จะคงมีความรักต่อพระองค์เท่านั้นตลอดทั้งชั่วนิรันดรในสวรรค์นั้นแล

         ข้อเตือนใจและคำภาวนา

            พระเยซูเจ้าข้า โปรดล่ามข้าพเจ้าไว้กับพระองค์ จนข้าพเจ้าจะปลีกตัวจากพระองค์ไปไหนไม่ได้เถิด พระเจ้าข้า ขอโปรดให้ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของของพระองค์จนหมดสิ้น ก่อนจะถึงแก่ความตายเถิด เพื่อว่า เมื่อข้าพเจ้าจะประสบพระองค์ในคราวแรกพบนั้น พระองค์จะได้ทรงอยู่ในพระอาการสงบ ครั้งก่อนโน้นแม้ข้าพเจ้าได้ถอยหนี พระองค์ก็ยังได้ทรงตามหา บัดนี้ ข้าพเจ้าเข้ามาหาพระองค์แล้ว ขออย่าทรงผลักไสขับไล่ข้าพเจ้าเลย พระเจ้าข้า โปรดทรงพระกรุณายกโทษที่ข้าพเจ้าได้กระทำเคืองพระทัย แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าตกลงใจจะปรนนิบัติและรักพระองค์ พระองค์ได้ทรงมีพระคุณต่อข้าพเจ้าเป็นล้นพ้น ถึงกับได้ทรงพลีพระโลหิตและพระชนม์ชีพเพราะทรงรักข้าพเจ้า! พระเยซูเจ้าข้า ข้าพเจ้าใคร่จะถวายตัวเองเป็นบูชาแด่พระองค์ ดุจเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงถวายบูชาพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าแห่งวิญญาณของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าปรารถนาจะรักพระองค์มาก ๆ ในชีวิตนี้ เพื่อจะได้รักพระองค์มาก ๆ ในชีวิตหน้า ข้าแต่พระบิดา ขอทรงดึงดูดดวงใจของข้าพเจ้าทั้งหมดเข้ามาหาพระองค์ โปรดเฉือนมันให้ขาดจากความรักข้าวของของแผ่นดิน โปรดแทงมันเผามันให้ลุกโชติช่วงด้วยความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ โปรดสดับฟังคำภาวนาของข้าพเจ้าโดยเห็นแก่พระบารมีแห่งพระเยซูคริสต์ด้วยเถิด ขอประทานความคงเจริญในความดี และพระหรรษทานอันข้าพเจ้าเคยวิงวอนเสมอ ๆ นั้นเถิด พระเจ้าข้า

            ข้าแต่พระแม่มารีย์ โปรดเสนอวิงวอนให้ข้าพเจ้าได้รับพระหรรษทานที่จะเจริญชีวิตในความดีจากพระบุตรของท่านเสมอเถิด

(1) Ibi plus auxilii, ubi plus periculi; quia Deus adiutot in opportunitatibus. (De Jos. C. 5).

(2) Maior illi cura est, ut nos ad salutem pertrahat, quam diabolo, ut nos ad damnationem impellit. (Hom.

      20 in lib. Num.).

(3) Justi quandoque dure moriendo purgantur in hoc mundo.

(4) Vulnera tua, merita mea.-

(5) Egredere, anima mea, quid times? Septuaginta prope annis servisti Christo, et mortem times?

(6) Quomodo certo persuasus esse quis potest, quod Deus ei peccata dimi serit?-

(7) Nimirum si dicat iniquitatem odio habui, et abominatus sum. (In Reg. inter. 12).

(8) Charitas foras mittit timorem (Jh. 4, 18).

(9) Non putabam tam dulce esse mori.

(*) พระการ์ดินัล ฟิเชอร์ ถูกสาถาปนาเป็นนักบุญสมัยพระสันตะปาปาปิโอที่ 11

(10) Ite, pedes, parum a paradise distamus.

(11) Dising, Parol, 1, par. 6.

(12) Ego vim faciam, ut devorer.

(13) Vita cap. 7.

(14) Non vereamur occidi, quos constat quando occidimur coronari.

(15) Oportet mortale hoc induere immortalitatem. (1 Cor. 15, 53,).

(16) Patienter vivit, delectabiliter moritur.

(17) Te Dominus ad nuptias vocat, veni, ducam te quo desideras.

(18) Dicite justo, quoniam bene, quoniam fructum adinventionum suarum comedet (Is 3, 10).

(19) Fateri coelum. et eos qui hinc eo commearunt luctu prosequi? (Jo. chrys. ad Viduam)).

(19b) Chefd’ oeuvre D. p. 3, ch’12

(20) Liquet acerbitatem non mortis esse, sed culpae, non ad mortem metus referendus, sed ad vitam (De

        bono mort. cap. 8).

(21) Non potest, male mori qui bene vixerit.

(22) Justus autem si morte praeoccupatus fuerit in refrigerio erit.

(23) Offeramus Deo quod tenemur reddere.

book

บทที่ 09 "สันติสุขของผู้ใคร่ธรรมเมื่อเวลาจะตาย"