เตรียมเผชิญ
ค ว า ม ต า ย
บทที่ 26 โทษานุโทษในนรก
โดย นักบุญอัลฟอนโซ มารีย์ เดอ ลีโกวรี
แปลโดย ผู้หว่าน
1. โทษทางประสาท
เมื่อคนเราทำบาป ก็ทำความผิดสองประการคือ การละทิ้งพระเป็นเจ้าองค์คุณงามความดีที่ล้นพ้น และการหันไปหาสัตว์โลก “ประชากรของเราได้กระทำชั่วสองประการ คือ ได้ละทิ้งเราผู้เป็นธารน้ำอันทรงชีวิต และไปขุดบ่อ บ่ออันแตกระแหงที่ขังน้ำไม่อยู่” (ยรม. 2, 13) ในการทำเคืองพระทัยพระเป็นเจ้า คนบาปหันไปหาสัตว์โลกนี้เอง ฉะนั้นจึงยุติธรรมแล้วที่ในนรกสัตว์โลกเองจะทรมานเขา อาทิ ไฟ และปีศาจ นี่แหละที่เรียกว่า โทษทางประสาท แต่เพราะความผิดอันสำคัญ ที่ทำให้เป็นบาปนั้นอยู่ที่การหันหลังให้พระเป็นเจ้าฉะนั้นโทษของนรกที่ร้ายแรงกว่าหมดจึงเป็น โทษความสูญเสีย หมายความถึงโทษความสูญเสียพระเป็นเจ้านั่นเอง
ณ ที่นี้ ชาวเราจะพิเคราะห์ดูโทษทางประสาทก่อน ความเชื่อสอนว่า นรกมีอยู่จริง ที่ในสะดือแผ่นดิน มีคุกสำหรับลงโทษผู้ที่คิดกบฏต่อพระเป็นเจ้านรกคืออะไร?- คือ “สถานแห่งการทรมาน” (ลก. 16, 28) ผู้ให้ชื่อดังนี้ คือเศรษฐีนักกินซึ่งได้ตกนรก นรกเป็นสถานแห่งการทรมาน เป็นที่ซึ่งประสาททุกอัน สมรรถภาพทุกอันของนักโทษ จะถูกโทษทนทุกข์ทรมานต่างหากโดยเฉพาะ และยิ่งใครได้ใช้ประสาทอันหนึ่งทำเคืองพระทัยของพระเป็นเจ้ามากประสาทอันนั้นก็ยิ่งจะถูกทรมานมากขึ้น “คนทุกคนจะถูกโทษ โดยสิ่งที่เขาได้ใช้ทำบาป” (ปชญ. 11, 17) “จงทรมานมัน เท่าที่มันได้ให้เกียรติยศและความสนุกสนานแก่เขา” (วว. 18, 7)
ประสาทแห่งการเห็น จะถูกทรมานด้วยความมืด (โยบ. 10, 21) เรารู้สึกสงสารเหลือเกิน เมื่อได้ยิว่า ใครถูกขังอยู่ในหลุมมืดตลอดทั้งชีวิต เป็นเวลานานตั้ง 40-50 ปีมาแล้ว! นรก คือ ขุมอันปิดหมดทุกด้าน, ไม่มีแสงแดดหรือแสงอะไรเข้าไปเลย “เขาจะไม่แลเห็นแสงสว่างทั้งชั่วนิรันดร” (สดด. 48, 20) ไฟในโลกเรานี้มีแสงสว่าง แต่ไฟในนรก มืดตื้อทีเดียว ผู้นิพนธ์บทเพลงสดุดี รจนาไว้ว่า “พระสุรเสียงของพระเป็นเจ้า ทรงแยกเพลิงออกจากไฟ” (สดด. 28, 7) นักบุญบาซีลีโอ อธิบายความตอนนี้ว่า: พระสวามีทรงแยกไฟออกจากความสว่าง โดยว่า ไฟชนิดนั้น จะทำหน้าที่เยา และไม่ทำหน้าที่ให้ความสว่าง ส่วนท่านอัลแบร์โต มักโญ สาวกกล่าวอีกว่า “พระองค์ทรงแยกความสว่างออกจากความร้อน” (1) ควันที่ออกจากไฟนั้นเอง จะประกอบขึ้นเป็นกลุ่มเป็นความมืดมน ตามคำกล่าวของ นักบุญยูดา และจะทำให้ตาของพวกนักโทษบอดไป “ความมืดมน จะปกคลุมเขาไว้ตลอดนิรันดร” (ยด. 5, 13) นักบุญโทมัส แจ้งว่าพวกนักโทษจะมีแสงสว่างเฉพาะพอดี ๆ สำหรับจะทรมานเขาหนักขึ้น (2) อาศัยแสงสลัว ๆ นั้น เขาจะเห็นความน่าเกลียดน่าชังของพวกนักโทษ และของหมู่ปีศาจซึ่งจะมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว เป็นเหตุให้เขาขนลุก
ประสาทแห่งการสูดดม จะถูกทรมาน หากเราถูกขังอยู่ในห้องที่มีศพกำลังเน่าเฟะ เราจะรู้สึกสะอิดสะเอียนเพียงไร? ก็นักโทษในนรกต้องรวมอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนนับล้าน ๆ เขาเหล่านี้ มีชีวิตอยู่ก็เพื่อถูกทรมาน แต่เมื่อพูดถึงความเน่าเหม็นแล้ว ต้องว่า เขาเป็นศพโดยแท้ (อสย. 34, 3) นักบุญเบอนาแวนตูราบอกว่า: หากจะเอาร่างของนักโทษคนหนึ่งออกมาจากนรกและเอามาทิ้งไว้บนแผ่นดิน กลิ่นเหม็นของมัน ก็พอจะฆ่ามนุษย์หมดสิ้นโลก แต่ อนิจจา! คนบ้าบางคนยังพูดออกมาได้ว่า: ถึงจะไปนรก ฉันก็ไม่ไปคนเดียว: คนบ้าเจ้าเอ๋ย ยิ่งจะมีพวกมากในนรก เจ้าก็ยิ่งจะถูกทรมานมากขึ้น นักบุญโทมัส บันทึกว่า: การที่มีเพื่อนทนทุกข์ด้วยกันมาก ๆ ในนรก ไม่ลดความทุกข์เวทนาลงหรอก กลับทวีมากขึ้นอีกต่างหาก (3) นี่แน่ะ ข้าพเจ้าจะบอกให้: ท่านยิ่งจะต้องลำบากมากขึ้นเพราะกลิ่นเหม็น เพราะเสียงอึกทึก และเพราะการอัดแอยัดเยียดกัน นักโทษในนรกนั้นจะทับซ้อนกันคล้ายฝูงแกะในฤดูหนาว “ในนรกเขาจะทับกันดุจฝูงแกะ” (สดด. 48, 15) กว่านั้นอีก เขาจะคล้ายกับผลองุ่น ที่ถูกเครื่องหีบของพระเป็นเจ้าบีบ “พระองค์ทรงเหยียบเครื่องหีบผลองุ่นแห่งพระพิโรธ ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ทุกประการ” (วว. 19, 15) เพราะการถูกบีบดังนี้เอง จึงเกิดมีโทษ ให้กระดุกกระดิกเคลื่อนที่ไม่ได้ “เขาจะไม่รู้จักเคลื่อนที่ ประดุจหินเผา” (อพย. 15, 16) ฉะนั้น ในวันสุดท้าย เมื่อนักโทษตกลงใปในนรก มีกิริยาการอยู่ในท่าใด ก็จะคงอยู่ในท่านั้น จะเปลี่ยนที่ จะกระดุกกระดิกมือเท้าไม่ได้ต่อไปต้องอยู่ดังนี้เรื่อยไป ตราบเท่าที่พระผู้เป็นเจ้า ยังคงเป็นพระผู้เป็นเจ้า
ประสาทแห่งการได้ยิน จะถูกทรมาน ด้วยการได้ยินเสียงเห่าหอนและร้องไห้คร่ำครวญของพวกนักโทษน่าทุเรศ และพวกคนเสียใจเหล่านั้นเรื่อยๆ ไป นอกนั้นฝูงปีศาจจะทำอึกทึกหนวกหูเรื่อยไปอีกด้วย “หูของเขา จะก้องอยู่ด้วยเสียงที่ทำให้ตระหนกตกใจเรื่อยไป” (โยบ. 15, 21) เมื่อเราอยากจะนอนหากได้ยินเสียงคนเจ็บครวญคราง เสียงสุนัขเห่าหอน หรือเสียงเด็กร้องไห้เรื่อยไป ช่างน่าโมโห น่ารำคาญเหลือทนใช่ไหม? ก็น่าสงสารพวกนักโทษนักหนา เขาจะได้ยินแต่เสียงครวญคราง เสียงร้องเอ็ดตะโรของพวกนักโทษด้วยกันเรื่อยไปตลอดทั้งนิรันดรภาพ!
ประสาทแห่งการลิ้มรส จะถูกทรมานด้วยความหิวโหย นักโทษ “จะหิวโซดุจสุนัข (สดด. 58, 15) แต่เขาจะไม่มีข้าวกิน แม้สักเม็ด เขาจะกระหายน้ำจนแม่น้ำทะเลทั้งหมดก็ยังจะไม่พอดื่ม แต่น้ำสักหยดก็จะหามีไม่ น้ำหยดหนึ่งนั้นเศรษฐีนักกินผู้นั้นได้อ้อนวอนขอแล้ว แต่ยังไม่ได้รับ ทั้งจะไม่ได้รับเป็นอันขาดทั้งนิรันดรภาพ!
ข้อเตือนใจและคำภาวนา
พระสวามีเจ้าข้า ที่แทบพระบาท คือคนที่ไม่เอาใจใส่ต่อพระหรรษทานและต่อพระอาชญาโทษของพระองค์กำลังกราบอยู่ พระเยซูเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะน่าสมเพชเพียงไร หากพระองค์มิได้ทรงพระเมตตา ข้าพเจ้าควรจงไปอยู่ในเตาไฟเน่าเหม็นนั้น แต่กี่ปีมาแล้ว! อนิจจา! คนอื่นเป็นอันมาก ที่คล้ายกับข้าพเจ้าเขาต้องไปอยู่ที่นั้นแล้ว! ดังนั้น พระมหาไถ่เจ้าข้า เมื่อข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องนี้ไฉนข้าพเจ้าจึงไม่ระอุร้อนไปด้วยความรักต่อพระองค์หนอ! ข้าพเจ้ายังจะคิดทำเคืองพระทัยต่อไปข้างหน้าอีกหรือ? โปรดเถิด พระเยซูเจ้าข้า อย่าปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเลย ให้ข้าพเจ้าตายเสียสักพันครั้งยังดีกว่า ไหน ๆ พระองค์ได้ทรงเริ่มลงมือแล้ว โปรดกระทำต่อไปจนสำเร็จเถิด: พระองค์ได้ทรงพระกรุณาลากข้าพเจ้าขึ้นจากกองขยะของบาป ทั้งยังเรียกร้องให้ข้าพเจ้ามารักพระองค์ด้วยความหวังดีเป็นที่ยิ่งแล้ว โปรดเถิด พระเจ้าข้า โปรดให้ข้าพเจ้าใช้เวลาที่พระองค์ยังทรงประทานให้นี้ทั้งหมดเพื่อพระองค์อย่างเดียวเท่านั้นพระเจ้าข้า โอ้ว่า! หากพวกนักโทษนรก จะมีเวลาสักหนึ่งวัน สุกหนึ่งชั่วโมง อย่างที่ทรงประทานแก่ข้าพเจ้า เขาจะดีใจเป็นอย่างมาก แล้วข้าพเจ้ายังสำคัญอะไรอยู่เล่า? ยังจะเสียเวลาไปในการทำบาปอีกหรือ?- ไม่เอาแล้ว พระเจ้าข้าอย่าทรงปล่อยให้เป็นดังนั้นเป็นอันขาด พระเจ้าข้า โปรดเห็นแก่พระบารมีและพระโลหิต ซึ่งพระองค์ได้ทรงหลั่ง เพื่อให้ข้าพเจ้าพ้นนรกมาจนบัดนี้เถิด โอ้องค์คุณงามความดีที่ล้นพ้น ข้าพเจ้ารักพระองค์ และเพราะรักพระองค์ ข้าพเจ้าจึงเสียใจที่ได้ทำเคืองพระทัย ข้าพเจ้าจะไม่ทำต่อไปเป็นอันขาด ข้าพเจ้าปรารถนาจะรักพระองค์เสมอไม่หยุดหย่อน พระเจ้าข้า
ข้าแต่พระนางมารีอา พระบรมราชินี และมารดาของข้าพเจ้า โปรดวิงวอนพระเยซูเพื่อข้าพเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพเจ้าได้รับความคงเจริญในความดีและความรักต่อพระเป็นเจ้าเสมอเถิด
2. ไฟ
อาชญาโทษชนิดที่ทรมานประสาทอย่างร้ายแรงกว่าหมด ก็คือไฟของนรกอันเป็นเครื่องทรมานประสาทสัมผัส “ไฟจะลงโทษเนื้อหนังของคนอธรรม” (บสร. 7, 19) เพราะฉะนั้น พระสวามีเจ้าจึงทรงกล่าวถึงไฟเป็นพิเศษ เมื่อตรัสถึงการพิพากษาว่า “จงไปให้พ้น อ้ายพวกต้องแช่ง ไปสู่ไฟชั่วนิรันดร” (มธ. 25, 40) ในแผ่นดินเรานี้แม้การลงโทษด้วยไฟก็ร้ายกาจกว่าการลงโทษอย่างอื่นทั้งหลายแล้ว แต่ไฟของเราในโลกผิดกันไกลกับไปนรก นักบุญเอากุสตินกล่าวว่า: เปรียบกันก็คือไฟของเราเป็นไฟที่เขาวาดไว้ในภาพ (4) และนักบุญวินแชนซีโอ แฟร์รารีโอ กล่าวว่า เมื่อเปรียบกันไฟของเราเย็น ท่านให้เหตุผลว่า: ไฟของเรานั้นพระเป็นเจ้าทรงสร้างเฉพาะเพื่อทรมาน เป็นไปอย่างที่ท่านแตร์ดูเลี่ยน รจนาว่า: ไฟที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ในโลกนี้ ผิดกันไกลกับไฟที่ความยุติธรรมของพระเป็นเจ้าใช้ (5) “พระพิโรธของพระเป็นเจ้านั่นแหละบันดาลให้เกิดมีไฟสำหรับแก้แค้นอันนั้น” (ยรม. 15, 14) ท่านประกาศกอิสยาห์จึงเรียกไฟนรกว่า: “จิตแห่งความร้อน” (อสย. 4, 4)
นักโทษจะถูกทิ้งลงไป ไม่ใช่ที่ไฟ “จงไปให้พ้น เจ้าพวกต้องแช่ง ไปสู่ไฟชั่วนิรันดร” (มธ. 25, 41) เป็นอันว่า ผู้เคราะห์ร้ายนั้น จะถูกไฟล้อมรอบ เหมือนดั่งฟืนอยู่ในกองไฟ นักโทษจะอยู่ในขุม มีไฟอยู่ข้างล่างไฟอยู่ข้างบน และไฟอยู่รอบข้าง เมื่อเขาแตะต้อง เมื่อแลเห็น เมื่อหายใจ เขาก็แตะต้อง แลเห็นและหายใจก็เป็นไฟ เขาจมอยู่ในไฟ เหมือนปลาว่ายอยู่ในน้ำใช่ว่าไฟนั้นอยู่รอบตัวนักโทษด้านนอก แต่มันยังเข้าไปทรมานข้างในไส้พุงเขาด้วย ตัวเขาจะกลายเป็นไฟไปหมด ไปจะเผาไส้ในท้อง หัวใจในอก มันสมองในหัวเลือดในเส้น ไขมันในกระดูก นักโทษคนละคน จะกลายเป็นเตาไฟในตัวตนเอง “พระองค์จะทรงบันดาลให้เขากลายเป็นเตาไฟอันร้อนแรง” (สดด. 20, 10)
เพียงแต่เดินตามทางที่ถูกแดดเผา อยู่ในห้องที่เขาเผาเหล็ก ถูกสะเก็ดที่หล่นจากไต้ เท่านี้ บางคนก็ทนไม่ไหวแล้ว ดังนั้นไฉนเขาจึงไม่กลัวไฟนรกที่ขบกินเล่า? ประกาศกอิสยาห์ กล่าวว่า “ใครในพวกท่าน จะทนอยู่ในไฟที่ขบกินได้” (อสย. 33, 14) สัตว์ร้ายขบกินนางเก้งฉันใด ไฟนรกก็ขบกินนักโทษฉันนั้นผิดกันแต่แม้ไฟนรกขบกิน มันก็ไม่ทำให้นักโทษตายไป นักบุญเปโตร ดามีอาโนเมื่อพูดถึงคนลามก ท่านว่า “ทำเข้าไปเถิด เจ้าคนบ้า ทำให้เนื้อหนังของเจ้าได้ความสนุกเข้าไปเถิด สักวันหนึ่งหรอก เจ้าจะแลเห็นความอุลามกของเจ้ากลายเป็นน้ำมันยางบรรจุอยู่ในไส้พุงของเจ้า สำหรับเป็นเชื้อให้ไฟนรกเผาและทรมานเจ้าหนักขึ้น!” (6)
นักบุญฮีเอโรโม เสริมว่า: ไฟนั้นจะทรมาน และก่อให้เกิดความเจ็บปวดทุกชนิดที่เราเคยเจ็บปวดบนแผ่นดินนี้: จะเจ็บปวดที่สีข้า ที่ศีรษะ ที่ไส้ และที่เส้นประสาท (7) ไฟนั้นยังจะทำโทษให้หนาวอีกด้วย ตามวาทะของยอบว่า “ออกจากน้ำหิมะ เขาจะไปสู่ความร้อนอันเหลือทน” (โยบ. 24, 19) เท่าที่บรรยายมานี้ นักบุญคริสซอสโตม เตือนให้สำเนียกว่า: โทษทั้งหลายบนแผ่นดินนั้ เมื่อนำมาเปรียบกับโทษในนรกแล้ว ก็เป็นแต่เพียงเงาเท่านั้น (8)
สมรรถภาพของวิญญาณก็เช่นกัน จะต้องถูกโทษสำหรับแต่ละชนิดโดยเฉพาะ ความทรงจำจะถูกโทษ คือจะระลึกถึงเวลาที่ตนได้มีในโลก เพื่อทำให้ตนรอด แต่ตนกลับนำไปใช้ทำให้ตนพินาศ เขาจะระลึกถึงพระหรรษทานที่ตนได้รับจากพระเป็นเจ้า แต่ตนมิได้ยอมใช้ให้เป็นประโยชน์ สติปัญญาจะถูกโทษ คือจะคิดถึงทรัพย์อันแท้จริง ที่ตนได้ทำให้เสียไป จะคิดถึงสวรรค์และพระเป็นเจ้า และความเสียหายอันนั้น ไม่มีทางจะแก้ไขต่อไปแล้ว น้ำใจก็จะถูกโทษคือจะเห็นว่าตัวขออะไรก็ไม่ได้สักอย่างเดียวเลย “ความปรารถนาของคนบาปจะกลายเป็นควัน” (สดด. 111, 10) นักโทษเคราะห์ร้ายอยากจะได้อะไร ก็จะไม่ได้เลยสักอย่าง กลับจะได้สิ่งที่เขาเกลียดเป็นที่สุด คือความทุกข์ทรมานทั้งชั่วนิรันดร เขาอยากจะออกจากที่ทรมาน และได้ความสุขบ้าง แต่ก็จะถูกทรมานอยู่เรื่อย และไม่มีเวลาให้ความสุขเลย
ข้อเตือนใจและคำภาวนา
พระเยซูเจ้าข้า พระโลหิตและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เป็นสรณะที่พึ่งของข้าพเจ้า พระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อให้ข้าพเจ้าพ้นจากความตายชั่วนิรันดร โอ! พระสวามีเจ้า ใครหนอจะได้รับส่วนในพระบุญญาบารมี และพระมหาทรมานของพระองค์ มากไปกว่าข้าพเจ้าคนอาภัพ ซึ่งสมจะไปสู่นรกแต่หลายครั้งหลายคราวมาแล้ว? โปรดเถิด อย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าดำรงชีพใจดำต่อพระหรรษทานอันมากมายของพระองค์ต่อไปเลย พระองค์ได้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นนรก ก็เพราะทรงหวังจะมิให้ข้าพเจ้าต้องถูกเผาไฟอยู่ในที่ทรมานนั้นและทรงหวังจะให้ข้าพเจ้ากลับลุกโชติช่วงระอุร้อนด้วยไฟความรักอันอ่อนโยนของพระองค์ โปรดให้ข้าพเจ้าปฏิบัติตามความประสงค์ของพระองค์เถิด พระเจ้าข้า หากข้าพเจ้าอยู่ในนรกขณะนี้แล้ว ก็จะรักพระองค์ไม่ได้ต่อไป ข้าแต่องค์ความใจดีที่ล้นพ้น ข้าพเจ้ารักพระองค์ รักพระองค์ รักพระมหาไถ่ ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้าเหลือคณนา ครั้งก่อนโน้นเป็นไฉนข้าพเจ้าจึงได้ดำรงชีพลืมพระองค์เป็นเวลาช้านานได้หนอ? ขอขอบพระคุณที่มิได้ทรงลืมข้าพเจ้า หากพระองค์จะได้ทรงลืมข้าพเจ้าแล้ว ปานนี้ข้าพเจ้าคงจะอยู่ในนรกนั่นแหละ หรืออย่างน้อยข้าพเจ้าคงจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์ถึงบาปดังนี้ ความเป็นทุกข์ถึงบาปที่ข้าพเจ้ากำลังรู้สึกอยู่นี้ทั้งความปรารถนาอยากรักพระองค์มาก ๆ ทั้งสองอย่างนี้ เป็นพระหรรษทานของพระองค์ ที่กำลังช่วยข้าพเจ้า พระเยซูเจ้าข้า ขอสมนาพระคุณ ข้าพเจ้าตั้งใจจะถวายชีวิตที่ข้าพเจ้ายังมีอยู่นี้ แด่พระองค์นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าสละละทุกสิ่ง ข้าพเจ้าปรารถนาสิ่งเดียวคือ ปรนนิบัติพระองค์และทำความชอบใจแด่พระองค์พระเจ้าข้า โปรดประทานให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอมิได้ขาด ถึงนรกอันข้าพเจ้าควรจะไป และถึงพระหรรษทานที่ข้าพเจ้าได้รับจากพระองค์ ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าหันหลังให้พระองค์อีกเลย ทั้งขออย่าให้ข้าพเจ้าลงโทษตัวเองให้ไปสู่ขุมแห่งความทรมานดังกล่าวมานั้นเลย พระเจ้าข้า
ข้าแต่พระมารดาของพระเป็นเจ้า โปรดภาวนาอุทิศแก่ข้าพจเคนบาปนี้ด้วยเถิด คำเสนอวิงวอนของท่าน ได้ช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นนรกมาจนบัดนี้ ขอโปรดเสนอวิงวอนต่อไปอีกเถิด คุณแม่ที่รัก เพื่อข้าพเจ้าจะได้พ้นจากบาปซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ข้าพเจ้าต้องโทษไปสู่นรกนั้น
3. โทษความเสียหาย
โทษานุโทษทั้งหลายเท่าที่ได้กล่าวมา หากเอามาเปรียบกับโทษความเสียหาย ก็เป็นแต่ความเปล่าทั้งสิ้น ความมืดมน กลิ่นเหม็น เสียงอึกทึก และไฟนั้นยังหาใช่สิ่งท่ำทให้เป็นนรกไม่ สิ่งที่ทำให้เป็นนรกนั้น คือ อาชญาโทษ ความเสียหายพระเป็นเจ้าต่างหาก นักบุญบรูโน กล่าวว่า “จะเอาการทรมานเพิ่มกับการทรมานเท่าไรก็ตามใจ ขอเพียงอย่าต้องให้เสียพระเป็นเจ้าก็แล้วกัน” (9) และนักบุญยวง คริสซอสโตม ว่า “ถึงท่านจะพูดว่า นรกพันนรก ก็เท่ากับว่า ท่านไม่ได้พูดว่าอะไรเลย ในเมื่อเอามาเปรียบกับความทุกข์อันนั้น” (10) นักบุญเอากุสติน เสริมว่า “สมมุติว่า นักโทษแลเห็นพระเป็นเจ้าได้ เขาก็จะไม่รู้สึกถึงความทุกข์แต่อย่างใดเลย ในเมื่อเอามาเปรียบกับความทุกจ์อันนั้น” (11) เพื่อช่วยให้ท่านเข้าใจถึงพระอาชญาโทษอันนี้บ้างเล็กน้อย ขอให้ท่านคิดดูว่า หากเราทำเพชรอันมีค่า 100 กะรัตหาย เราจะเสียใจมาก หากเพชรเม็ดนั้นมีค่า 200 กะรัต ความเสียใจจะทวีขึ้นเป็นสองเท่า และหากว่ามีค่า400 กะรัต ความเสียใจจะทวีขึ้นอีก สรุปความ ของที่เสียไปมีค่าเท่าไร ความเสียใจก็ทวีขึ้นเท่านั้น ก็ทรัพย์ที่นักโทษเสียไป คืออะไรเล่า?- เป็นทรัพย์สมบัติอันใหญ่ไม่มีขอบเขต กล่าวคือ พระเป็นเจ้านั่นเอง ฉะนั้น นักบุญโทมัส จึงลงความเห็นว่า “ผู้เสียต้องเสียใจอย่างไม่มีขอบเขต” (12)
นักบุญเอากุสติน กล่าวว่า “ทุกวันนี้ในโลกมีแต่พวกนักบุญเท่านั้นที่กลัวพระอาชญาประการนี้” (13) นักบุญอิกญาซีโอแห่งโลโยลา ทูลว่า “พระสวามีเจ้าข้า ข้าพเจ้าขอรับพระอาชญาโทษทุก ๆ ประการ ขอแต่อย่าลงพระอาชญาให้ข้าพเจ้าต้องปราศจากพระองค์เท่านั้น พระเจ้าข้า” พวกคนบาปช่างไม่สนใจต่อพระอาชญาโทษนี้เสียเลย เขาดำรงชีพห่างเหินจากพระเป็นเจ้าได้เป็นเวลาเดือน ๆ ปี ๆ ทั้งนี้เพราะเขาคนอาภัพอยู่ในความมืดนั่นเอง ต่อเมื่อตายไปแล้วนั่นแหละจึงจะรู้หรอกว่าตนได้เสียทรัพย์อันมีค่าเพียงไรไป นักบุญอันโตนีโนกล่าวว่า “แต่พอวิญญาณออกจากชีวิตนี้บัดใดนั้นเองจะเข้าใจว่าตัวของตนได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อพระเป็นเจ้า” (14) เป็นอันว่าทันใดนั้นเองเขาจะพลุ่งตัวใคร่จะไปร่วมสนิทกับสิ่งวิเศษสูงสุดของเขา แต่เพราะตัวเขาอยู่ในบาปจึงจะถูกขับไล่ให้ออกห่างจากพระเป็นเจ้า สมมุติว่าใครเอาสุนัขมาล่ามไว้ แล้วเอากระต่ายตัวหนึ่งมาวางไว้ข้างหน้ามัน มันจะพยายามดิ้นรนดึงโซ่ให้ขาด เพื่อจะตะครุบสัตว์ที่มันชอบนั้นให้ได้ฉันใด วิญญาณของเราก็ฉันนั้น เมื่อพรากออกจากร่างกายนี้แล้ว เป็นธรรมดาอยู่เองจะถูกดึงดูดไปหาพระเป็นเจ้า แต่บาปแยกวิญญาณให้ห่างจากพระองค์และขับไล่ให้ห่างไกลไปสู่นรก “ความอสัจอธรรมของท่านได้แยกตัวท่านออกจากพระเป็นเจ้าของท่าน” (อสย. 49, 2) ฉะนั้นตัวนรกอยู่ที่คำตัดสินคำแรก “ไปให้พ้นจากเรา เจ้าพวกต้องแช่ง” (มธ. 25, 41) พระคริสต์เจ้าจะตรัสว่า “ไป ไปให้พ้นเราไม่อยากให้เจ้าเห็นหน้าเราต่อไป” แม้นรกสักพันนรกก็เปรียบกันไม่ได้กับพระอาชญาถูกพระคริสต์เจ้าเกลียดชัง (15) คราวเมื่อดาวิดลงโทษอับโซโลมห้ามไม่ให้มาให้เห็นหน้า อับโซโลมเสียใจพูดว่า: ช่วยบอกพระบิดาทีเถิด ของให้พระองค์ทรงอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้เห็นหน้าพระองค์หรือมิฉะนั้นก็ขอให้พระองค์สั่งประหารข้าพเจ้าเสีย (2 ซมอ. 14, 32) วันหนึ่งพระเจ้าฟีลิปที่ 2 ทอดพระเนตรเห็นขุนนางผู้หนึ่งวางตนไม่เรียบร้อยในโบสถ์ จึงรับสั่งแก่เขาว่า: แต่นี้ต่อไปไม่ต้องมาให้เราเห็นหน้าอีก โทษเท่านี้ก็ทำให้ขุนนางผู้นั้นได้กลับไปตรอมใจตายที่บ้าน ก็จะเป็นอย่างไรหนอ เมื่อคนอธรรมตายไปแล้วและพระเป็นเจ้าจะตรัสแก่เขาว่า “ไปให้พ้น เราไม่อยากเห็นหน้าเจ้าต่อไป!” “เราจะซ่อนหน้าของเรามิให้เขาเห็น และภัยพิบัติทั้งหลายจะตกลงถมทับเขา” (ฉธบ. 31, 17) พระเยซูเจ้าจะตรัสแก่พวกนักโทษให้วันสุดท้ายว่า: พวกเจ้าไม่ใช่พวกของเรา และเราก็มิใช่พวกของเจ้า “จงเรียกชื่อเขาว่า ไม่ใช่ประชากรของเรา เพราะว่าพวกเจ้าจะไม่ใช่ประชากรของเรา และเราจะไม่ใช่พระเจ้าของพวกเจ้า” (ฮชย. 1, 9)
น่าสงสารลูกที่พ่อตายจากไป น่าสงสารเมียที่ผัวตายจากไป เมื่อได้ยินเขารำพรรณว่า โถ! คุณพ่อ ลูกจะมิได้เห็นหน้าคุณพ่อต่อไปแล้ว สามีที่รัก ดิฉันจะไม่ได้เห็นหน้าเธอต่อไปแล้ว! โอ้ อนิจจา! หากเราจะได้ยินเสียงวิญญาณในนรกร้องไห้คร่ำครวญ และเราจะถามเขาว่า: วิญญาณเอ๋ย ร้องไห้ทำไมถึงเพียงนั้นเล่า? เขาจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า: ฉันร้องไห้ก็เพราะฉันได้เสียพระเป็นเจ้าไป และไม่มีวินจะได้แลเห็นพระองค์อีกแล้ว เอาเถิด! อย่างน้อยวิญญาณอาภัพในนรก ยังจะรัก ยังจะนอบน้อมตามน้ำใจของพระเป็นเจ้าได้ก็ยังดีแต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะว่า ถ้าเป็นไปได้ นรกก็จะไม่เป็นนรกต่อไป วิญญาณอัปลักษณ์เหล่านั้นไม่อาจจะนอบน้อมตามน้ำพระทัยได้ เพราะเขาได้กลายเป็นศัตรูกับน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว ทั้งจะรักพระองค์ก็ไม่ไดด้วย มีแต่จะเกลียดชังพระองค์เรื่อยไป สิ่งที่ทำให้เป็นนรกของเขา ก็คือ การที่รู้ว่าพระเป็นเจ้าเป็นองค์คุณงามความดีอย่างที่สุด แล้วมามองเห็นว่าตัวเขาจำต้องเกลียดชังพระองค์ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าทรงน่ารักหาที่สุดมิได้! วันหนึ่งนักบุญกาธารีนา แห่งเชนอวา ถามปีศาจตนหนึ่งว่า มันเป็นใคร มันตอบว่า “ข้าคือผู้เสียสัตย์ปราศจากความรักพระ” นักโทษจะเกลียด จะแช่งด่าพระเป็นเจ้า และเมื่อแช่งด่าพระองค์เขาก็จะพลอยแช่งด่าพระคุณานุคุณที่เขาได้รับจากพระองค์ มีการสร้าง การไถ่บาปศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้นศีลล้างบาป ศีลแก้บาป และเฉพาะอย่างยิ่งศีลมหาสนิทบนพระแท่น เขาจะเกลียดเทวดาและนักบุญทั้งหลาย เป็นต้นอารักษ์เทวดาและนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเขา และเฉพาะอย่างยิ่ง เขาจะเกลียดพระมารดาของพระเป็นเจ้ามากกว่าใครอื่นหมด แต่ที่ร้ายกาจที่สุดคือ เขาจะแช่งด่าพระเป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ และเป็นพิเศษจะแช่งพระบุตรของพระเป็นเจ้าผู้ซึ่งได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อความรอดของเขา เขาจะด่าบาดแผล พระโลหิต พระมหาทรมาน และการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย!
ข้อเตือนใจและคำภาวนา
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระองค์นี้แหละ คือ คุณงามความดีที่ล้นพ้นของข้าพเจ้า คือ คุณงามความดีอันปราศจากขอบเขต แต่แล้วไฉนข้าพเจ้าจึงได้ยอมเสียพระองค์ไปได้เป็นหลายครั้งเล่า! ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า การทำบาป คือการทำเจ็บใจพระองค์เป็นที่สุด และเป็นการเสียพระหรรษทานของพระองค์ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ยังทำอีก! ข้าแต่พระบุตรของพระเป็นเจ้า เป็นความจริงหากข้าพเจ้ามิได้มองดูพระองค์ติดตรึงอยู่กับไม้กางเขน และสิ้นพระชนม์เพื่อข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าคงไม่บังอาจวิงวอนขอ และไม่อาจไว้ใจว่าพระองค์จะทรงอภัยบาปแก่ข้าพเจ้าต่อไปแล้ว ข้าแต่พระบิดา ผู้สถิตสถาพรนิรันดร ขออย่าทอดพระเนตรมองดูข้าพเจ้าเลย แต่โปรดทอดพระเนตรดูพระบุตรสุดสวาทของพระองค์ ผู้กำลังทรงวิงวอนขอความกรุณาเพื่อข้าพเจ้านั้นเถิด โปรดสดับฟังคำวิงวอนของพระองค์ และโปรดอภัยบาปแก่ข้าพเจ้าเถิด พระเจ้าข้า ข้าพเจ้านี้น่าจะต้องไปอยู่นรกแต่หลายปีมานักแล้ว ควรจะหมดหวังที่จะได้รับพระองค์ต่อไปหมดหวังที่จะได้รับพระหรรษทานคืนมาต่อไป ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ทำเคืองพระทัย ที่ได้สละละมิตรภาพของพระองค์ ที่ได้ดูหมิ่นความรักของพระองค์เพราะเห็นแก่ความสนุกอันสารเลวของแผ่นดินนี้ โอ! ให้ข้าพเจ้าตายเสียสักพันครั้งยังดีกว่า ไฉนหนอข้าพเจ้าจึงได้ตาบอดมืด เป็นบ้าไปเช่นนั้นเล่า! พระสวามีเจ้าข้า ขอขอบพระเดชพระคุณที่ได้ทรงโปรดให้ข้าพเจ้ามีเวลาจะแก้ไขความผิดที่ได้กระทำมานั้น ด้วยพระเมตตากรุณาของพระองค์นั่นเอง ข้าพเจ้าจึงยังอยู่นอกนรก และยังรักพระองค์ได้ ข้าพเจ้าจึงใคร่จะรักพระองค์ พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ยอมผลัดเพี้ยนการกลับใจมาหาพระองค์ต่อไปแล้ว โอ้องค์ความดีงามปราศจากขอบเขตเจ้าข้า ข้าพเจ้ารักพระองค์ ข้าพเจ้ารักพระองค์ ดวงชีวิตของข้าพเจ้า องค์ความรักของข้าพเจ้า สารพัดของข้าพเจ้าพระสวามีเจ้าข้า ขอโปรดให้ข้าพเจ้าจำใส่ใจไว้เสมอ ระลึกถึงความรักของพระองค์ต่อข้าพเจ้า และระลึกถึงนรกที่ข้าพเจ้าควรจะไปอยู่แต่นานมาแล้ว ทั้งนี้เพื่อความคิดถึงสิ่งเหล่านี้ จะได้ปลุกใจข้าพเจ้าให้รักพระองค์อยู่เสมอ และให้ทูลพระองค์บ่อย ๆ ว่า ข้าพเจ้ารักพระองค์ ข้าพเจ้ารักพระองค์ ข้าพเจ้ารักพระองค์ พระเจ้าข้า
โอ้พระนางมารีอา พระบรมราชินี ความหวัง และแม่ของข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าอยู่ในนรกแล้ว ข้าพเจ้าก็จะรักท่านต่อไปไม่ได้แล้ว คุณแม่เจ้าข้า ข้าพเจ้ารักท่าน และวางใจว่าท่านจะช่วยสงเคราะห์ไม่ให้ข้าพเจ้าเลิกรักท่าน และไม่ให้เลิกรักพระเป็นเจ้าของข้าพเจ้าเป็นอันขาด ช่วยวิงวอนพระเยซูเพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด
(1) Dividet a calore splendorem.
(2) Quantum sufficit ad videndum illa, quae torquere possunt (Suppl. q. 97, a 4)
(3) lbi miserorum societas miseriam non minuet, sed augebit. (S. T. Sup)
(4) In cujus comparatione noster hic ignis depictus est.
(5) Longe alius est ignis qui usui humano, alius qui Dei Justitiae deservit
(6) Veniet dies, imo nox, quando libido tua vertetur in picem, qua se nutriat perpetuus ignis in tuis visceribus (De Coeb. sac. c. 3).
(7) In uno igne omnia sentient in inferno peccatores (Epist. ad Pal.).
(8) Pone ignem, pone ferrum, quid nisi umbra ad illa tormenta?
(9) Addantur tormenta tormentis, ac Deo ne priventur.
(10) Si mille dixeris gehennas, nihil par dices illius dolori Rom, 48 ad Po)
(11) Nullam poenam sentiret, et infernos verteretur in paradisum (S Aug. c. 87, a. 4).
(12) Poena damnati est infinita, quia est amissio boni infiniti (S. T. 1, 2; Q. 4, de tripl. had.).
(13) Hic amantivus non contemnentibus poena est.
(14) Separata autem anima a corpore intelligit Deum summum bonum et ad ilum esse creatum.
(15) Si mille quis ponat gehennas, nihil tale dicturus est, quale est exosus Christo (Hom. 24 Matth. S. Chrys).
- บทที่ 01 "ภาพของคนเพิ่งตาย"
- บทที่ 02 "เมื่อตาย ทุกสิ่งจบสิ้น"
- บทที่ 03 "ชีวิตมนุษย์ไม่ยืนนาน"
- บทที่ 04 "ความตายเป็นของแน่"
- บทที่ 05 "เวลาตายไม่แน่"
- บทที่ 06 "ความตายของคนบาป"
- บทที่ 07 "ความรู้สึกต่าง ๆ ของคนใกล้จะตาย"
- บทที่ 08 "ความตายของผู้ใคร่ธรรม"
- บทที่ 09 "สันติสุขของผู้ใคร่ธรรมเมื่อเวลาจะตาย"
- บทที่ 10 "วิธีการสำหรับ เตรียมรับความตาย"
- บทที่ 11 "ค่าของเวลา"
- บทที่ 12 "ความสำคัญของความรอด"
- บทที่ 13 "ความฟุ้งเฟ้อของโลก"
- บทที่ 14 "ชีวิตปัจจุบัน คือการเดินทางไปสู่นิรันดรภาพ"
- บทที่ 15 "ความอุกฉกรรจ์ของบาปหนัก"
- บทที่ 16 ความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า
- บทที่ 17 การล่วงเกินความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า
- บทที่ 18 จำนวนบาป
- บทที่ 19 พระหรรษทานเป็นสิ่งมีค่าเพียงไร?
- บทที่ 20 ความบ้าของคนบาป
- บทที่ 21 ชีวิตอันไม่เป็นสุขของคนบาป และชีวิตอันผาสุกของคนที่รักพระเป็นเจ้า
- บทที่ 22 ความเคยชินในความชั่ว
- บทที่ 23 กลอุบายที่ปีศาจนำมาใช้ล่อลวงคนบาป
- บทที่ 24 การพิพากษาทีละคน
- บทที่ 25 การพิพากษาประมวลพร้อม
- บทที่ 26 โทษานุโทษในนรก
- บทที่ 27 นิรันดรภาพของนรก