Skip to main content

เตรียมเผชิญ

ค ว า ม ต า ย

บทที่ 16 ความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า

book

1. พระสวามีทรงคอยคนบาป

    ความดี เป็นสิ่งที่กระจายธรรมชาติของตนเอง หมายความว่าชอบเผื่อแผ่ความดีของตนไปสู่ผู้อื่น พระเป็นเจ้าทรงมีพระธรรมชาติ เป็นองค์คุณงามความดีอันปราศจากขอบเขต (1) ฉะนั้นเป็นธรรมดาอยู่เองที่ทรงปรารถนาจะแผ่ความสุขของพระองค์มาสู่ชาวเรา และน้ำใจของพระองค์นั้นไม่ชอบการลงพระอาชญา แต่ทรงเมตตากรุณา ต่อทุก ๆ คน อิสิยาห์ กล่าวว่า การลงอาชญา เป็นกิจการอันผิดกับพระอุปนิสัยของพระเป็นเจ้า “พระองค์ทรงพระพิโรธ เพื่อกระทำพระกิจการของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์นั้นประหลาด” (อสย. 28, 21) เมื่อพระสวามีเจ้าทรงลงโทษในชีวิตนี้ ก็ทรงกระทำเพื่อจะทรงเมตตาในชีวิตหน้า (สดด. 59, 3) พระองค์ทรงแสดงขึ้นโกรธ เพื่อให้เราสำนึกตัว และเกลียดชังบาป (สดด. 59, 5) และหากพระองค์ทรงปล่อยให้เราถูกพระอาชญาบ้าง ทั้งนี้ก็เพราะทรงรักเราทรงใคร่ให้เราพ้นจากพระอาชญาโทษชั่วนิรันดรนั่นเอง (สดด. 59, 6)

            ใครเล่าจะสามารถสรรเสริญ และซร้องสาธุการความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้าต่อคนบาป จนสาสมได้?- พระองค์ทรงคอย ทรงเรียกหา และทรงต้อนรับคนบาป เมื่อเขากลับมาหาพระองค์!

            ประการแรก โอ้! ความเพียรของพระเป็นเจ้า เมื่อท่านทำเคืองพระทัยของพระเป็นเจ้าพระองค์จะทรงให้ท่านตายไปในขณะนั้นทันทีก็ได้ แต่พระองค์กลับทรงคอยทรงยับยั้งไม่ลงโทษ กลับทรงประทานพระคุณแก่ท่านนานัปการอีกเล่า ทรงรักษาชีวิตท่านไว้ โปรดจัดหาทุกสิ่งที่ท่านต้องการ ทรงทำเป็นแลไม่เห็นบาปของท่าน เพื่อจะให้ท่านสำนึกรู้ตัว (ปชญ. 11, 24) พระสวามีเจ้าข้า เป็นไปได้อย่างไร ที่พระองค์ไม่ทรงสามารถมองดูบาปได้แม้แต่ประการเดียว แต่นี่ทรงแลเห็นบาปจำนวนมากมายก่ายกอง และยังทรงนิ่งเฉยอยู่ได้เล่า พระเจ้าข้า? (ฮบก. 1, 13) พระองค์ทรงแลเห็นคนใจลามกผู้นั้น นักจองเวรคนนั้น คนปากร้ายแช่งด่าพระองค์คนนั้น ยิ่งวันยิ่งทำชอกช้ำน้ำพระทัยมากขึ้น ไฉนพระองค์ไม่ทรงลงพระอาชญา? ไฉนจึงทรงเพียรทนเขาถึงเพียงนี้เล่า?- ทั้งนี้ ก็เพราะว่าพระเป็นเจ้าทรงคอยคนบาป คอยให้เขากลับใจและดัดแปลงกิริยา (อสย. 30, 18) เพื่อจะได้ทรงอภัยบาปให้และช่วยให้เขารอด

            พระดำริกล่าวว่า: สัตว์โลกทั้งหลาย: ไฟ น้ำ ดิน อากาศ แสดงออกมาตามสัญชาติญาณแห่งธรรมชาติของมัน ต้องการจะเอาโทษคนบาป และแก้แค้นที่คนบาปกระทำอยุติธรรมต่อผู้สร้าง (2) แต่พระเป็นเจ้าทรงยับยั้งมันไว้ทั้งนี้เพราะทรงพระเมตตานั่นเอง พระสวามีเจ้าข้า พระองค์ทรงคอย เพื่อให้คนอธรรมสำนึกรู้ตัวมิใช่หรือ? พระสวามีเจ้าข้า พระองค์ทรงคอย เพื่อให้คนอธรรมสำนึกรู้ตัวมิใช่หรือ? พระองค์ก็ทรงแลเห็นอยู่มิใช่หรือว่า เขากลับใจดำนำความเมตตากรุณาของพระองค์นั้น มาใช้ทำชอกช้ำน้ำพระทัยของพระองค์หนักขึ้นอีกเล่า? (อสย. 26, 15) ไฉนจึงทรงเพียรทนถึงเพียงนี้หนอ? - ก็เพราะว่าพระเป็นเจ้าไม่ทรงต้องการให้คนบาปตาย แต่ให้เขากลับใจและเอาตัวรอด (อสค. 33, 11) โอ! พระเป็นเจ้าช่างเพียรทนเหลือพรรณนา! นักบุญเอากุสตินถึงกับกล้าทูลว่า: พระเจ้าข้า หากพระองค์ไม่ทรงเป็นพะรเป็นเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงอยุติธรรมแท้ ๆ เพราะทรงทนคนบาปจนเกินขอบเขต! (3) อันการเพียรคอยคนที่บังอาจใช้ความเพียรของพระเป็นเจ้าเพื่อลามปามทะลึ่งอวดดีหนักขึ้นดูเหมือนว่าเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติศักดิ์ของพระเป็นเจ้า ท่านนักบุญกล่าวต่อไปว่า: เราทำบาป เราติดอยู่กับบาป (บางคนดำรงอยู่ในบาปอย่างสบาย ๆ นอนหลับทับบาปเป็นแรมเดือนแรมปี) เรายินดีในบาป (บางคนถึงกับเอาความชั่วของตนขึ้นอวดอ้าง) ส่วนพระองค์เล่า ทรงสงบนิ่งเฉยอยู่ได้? เราท้าทายให้พระองค์ทรงพิโรธ พะรองค์กลับทรงเรียกร้องให้เราเข้าหาพระกรุณา (4) ดูเหมือนว่า เรากับพระเป็นเจ้าทำการแข่งขันกัน เรายิงยัวพระองค์ให้ทรงลงโทษ พระองค์ยิ่งเรียกร้องให้เรากลับใจ!

       ข้อเตือนใจและคำภาวนา

            พระสวามีเจ้าข้า ถูกแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าน่าจะอยู่ในนรก (5) และเป็นพระมหากรุณาอันล้นเกล้าที่ไม่ได้อยู่ แต่อยู่ที่นี่ อยู่แทบพระบาทของพระองค์ กำลังได้ยินพระองค์ตรัสให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ว่า “เจ้าจงรักพระสวามี พระเป็นเจ้าของเจ้า” (มธ. 22, 37) และกำลังตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า ทรงปรารถนาจะอภัยบาปให้ หากข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพราะได้ทำเคืองพระทัย พระผู้เป็นเจ้า เจ้าข้าคนอาภัพ คนกบฏเยี่ยงข้าพเจ้านี้ พระองค์ยังทรงพอพระทัยให้รักพระองค์อีกเล่า! แน่นอนละ ข้าพเจ้าขอรักพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจ ข้าพเจ้าเสียใจเพราะได้ล่วงเกินพะองค์ เสียใจยิ่งกว่าเพราะภัยใด ๆ ทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้าอาจจะประสบ โปรดเถิดองค์ความดีที่ล้นพ้นเจ้าข้า โปรดให้ข้าพเจ้าตระหนักในความผิดที่ได้กระทำ ไม่เอาแล้ว ข้าพเจ้าไม่ยอมทำหูทวนลม ต่อคำเรียกร้องของพระองค์ ข้าพเจ้าไม่ยอมทำเจ็บช้ำน้ำใจของพระองค์ ผู้ทรงรักข้าพเจ้าถึงปานฉะนี้ ทั้งได้ทรงพระกรุณาอภัยโทษแก่ข้าพเจ้าเป็นหลายครั้งหนักหนาแล้ว พระเยซูเจ้าข้า ข้าพเจ้าเสียใจเพราะได้ทำเคืองพระทัยแล้ว โปรดอภัยโทษเถิด พระเจ้าข้า แต่บัดนี้เป็นต้นไปขอให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ผู้เดียว ให้ข้าพเจ้าดำรงชีพเฉพาะเพื่อพระองค์ พระเป็นเจ้าผู้ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อข้าพเจ้า ขอโปรดให้ข้าพเจ้าทนความทุกข์ยากทุกอย่าง เพราะรักพระองค์ ตอบแทนที่พระองค์ได้ทรงรับทุกข์เวทนาเป็นอันมากเพราะความรักต่อข้าพเจ้า พระองค์ได้ทรงรักข้าพเจ้าทั้งนิรันดรภาพ ขอโปรดให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ด้วยใจเร่าร้อน ตลอดนิรันดรภาพด้วยเถิด พระเจ้าข้าพระมหาไถ่เจ้าข้า ข้าพเจ้าไว้ใจจะได้ทุกสิ่งดั่งทูลวิงวอนมานี้ ด้วยเดชะพระบารมีของพระองค์ พระเจ้าข้า

            ข้าแต่พระแม่มารีอา ข้าพเจ้าวางใจในท่านด้วย โปรดรับธุระวิงวอนให้ข้าพเจ้ารอดด้วยเถิด

2. พระสวามีทรงเรียกหาคนบาป

            ประการสอง ท่านจงพิเคราห์ดูความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า ในการเชื้อเชิญคนบาปให้กลับใจ เมื่ออาดัมได้ทรยศต่อพระสวามีเจ้าแล้ว ท่านได้หลบซ่อนตัวให้พ้นพระเนตร แต่พระเป็นเจ้าทรงเสียดายอาดัม ทรงตามหาและเรียกหาด้วยพระสำเนียงละห้อยว่า “อาดัม เจ้าอยู่ที่ไหน?” (ปฐก. 3, 9) คุณพ่อเปเรอีรา อธิบายว่า นี่แหละคือ วาจาของพ่อที่ตามหาลูกที่หายไป- พี่น้องที่รักพระเป็นเจ้าได้ทรงกระทำดังนี้ต่อท่านก็หลายครั้งแล้วมิใช่หรือ?

            ท่านได้หนีพระองค์ แต่พระองค์ทรงเรียกหาท่าน ด้วยการดลใจบ้าง ด้วยคำตำหนิติเตียนในมโนธรรมบ้าง ด้วยคำเทศนาบ้าง ด้วยความยากลำบากบ้าง ด้วยความตายของเพื่อนฝูงบ้าง ดูคล้ายกับพระเยซูตรัสกับท่านว่า “ลูกเอ๋ย เราเรียกร้องหาเจ้าจนแทบจะหมดเสียงอยู่แล้ว” (สดด. 68, 4) นักบุญเทเรซาเตือนว่า: คนบาปเจ้าเอ๋ย จงสำเหนียกให้ดี พระเป็นเจ้าผู้กำลังร้องเรียกหาเจ้านั้นพระองค์จะทรงเป็นผู้พิพากษาของเจ้าในวันหนึ่งข้างหน้าด้วย”

            คริสตชนที่รัก กี่ครั้งกี่หนแล้ว ท่านได้ยินพระองค์ตรัสเรียกท่าน และท่านทำหูทวนลม? ควรแล้ว ที่พระองค์จะไม่ทรงเรียกหาท่านต่อไป แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ ทั้งนี้เพราะว่า พระเป็นเจ้าของท่านทรงใคร่คืนดีกับท่าน และใคร่ช่วยให้ท่านรอด ผู้ที่เรียกหาท่านเป็นใคร?- มิใช่เพื่ออะไรอื่น นอกจากเพื่อให้ท่านกลับมีชีวิตพระหรรษทานที่ท่านได้เสียไป “เจ้าจงกลับมาและมีชีวิตเถิด” (อสค. 18, 32) การที่จะได้รับพระหรรษทานของพระเป็นเจ้านั้น แม้เราจะต้องล่วงชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในพงไพร ก็ยังหาเป็นการเพียงพอไม่ แต่พระเป็นเจ้าทรงโปรดให้ท่านมีทางจะรับพระหรรษทานของพระองค์ได้ในชั่วพริบตาเดียว คือโดยการเป็นทุกข์ถึงบาปและเท่านี้ ท่านก็ยังไม่ยอมทำอีกหรือ? แม้ท่านได้กระทำต่อพระเป็นเจ้าของท่านดังนี้แล้ว พระองค์ก็มิได้ทรงทอดทิ้งท่าน ทรงวิ่งตามท่านและตรัสแก่ท่าน ราวกับจะทรงพระกันแสงว่า “ลูกเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงอยากจะถูกโทษนักเล่า?” (อสค. 18, 31)

            เมื่อใครทำบาปหนัก คนนั้นก็ขับไล่พระเป็นเจ้าออกจากวิญญาณของตนพลางพูดกับพระองค์ว่า “ออกไปให้พ้น” (โยบ. 21, 24) ฝ่ายพระเป็นเจ้า พระองค์ทรงทำอย่างไร?- ทรงไปยืนอยู่ที่ประตูวิญยาณของคนใจดำผู้นั้น (วว. 3, 20) ทำอาการเหมือนวิงวอนขอให้วิญยาณนั้นกลับรับพระองค์เข้าไปใหม่ (กันต์. 5, 2) ทรงวิงวอนอยู่จนเหนื่อย (ยรม. 15, 6) เป็นจริงดังนี้ นักบุญดีโอนีซีโอ อาเรโอปาซีตา (ขุนศาลกรีก) กล่าวว่า พระเป็นเจ้าทรงตามหาคนบาป ราวกับหาคู่รักที่ได้เลิกร้างไป ทรงอ้อนวอนเพื่อมิให้เขาต้องพินาศ (6) นักบุญเปาโลก็ตั้งใจจะกล่าวดังนี้เหมือนกัน เมื่อท่านเขียนจดหมายถึงพวกสานุศิษย์ของท่านว่า “โดยเห็นแก่พระคริสต์เราวิงวอนขอท่านโปรดกลับคืนดีกับพระเป็นเจ้าเสียเถิด” (2 คร. 5, 20) นักบุญยวง คริสซอมโตมเมื่ออธิบายความตอนนี้ ท่านกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า: เป็นพระคริสต์เองที่ทรงวิงวอนท่าน และพระองค์ทรงวิงวอนขออะไร? ทรงขอให้ท่านคืนดีกับพระเป็นเจ้า เพราะว่าไม่ใช่พระเป็นเจ้าหรอก ที่ทำพระองค์ให้เป็นศัตรูของท่านแต่ตัวท่านเองที่ทำตัวให้เป็นศัตรูกับพระองค์ (7) ตรงนี้ ท่านนักบุญใคร่จะบอกว่ามิใช่คนบาปต้องพยายามหันพระเจ้าให้มาคืนดีกับเขา แต่ตัวเขาเองจำเป็นจะต้องตัดสินใจเข้ามาคืนดีกับพระองค์ เหตุว่าเป็นตัวเขาเองที่ได้หนีมิตรภาพ หาใช่พระเป็นเจ้าไม่

            อนิจจา! พระสวามีผู้ทรงพระทัยดีเป็นที่ยิ่งนี้ ทรงวิ่งตามหาคนบาปจำนวนมากเรื่อยไป พระองค์ตรัสแก่เขาว่า: เจ้าพวกคนใจดำ เจ้าอย่าหนีเราไปอีก: บากให้เรารู้ทีซิ เพราะอะไรเจ้าจึงหนีเรา? เราต้องการให้เจ้าได้ดี เราไม่ประสงค์สิ่งใด นอกจากอยากให้เจ้าเป็นสุข ไฉนเจ้าจึงอยากจะพินาศไปเล่า?- พระสวามีเจ้าข้า พระองค์กำลังทำอะไร ไฉนจึงทรงเพียรทน และทรงรักอ้ายพวกคนทรยศได้ถึงเพียงนี้หนอ? พระองค์ทรงหวังจะได้ดีอะไรบ้าง พระเจ้าข้า? การที่ทรงแสดงความปฏิพัทธ์รัก ฝูงหนอนที่เลวทราม กำลังถอยหนีพระองค์นั้นดู ๆ ไม่เหมาะสมกับพระเกียรติศักดิ์ของพระองค์เลย! “มนุษย์เป็นอะไร พระเป็นเจ้าจึงทรงเอาพระทัยใส่ต่อเขาถึงปานฉะนี้? ไฉนจึงทรงมอบดวงพระทัยให้แก่เขาดังนั้นเล่า?” (โยบ. 7, 17)

        ข้อเตือนใจและคำภาวนา

            พระสวามีเจ้าข้า นี่แน่ะคนใจดำกำลังกราบอยู่แทบพระบาท ทูลพระองค์ว่า: พระบิดาเจ้าข้า ทรงพระกรุณาอภัยบาปแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ที่ข้าพเจ้ากล้าทูลเรียกพระองค์ว่า บิดา ก็เพราะพระองค์เองทรงปรารถนาให้ข้าพเจ้าเรียกดังนั้นข้าพเจ้านี้ไม่สมให้พระองค์สงสาร เพราะว่ายิ่งพระองค์ทำพระทัยดีต่อข้าพเจ้าข้าพเจ้าก็ยิ่งทำใจดำต่อพระองค์โปรดเถิด พระเจ้าข้า คราวเมื่อข้าพเจ้าหนีพระองค์พระทัยดีของพระองค์นั่นเองปกปักไว้ ไม่ยอมทอดทิ้งข้าพเจ้า ขอให้พระทัยดีอันนี้โปรดต้อนรับข้าพเจ้า ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังกลับเข้ามาหาพระองค์ ณ บัดนี้เถิดพระเจ้าข้า พระเยซูเจ้าข้า โปรดบันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ถึงบาปอย่างใหญ่หลวง และทรงพระกรุณาสวมกอดข้าพเจ้า เพื่อเป็นสำคัญว่าคืนดีกันแล้วเถิดพระเจ้าข้า ข้าพเจ้าเสียใจเพราะได้ทำผิดต่อพระองค์ มากกว่าเพราะสิ่งใดทั้งสิ้นข้าพเจ้าเกลียดบาป ข้าพเจ้าชังบาป และขอร่วมความรู้สึกเกลียดชังอันนี้กับพระองค์ พระแสกไถ่ของข้าพเจ้า คราวพระองค์ประทับอยู่ ณ สวนเกธเซมานีโปรดอภัยบาปแก่ข้าพเจ้า โดยเห็นแก่พระโลหิตที่พระองค์ได้ทรงหลั่งเพื่อข้าพเจ้า ณ สวนนั้นเถิด พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าขอตั้งสัตย์ผฏิญญาแน่วแน่ว่า จะไม่ยอมถอยห่างจากพระองค์อีก ทั้งจะกำจัดความรักทั้งหลาย ที่มิใช่เพื่อพระองค์ ให้ออกจากด้วงใจของข้าพเจ้าจนหมดสิ้น พระเยซู องค์ความรัก เจ้าข้า ข้าพเจ้ารักพระองค์ยิ่งกว่าอะไร ๆ ทั้งหมด ข้าพเจ้ารักพระองค์เสมอ และรักพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น โปรดประทานพละกำลังให้ข้าพเจ้าปฏิบัติตามคำปฏิญญานี้เถิด และโปรดให้ข้าพเจ้าเป็นของของพระองค์จนหมดสิ้นด้วยเถิด พระเจ้าข้า

            ข้าแต่พระแม่มารีอา ที่วางไว้ใจของข้าพเจ้า ท่านคือแม่ผู้ใจเมตตากรุณา โปรดเอ็นดูสงสาร และภาวนาอุทิษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

3. พระสวามีทรงต้อนรับคนบาปด้วยพระทัยดี

            เจ้านายในโลกนี้ เมื่อราษฎรผู้คิดกบฏมากราบขอขมาดทษ เขาไม่ยอมมองดูหน้าเสียด้วย แต่พระเป็นเจ้าไม่ทรงกระทำดังนั้นแก่ชาวเรา “หากท่านกลับมาหาพระองค์ พระองค์จะทอดพระเนตตรดท่าน ด้วยพระทัยดี” (2 พกษ. 30, 9) พระเป็นเจ้าไม่ทรงรู้จักเบือนพระพักตร์หลบหนี ผู้ที่กลับมาหาพระองค์แน่นอนเพราะพระองค์เอง ทรงเป็นผู้เชื้อเชิญ และสัญญาจะทรงต้อนรับในทันทีเมื่อเขากลับมาหาพระองค์ “กลับมาหาเราเถิด และเราจะต้อนรับท่าน (ยรม. 3, 1) “หันมาหาเราเด และเราจะหันไปหาท่าน” (ศคย. 1, 3) โอ! เมื่อคนบาปกลับเข้ามาหาพระเป็นเจ้า พระองค์ทรงสวมกอดเขา ด้วยความรักเสน่หาเพียงไรหนอ! พระเยซูคริสต์ทรงใคร่จะให้เราเข้าใจดังนี้แน่ ฉะนั้นจึงได้ทรงเล่าอุปมา เรื่องแกะซึ่งเมื่อเจ้าของไปพบแล้ว “ได้อุ้มใส่บ่าแบกมา พลางร้องเชิญให้เพื่อนบ้านมาร่วมยินดีกับตน” นักบุญลูกายังเสริมว่า “ในสวรรค์ จะมีความยินดีเพราะคนบาปคนหนึ่งกลับใจ” (ลก. 15, 5)

            ยิ่งกว่านั้น พระมหาไถ่ยังทรงชี้ให้เห็นชัดกว่าอีก ในอุปมาเรื่องลูกสุรุ่ยสุร่าย โอยตรัสว่า พระองค์ คือ บิดาผู้นั้น ซึ่งแต่พอแลเห็นลูกคนที่เสียไปกลับมาก็วิ่งเข้าไปต้อนรับ ไม่ปล่อยให้ลูกมีโอกาสพูดได้ เข้าไปสวมกอดและจูบลูก คราวที่แนบลูกไว้กับทรวงนั้น บิกาก็แทบจะเป็นลม เพราะความรักตื้นตันใจ: ความยินดีของพระองค์มีมากเพียงนั้น! (ลก. 15, 20)

            พระสวามีเจ้า ทรงยืนยันว่า หากคนบาปเป็นทุกข์กลับใจ พระองค์จะทรงลืมบาปของเขา เหมือนกับว่า เขามิได้กระทำผิดต่อพระองค์เลย (อสค. 18, 21) พระองค์ยังทรงเสริมว่า “มาเถอะมา มาต่อว่าเรา หากว่าบาปของท่านซึ่งแดงก่ำดุจกำมะหยี่ จะไม่กลับขาวสกาวดุจหิมะ” (อสย. 1, 18) คล้าย ๆ กับพระองค์จะตรัสว่า: มาเถอะ คนบาป หากเราไม่ยกโทษให้ท่านละก็ ให้ท่านตำหนิติเตียนและหาว่าเราเสียสัตย์ แต่ที่แท้ไม่เป็นดังนั้น พระเป็นเจ้าไม่ทรงรู้จักประมาทดวงใจที่ถ่อมตนและเป็นทุกข์ “พระเป็นเจ้าจะไม่ทรงดูแคลนดวงใจที่ตรมตรอมและถ่อมตน” (สดด. 50, 19)

            พระสวามีเจ้าทรงถือเป็นเกียรติ ที่จะทรงพระกรุณาอภัยโทษแก่คนบาป (อสย. 30, 19) และพระองค์จะทรงอภัยโทษให้เมื่อไร? - ในทันที (อสย. 30, 10) พระเป็นเจ้าไม่ทรงกระทำต่อเรา ดังเช่นเรากระทำต่อพระองค์ เมื่อพระองค์ตรัสเรียก เราทำหูทวนลม แต่พระเป็นเจ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น แต่พอเราเป็นทุกข์ขอโทษ พระองค์ก็ทรงตอบและทรงยกโทษให้ทันที

       ข้อเตือนใจและคำภาวนา

            ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าบังอาจต่อกรกับใคร? กับพระองค์ ผู้ทรงพระทัยดี ที่ได้ทรงสร้างข้าพเจ้ามา ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อข้าพเจ้า และแม้ข้าพเจ้าได้ทรยศต่อพระองค์เป็นหลายครั้งหลายหนแล้ว ก็ยังทรงเพียรคอยข้าพเจ้าเรื่อยมา! เพียงแต่มองดูความเพียรของพระองค์เท่านั้น ก็น่าจะทำให้ข้าพเจ้าดำรงชีพร้อนระอุอยู่ด้วยความรักต่อพระองค์แล้ว ข้าพเจ้าได้ทำชอกช้ำน้ำพระทัยครั้งแล้วครั้งเล่าใครหนอจะเพียรทนข้าพเจ้าได้นานอย่างพระองค์? มันจะเป็นกรรมของข้าพเจ้าโดยแท้ หากแต่บัดนี้ไป ข้าพเจ้ายังขืนกลับมาทำเคืองพระทัย และทำตนให้สมต้องโทษอีก! เพราะว่าการระลึกถึงความเมตตากรุณาของพระองค์ต่อข้าพเจ้านั้นเองจะเป็นนรกสำหรับข้าพเจ้า และร้ายแรงกว่าตัวนรกเองด้วย! พระมหาไถ่เจ้าข้าอย่าให้เป็นเช่นนั้นเลยขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าหันหลังให้พระองค์อีกเลยโปรดให้ข้าพเจ้าตายเสียดีกว่า พระเจ้าข้า ณ บัดนี้ข้าพเจ้ามองเห็นแล้วว่า ความเมตตากรุณาของพระองค์จะทนข้าพเจ้าต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว! องค์คุณงามความดีที่ล้นพ้นเจ้าข้า ข้าพเจ้าเสียใจที่ได้ทำเคืองพระทัย ข้าพเจ้ารักพระองค์ด้วยสิ้นสุดดวงใจ และตั้งใจจะถวายชีวิตที่ข้าพเจ้ายังมีอยู่ทั้งหมดนี้เพื่อพระองค์ พระบิดาผู้สถิตสถาพรตลอดนิรันดร เจ้าข้า โปรดเห็นแก่พระบุญญาบารมีของพระเยซูคริสต์และโปรดสดับฟังคำวิงวอนของข้าพเจ้า ขอประทานความคงเจริญในความดี และความรักอันศักดิ์สิทธิ์ต่อพระองค์เถิด พระเจ้าข้า พระเยซูเจ้าข้า โปรดสดับฟังคำวิงวอนของข้าพเจ้า โดยเห็นแก่พระโลหิต ที่พระองค์ไดทรงหลั่งเพื่อข้าพเจ้าเถิด พระเจ้าข้า “TE ERGO QUAESUMUS TUIS FAMULIS SUBVENI, QUOS PRETIOSO SANGUINE REDEMISTI”

            ข้าแต่พระนางมารีอา โปรดเหลียวมองดูข้าพเจ้า: ILLOS TUOS MISERICORDES OCULOS AD ME CONVERTE, และโปรดฉุดรั้งข้าพเจ้าเข้าหาพระเป็นเจ้าด้วยเถิด

(1) Deus cujus natura est bonitas (S. Leo).

(2) Omnis creatura, tibi Factori deserviens, exardescit in tormentum adversus injustos.

(3) Deus, Deus meus, pace tua, dicam nisi quia Deus esses, injustus esses.

(4) Nos peccamus, inhoeremus peccato, gaudemus peccato, et tu placates es?

(5) Infernus domus mea est.

(6) Deus etiam a se aversos amatory sequitur, ne pereant.

(7) Ipse Christus vos obsecrat, Quid autem obsecrat? reconciliamini-Deo; non enim ipse inimcus gerit, sed

     vos.

book

บทที่ 16 ความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า