Skip to main content

เตรียมเผชิญ

ค ว า ม ต า ย

บทที่ 13 "ความฟุ้งเฟ้อของโลก"

book

1. โลกคือสิ่งฟุ้งเฟ้อ

        ในสมัยโบราณ มีนักตรรกวิทยาผู้หนึ่ง นามว่า อารีสติปป์ คราวหนึ่งขณะกำลังโดยสารอยู่ในทะเล เรือเกิดอับปางลง เขาเอาตัวรอดขึ้นฝั่งได้ แต่เสียข้าวของจนสิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อชาวบ้านแถบนั้น ทราบว่าเขามีความรู้และชื่อเสียงโด่งดัง จึงช่วยกันจัดหาข้าวของต่างๆ มาทดแทนให้เขาจนครบถ้วนจากที่นี้ เขาเขียนจดหมายถึงพวกเพื่อน ๆ ที่บ้านเกิดของเขาว่า: ขอให้ท่านทั้งหลายเอาอย่างข้าพเจ้า คือ ให้ใฝ่ใจหาเฉพาะทรัพย์อันที่ แม้เรืออับปาง ก็ไม่เสียหาย คำสอนอันเดียวกันนี้เอง พ่อแม่ญาติพี่น้อง และมิตรสหายของเรา ผู้ที่ขณะนี้บรรลุถึงนิรันดรภาพแล้ว นำมาเตือนใจเรา ท่านบอกให้เราใฝ่ใจแสวงหาในชีวิตปัจจุบันนี้ เฉพาะแต่ทรัพย์สมบัติชนิดที่เมื่อตายไปแล้วจะไม่สูญหาย วันตายเรียกว่า วันเสียหาย (ฉธบ.  32, 35) เพราะว่าในวันนั้น สมบัติแห่งโลกนี้ยศฐาบรรดาศักดิ์ โภคทรัพย์ ความสนุกสุขสบาย ทุกสิ่งเหล่านี้จะสูญสิ้นไป ฉะนั้นนักบุญอัมโบรส จึงว่า “สมบัติเหล่านั้น จะเรียกว่าเป็นสมบัติของเราไม่ได้ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เราจะนำติดตัวไปยังโลกหน้าไม่ได้ มีแต่ฤทธิ์กุศลเท่านั้น ที่จะตามเราไปยังชีวิตหน้า” (1)

        พระเยซูคริสต์ทรงสอนว่า “จะประโยชน์อะไร แม้จะได้ทั้งโลกจักรวาล” (มจ. 16, 26) หากเมื่อตาย เราเสียวิญญาณ เราก็เสียหมดทุกสิ่ง? อา! คติพจน์อันสำคัญนี้ได้บันดาลให้หนุ่มสาวกี่คนแล้ว ไปขังตัวอยู่ในพระอาราม! ได้ดลบันดาลให้ฤษีกี่องค์แล้ว ไปตั้งอาศรมอยู่ในป่า? ได้เร้าให้มาร์ตีร์กี่องค์แล้วพลีชีพเพื่อพระเยซูคริสต์! คติพจน์อันนี้เอง ที่นักบุญอิกญาซีโอแห่งโลโยลา ได้นำมาใช้ชักจูงวิญญาณมากหลายไป้เข้ามาหาพระเป็นเจ้า เฉพาะอย่างยิ่งวิญญาณอันงามของนักบุญฟรันซีส เซเวีย์ ผู้ที่ขณะนั้นอยู่ที่กรุงปารีสกำลังฝักใฝ่อยู่ทางโลก “ฟรันซีสเอ๋ย นักบุญเอ่ยขึ้นในวันหนึ่ง โลกน่ะ มันทรยศนะ สัญญาแล้วไม่ถือตามเอาเถอะ แม้ว่าโลกจะถือตามสัญญาที่ให้ไว้แก่ท่าน มันก็ไม่อาจทำความอิ่มใจท่านได้ เอ้า! สมมุติว่าดลกทำความอิ่มใจแก่ท่านได้ ก็ความสุขที่มันจะให้ จะคงอยู่ช้านานแค่ไหน? จะยืนยงเกินกว่าชีวิตของท่านไปได้หรือ? และที่สุดเมื่อไปสู่นิรันดรภาพ ท่านจะนำอะไรติดตัวไปเล่า? มีเศรษฐีคนไดบ้าง ที่นำเงินติดตัวไปสักบาทหนึ่ง หรือคนไช้สักคนหนึ่งไปด้วยเพื่อความสะดวกสบายของตน? มีกษัตริย์องค์ไหนบ้าง ได้นำกำมะหยี่แม้เพียงเส้นหนึ่งติดตัวไป เพื่อแสดงราชศักดิ์ของตน?” เพราะได้ฟังคำตักเตือนดังนี้ ฟรันซีสจึงได้สละละโลก เข้าคณะของนักบุญอิกญาซีโอ แล้วจึงได้กลายเป็นนักบุญ

        “ความฟุ้งเฟ้อแห่งความฟุ้งเฟ้อ” (ปญจ. 12, 8) กษัตริย์ ซาโลมอนตรัสเรียกสมบัติพัสถานของโลกไว้ดังนี้ หลังแต่ท่านได้ปล่อยตัวหาความสนุกสุขสบายทุกอย่างทุกประการอันมีอยู่บนพื้นแผ่นดิน ดั่งที่ท่านเองได้สารภาพไว้ (ปญจ. 2, 10) ธิดาแห่งจักรพรรดโรดอลโฟ ที่ 2 ภคินี มาร์คารีตาแห่งนักบุญอันนา คณะการ์เมไลต์ไม่สวมรองเท้า ได้กล่าวว่า “เมื่อถึงเวลาตาย การได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะเป็นประโยชน์อะไร” แปลกแท้! เมื่อคิดถึงเรี่องความรอดตลอดนิรันดร แม้พวกนักบุญก็ตัวสั่น ตัวอย่างคุณพ่อเปาโล เซเญรี ตัวสั่น ถามพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาป อย่างตกอกตกใจว่า “ว่าอย่างไร คุณพ่อ ฉันจะเอาตัวรอดไหม?” นักบุญอันเดรอา อาแวลลีโน ก็ตัวสั่น ร้องไห้ฟูมฟาย พูดว่า “ใครจะไปรู้ ฉันจะเอาตัวรอดได้หรือไม่?” ความคิดอย่างเดียวนี้ ทรมารนนักบุญหลุยส์ แบร์ตรันโดจนเวลากลางคืน ท่านตกใจ กระโดดลุกขึ้นจากเตียง ร้องว่า “ใครจะไปรู้ บางทีฉันจะตกนรก!” ก็ไฉนคนบาป ซึ่งดำรงชีพอยู่ในฐานะที่ควรจะต้องไปนรกแท้ ๆ เขาจึงนอนตาหลับ จึงคุยสนุก จึงหัวเราะเล่นได้หนอ?

        ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        อา! พระเยซู พระมหาไถ่ของข้าพเจ้า ขอขอบพระคุณที่ได้ทรงโปรดให้ข้าพเจ้ารู้จักความบ้า และความผิดที่ข้าพเจ้าได้หันหลังให้แก่พระองค์ พระเป็นเจ้าผู้ได้ทรงพลีพระโลหิตและพระชนม์ชีพเพื่อข้าพเจ้า เป็นความจริงไม่ควรเลยที่ข้าพเจ้าจะกระทำกับพระองค์ดังนี้! โอ้! หากความตายจะมาหาข้าพเจ้าในเวลานี้ ข้าพเจ้าจะมีอะไรติดตัว นอกจากบาป และความร้อนใจ ซึ่งมีแต่จะทำให้ข้าพเจ้าตายด้วยความกระวนกระวายเป็นที่สุดเท่านั้น พระมหาไถ่เจ้าข้า ข้าพเจ้าขอสารภาพว่าได้กระทำผิด ได้พลาดพลั้ง ได้สละละพระองค์ องค์คุณงามความดีที่ล้นพ้น เพราะเห็นแก่ความสนุกสารเลวของโลก ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เสียใจจริง ๆ แล้ว! ทรงพระกรุณาเห็นแก่ความปวดร้าว ซึ่งได้ปลิดพระชนม์ชีพของพระองค์บนไม้กางเขนและโปรดให้ดวงใจของข้าพเจ้าปวดร้าวไป เพราะได้กระทำบาปจนข้าพเจ้าต้องร้องไห้ตลอดทั้งชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้เถิด พระเจ้าข้า พระเยซูเจ้าข้าอภัยโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าสัญญาว่า จะไม่กระทำเคืองพระทัยต่อไป แต่จะรักพระองค์เสมอเป็นนิตย์ ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์ทรงรักข้าพเจ้าเพราะในครั้งก่อนข้าพเจ้าได้ประมาทความรักของพระองค์ ถึงกระนั้น พระองค์ตรัสว่า พระองค์ทรงรักผู้ที่รักพระองค์ (สภษ. 8, 17) บัดนี้ข้าพเจ้ารักพระองค์ฉะนั้นโปรดรักข้าพเจ้าด้วยเถิด พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ยอมปล่อยตนให้อยู่ในฐานะเป็นศัตรูของพระองค์ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าสบะละยศศักดิ์ และความสนุกสบายทั้งสิ้น ของโลก ต้องการแต่ให้พระองค์ทรงรักข้าพเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เดชะความรักของพระองค์ต่อพระเยซูคริสต์ โปรดสดังฟังคำวิงวอนของข้าพเจ้าเถิด พระเยซูเจ้าเองก็กำลังทรงวิงวอนขอพระองค์อย่าทรงขับไล่ข้าพเจ้าออกจากดวงพระหฤทัยของพระองค์ ข้าพเจ้าขอถวายตัวข้าพเจ้าทั้งหมดแด่พระองค์ ขอถวายชีวิต ความยินดี ความรู้สึกต่าง ๆ วิญญาณ ร่างกาย เจตนา และอิสระภาพของข้าพเจ้าแด่พระองค์ ทรงพระกรุณา โปรดรับไว้เถิด พระเจ้าข้า โปรดอย่าทรงผลักไสข้าพเจ้า ดังที่สมจะได้รับเลย เพราะข้าพเจ้าได้เคยผลักไสมิตรภาพของพระองค์มาเป็นหลายครั้งหลายหนนั้น พระเจ้าข้า (2)

        พระนางพรหมจาริณีผู้ศักดิ์สิทธิ์ พระแม่มารีอา เจ้าข้า โปรดวิงวอนพระเยซูเพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าวางใจในคำเสนอวิงวอนของท่านเสมอ


2. โลกหลอกลวง

        อยากรู้ว่า อะไรเป็นทรัพย์แท้ เราต้องชั่งดูตามตาชั่งของพระเป็นเจ้า และไม่ใช่ตามตาชั่งของโลก ซึ่งหลอกลวง คดโกง (3) ทรัพย์ของโลกเป็นของเลวเหลือเกิน มันไม่อิ่มใจเรา ทั้งหมดสิ้นไปรวดเร็ว “วันของข้าพเจ้าล่วงไปเร็วกว่านักวิ่ง มันผ่านไปเหมือนกับเรือ” (โยบ. 9, 25) วันเวลาแห่งชีวิตของเรา พร้อมทั้งความสนุกสุขสบายทั้งสิ้นของโลก ล่วงไป วิ่งหนีไปและที่สุดก็เหลืออะไร? มันผ่านไปเช่นเดียวกับเรือ เมื่อเรือผ่านไป มันไม่ทิ้งอะไรไว้เลย แม้แต่ร่องรอย (ปชญ. 5, 10) โปรดภามดูพวกเศรษฐี พวกนักปราชญ์ พวกเจ้านาย ซึ่งขณะนี้อยู่ในนิรันดรภาพแล้วว่า: บัดนี้ เข้ามีความหรูหรา ความสนุกสบาย ความสง่าราศีอย่างที่เคยมีในโลกหรือไม่? เขาทุกคนจะตอบว่า: ไม่มี ไม่มีเลย นักบุญเอากูสติน อุทานว่า “มนุษย์เอ๋ย เจ้ามัวมองดูเจ้านายผู้นั้น ในแง่ที่ว่า เขามีข้าวของอะไรบ้างในโลก ขอให้เจ้ามองดูในแง่ที่ว่า เขาจะนำอะไรติดตัวเข้าไปบ้างซิ” (4) ในเมื่อเขาจะตายไป นอกจากศพอันเน่าเหม็น และเสื้อชิ้นหนึ่ง ซึ่งจะพลอยผุเปื่อยไปพร้อมกับศพ

        เมื่อเจ้านายในโลกนี้ตายไป ชั้นแรกในชั่วเวลาไม่นานนัก จะมีการโจษจันถึงเขาบ้าง แต่แล้วแม้ความทรงจำถึงเขาก็จะหมดสิ้นไป (5) อนิจจา! เมื่อคนเหล่านี้ไปนรกเขาจะทำอะไร? จะพูดว่าอะไร? เขาจะร้องไห้ จะพูดว่า “ความหรูหราโอ่อ่า ความมั่งมีของเรานั้น เป็นประโยชน์อะไร ในเมื่อในบัดนี้มันผ่านพ้นไปเหมือนกับเงา” (ปชญ. 5, 8) เหลืออยู่แต่ เราจะต้องโทษ ต้องร้องไห้ และต้องเสียใจตลอดทั้งนิรันดรภาพ”

        พวกลูกแห่งโลกนี้ ฉลาดกว่าพวกลูกแห่งความสว่า (ลก. 16, 8) ไม่น่าแปลกใจหรือ! ชาวโลกช่างเฉลียวฉลาดในเรื่องของโลกนี้จริงหนอ? ความเหน็ดเหนื่อยชนิดไหนเขาจะไม่สู้ ในเมื่อต้องการจะได้รับตำแหน่งหน้าที่อันนั้นข้าวของสิ่งนั้น? ความลำบากชนิดใหน เขาจะไม่ยอมทน เพื่อจะรักษาสุขภาพในร่างกายของเขา? เขาเลือกเฟ้นเอาวิธีที่แน่ที่สุด หมอที่เยี่ยมกว่าหมด ยาขนานวิเศษกว่าหมด อากาศที่บริสุทธิ์ที่สุด แต่สำหรับวิญญาณเล่า เขาไม่เอาใจใส่เสียเลย! แต่ถึงกระนั้น มันก็เป็นการแน่ว่า สุขภาพ ตำแหน่งหน้าที่ ข้าวของจะต้องหมดสิ้นไปในวันหนึ่ง แต่ว่า วิญญาณ นิรันดรภาพ ไม่มีวันจบสิ้น นักบุญเอากุสตินบอกว่า “ขอให้สังเกตดูเถิด คนเรายอมสู้ทรความยากลำบากเพียงไรสำหรับจะได้ของที่เขารัก ในทางไม่ถูกต้อง” (6) มีอะไรหรือ ที่คนจองเวร คนขโมยคนชั่ว จะไม่ยอมรับทน เพื่อสำเร็จผลตามความตั้งใจชั่วของเขา? แล้วสำหรับวิญญาณเล่าเขาไม่ทนอะไรสักนิด! อนิจจา! เมื่อเทียบในคราวตาย จะสาดแสงเมื่อความจริงจะปรากฏเด่นชัด เมื่อนั้นแหละ คนใจโลกจะรู้ จะรับว่า ตนเป็นคนบ้าเมื่อนั้นแหละ เขาต่างจะร้องว่า “โอ! หากฉันจะได้สละละทุกสิ่ง และจะได้บำเพ็ญตนเป็นนักบุญ ละก็...”

        พระสันตะปาปา เลโอที่ 11 เมื่อจวนจะสิ้นพระชนม์มีพระดำรัสว่า “หากว่าเราจะได้เป็นตนเฝ้าประตูพระอารามของเรา ก็คงจะดีเสียกว่าได้เป็นพระสันตะปาปาเป็นไหน ๆ พระสันตะปาปา โฮนอรีโอที่ 3 ก็เหมือนกัน ก่อนจะเสด็จดับขันธ์มีพระวาจาว่า “หากเรานี้ได้คงอยู่ในครัวอารามของเรา เป็นคนล้างถ้วยล้างชามก็ยังจะดีกว่าที่เป็นอยู่ในบัดนี้” ฟีลิปที่ 2 พระเจ้ากรุงเสปญ เมื่อจะสิ้นพระชนม์ได้ทรงเรียกโอรสเข้ามา ถอดฉลองพระองค์ออก ชี้ทรวงอกที่มีหนอนกำลังไชตรัสว่า “เจ้าชาย เห็นไหม? คนเราตายกันอย่างไร? ความยิ่งใหญ่ของโลกนี้จบสิ้นลงอย่างไร?” และทรงอุทานว่า “เสียดายแท้ ๆ ที่ข้ามิได้เป็นภราดาในคณะใดคณะหนึ่ง แทนจะเป็นในหลวง!” อันดับนั้น ทรงรับสั่งให้เอาเชือกและกางเขนมาผูกไว้ที่พระศอ ครั้นได้ทรงเตรียมทุกสิ่งพร้อมสรรพสำหรับจะตายแล้ว ก็มีพระราชดำรัสเสริมว่า “ลูกเอ๋ย พ่อใคร่ให้เจ้าอยู่ในขณะนี้ เจ้าจะได้เห็นว่าโลกในวาระสุดท้ายนั้น มันเป็นอย่างไร แม้สำหรับตัวพระราชาความตายของพระราชานั้น มันก็เหมือนกับความตายของคนที่จนที่สุดในโลกนั่นเอง พูดสั้นๆ ใครได้ดำรงชีพดีกว่ากัน คนนั้นแหละจะได้อยู่ใกล้ชิดพระเป็นเจ้ามากกว่ากัน” พระโอรสผู้นี้ ภายหลังได้เสวยราชย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าฟีลิปที่ 3 ทรงสิ้นพระชนม์ขณะยังทรงหนุ่มแน่น มีพระสิริพรรษาเพียง 43 คราวนั้นพระองค์ตรัสว่า “ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งหลาย ในสุนทรพจน์งานศพของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายอย่ากลัวถึงสิ่งใดนอกจากสิ่งที่ท่านกำลังแลเห็นอยู่นี้ ขอให้ท่านพูดว่าเมื่อถึงคราวตาย การเป็นในหลวง ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้รู้สึกลำบากมากขึ้น เพราะที่ได้เป็นในหลวงเท่านั้น” แล้วพระองค์อุทานต่อว่า “โอ้! หากข้าพเจ้ามิได้เป็นในหลวงหากข้าพเจ้าได้ดำรงชีพอยู่ในป่า ปรนนิบัติพระเป็นเจ้าแล้วปานนี้ข้าพเจ้าจะไปอยู่เฉพาะพระที่นั่งของพระเป็นเจ้า ด้วยมีความหวังมากกว่านี้ และจะไม่อยู่ในภัยจะตกนรกดังเช่นเป็นอยู่ในบัดนี้!”

        ก็เมื่อถึงคราวจะตาย ความปรารถนาดีดังเช่นที่กล่าวมานี้ จะเป็นประโยชน์อะไรนอกจากจะเพิ่มโทษ เพิ่มความเสียใจแก่บุคคลที่มิได้รักพระเป็นเจ้าขณะมีชีวิตอยู่ในโลก? ฉะนั้นนักบุญเทเรซา จึงกล่าวว่า : จงอย่านับถือข้าวของที่จะสิ้นสุดลงพร้อมกับชีวิตเลย ความสุขแท้อยูที่การครองชีพขนิดที่จะไม่ต้องกลัวความตาย นั่นเอง เพราะฉะนั้น หากชาวเราประสงค์จะรู้จักราคาแท้แห่งทรัพย์สมบัติในโลกนี้ก็จงพิจารณาดูมันบนที่นอนเวลาจะตายเถิดและให้พูดว่า: ยศศักดิ์ ความสนุกสุขสบาย ทรัพย์สมบัติจะจบสิ้นในวันหนึ่ง ชาวเราจึงต้องเอาใจใส่ในการบำเพ็ญตนเป็นนักบุญ ในการเป็นผู้มั่งมีด้วยเฉพาะทรัพย์สมบัติชนิดที่จะตามเราไปและจะทำให้เราเป็นสุขใจตลอดทั้งนิรันดรภาพนั้นแล

        ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        อา! พระมหาไถ่เจ้าข้า พระองค์ได้ทรงรับทนทุกข์ทรมาน และความอับอายเหลือประมาณ เพราะทรงรักข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้ากลับไปรักความสนุกสุขสบาย และควันของแผ่นดิน จนได้บังอาจเหยียบย่ำพระหรรษทานของพระองค์ก็หลายครั้ง แม้ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังหมิ่นประมาทพระองค์ดังนั้น พระองค์ก็มิได้ทรงยับยั้งการเสด็จมาหาข้าพเจ้า แต่ในบัดนี้ พระเยซูเจ้าข้า ข้าพเจ้ากำลังตามหาและกำลังรักพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจ ข้าพเจ้าจึงมิต้องกลัวพระองค์จะทรงขับไล่ข้าพเจ้าเสียใจ เพราะการที่ได้ทำเคืองพระทัย ยิ่งกว่าเพราะความเสียหายอย่างอื่นใดทั้งสิ้น โอ้ พระผู้เป็นเจ้าแห่งวิญญาณของข้าพเจ้า แต่บัดนี้สืบไป ข้าพเจ้าจะไม่ยอมกระทำความเจ็บช้ำน้ำใจของพระองค์อีกเบย แม้ในข้าเล็กน้อย โปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบเถิดว่า พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยสิ่งใด และข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งนั้นเป็นอันขาด แม้จะได้ผลประโยชน์ฝ่ายโลกนี้เพียงไรก็ตาม และโปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบเถิดว่าพระองค์ทรงพอพระทัยสิ่งใด ข้าพเจ้ายินดีรับทำทุกประการ พระเจ้าข้า ข้าแต่พระสวามี ข้าพเจ้าตั้งใจรักพระองค์จริง ๆ ข้าพเจ้ายินดีรับความเจ็บปวดและกางเขนทุกชนิดจากพระหัตถ์ของพระองค์ ขอทรงโปรดแต่ให้ข้าพเจ้ามีความเสียสละเท่าที่ต้องการนั้นด้วยเถิด พระเจ้าข้า ณ โลกนี้ ขอพระองค์โปรดเผาข้าพเจ้า โปรดเฉือนข้าพเจ้าเถิด โปรดลงโทษข้าพเจ้าในชีวิตนี้ เพื่อข้าเจ้าจะได้รักพระองค์ตลอดนิรันดรภาพ ในชีวิตหน้า พระเจ้าข้า

        พระแม่มารีอาเจ้าข้า ขอมอบตัวข้าพเจ้าไว้กับท่าน โปรดอย่าหยุด วิงวอนพระเยซู เพื่อข้าพเจ้าเลย


3. มาคิดถึงสวรรค์กันเถิด!

        “วันเวลามันสั้น... ผู้ที่ใช้ของของโลกนี้ จงทำตนเหมือนไม่ใช่มัน เพราะว่าภาพแห่งโลกนี้ผ่านพ้นไป” (1 คร. 7, 29-31) ชีวิตของเราในโลกนี้เป็นอะไรถ้ามิใช่เป็นละครที่ล่วงไปและจบสิ้นโดยรวดเร็ว “ภาพของโลกนี้ผ่านพ้นไป” ภาพคือละคร การเล่นละคร คุณพ่อ กอร์เนลีโอ อา ลาปีเด อธิบายว่า: โลกเรานี้เป็นเหมือนโรงละคร คนยุคหนึ่งล่วงไป คนอีกยุคหนึ่งเข้ามาแทน ผู้ที่ได้เป็นในหลวง จะไม่นำราชกุธภัณฑ์ (เคื่องหมายแสดงความเป็นพระราชา) ติดตัวไปด้วยหรอก ช่วยบอกข้าทีซิ ที่ดินเอ๋ย บ้านเรือนเอ๋ย เจ้าทีเจ้าของกี่คนแล้ว?” (7) เมื่อจบบทละครคนที่เล่นเป็นในหลวง จะไม่เป็นในหลวงต่อไป คนที่เล่นเป็นนายจะไม่เป็นนายต่อไปในขณะนี้ ท่านมีที่ดิน ท่านมีตึกรามงาม ๆ แต่เมื่อความตายจะมาถึง มันจะตกเป็นของคนอื่น

        ครั้นวาระแห่งความตายจะมาถึง ก็จะทำให้ลืมความเป็นเจ้าใหญ่นายโตยศศักดิ์และความโอ่อ่าหรูหราของโลกทั้งสิ้น หนังสือปัญญาจารย์กล่าวว่า “ความร้ายในหนึ่งชั่วโมง จะทำให้ลืมความสนุกอันมหึมา” (บสร. 11, 29) วันหนึ่งกาซีมีร์พระเจ้ากรุงโปแลนด์ ทรงนั่งโต๊ะเสวยพระกระยาหารพร้อมกับบรรดาขุนนางขณะทรงหยิบจอกขึ้นจะดื่ม ก็มีอันเป็น ทรงวายปราณไป เป็นอันว่าละครของกาซีมีร์ลาโรงไปแล้วดังนี้ จักรพรรดิแชลโซ เพิ่งได้รับเลือกตั้งได้เจ็ดวัน แล้วก็ได้ฆ่าตัวตาย ละครของแชลโซจบลงดังนี้ ลาดีสเลาส์ พระเจ้ากรุงโบเฮเมีย หนุ่ม 18 พรรษา กำลังคอยเจ้าสาวธิดาของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสและกำลังจัดงานอภิเษกสมรสอย่างมโหฬาร เช้าวันหนึ่งทรงรู้สึกเจ็บปวดเหลือทน แล้วก็เสด็จดับขันธ์ไปเขาเร่งใช้ม้าไปแจ้งข่าวให้เจ้าสาวเสด็จกลับประเทศฝรั่งเศสเสีย เพราะละครของพระเจ้าลาดีสเลาส์ ลาโรงเสียแล้ว ความคิดถึงความฟ้งแห่งโลกนี้นั้นเองได้ทำให้นักบุญฟรันซีส บอร์ซีอา กลายเป็นนักบุญดังที่เล่าได้เล่ามาแล้ว ทั้งนี้เพราะท่านได้แลเห็นพระนางเจ้า อีซาแบลลา สิ้นพระชนม์ ขณะกำลังรุ่งโรจน์และสาวสด ท่านจึงได้ตัดใจถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าอย่างเด็ดขาด พูดกับตนเองว่า “ความมโหฬาร และมงกุฎของโลก มันลงเอยด้วยอาการเช่นนี้เอง! ฉะนั้นแต่วันนี้ไป ฉันตกลงใจจะปรนนิบัติแต่เฉพาะนายผู้ที่จะไม่ตายจากฉันไปได้”

        ชาวเราทั้งหลาย  จงอุตส่าห์ครองชีพอย่างที่เมื่อถึงคราวจะตาย  จะไม่ถูกพระวรสารตำหนิว่า “เจ้าคนบ้า คืนนี้เอง เขาจะมาทวงวิญญาณของเจ้า และข้าวของที่เจ้าจัดหาไว้นั้นจะเป็นของใคร” (ลก. 12, 20) นักบุญลูกาลงท้ายว่า “จะเป็นดังนี้แหละ คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้เพื่อตน และไม่ทำให้ตนมั่งมีเฉพาะพระพักตร์ของพระเป็นเจ้า” ท่านยังเสริมอีกว่า “จงทำตนให้เป็นผู้มั่งมี ไม่ใช่ด้วยทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกนี้ แต่ด้วยพระเป็นเจ้า ด้วยฤทธิ์กุศล ด้วยบุญกุศลอันเป็นสมบัติ ซึ่งจะดำรงอยู่กับตัวท่านตลอดนิรันดรในสวรรค์นั้นเถิด” (ลก. 12, 33) ฉะนั้น ชาวเราจงพยายามหาแต่ทรัพย์อันแท้ คือ ความรักต่อพระเป็นเจ้าเถิด นักบุญเอากุสตินสอนว่า “เศรษฐีจะมีอะไร หากไม่มีความรัก? ส่วนคนจน หากมีความรัก เขาขัดสนอะไรเล่า?” (8) คนมั่งมี ผู้มีทรัพย์มากมาย แต่ไม่มีพระเป็นเจ้า ก็เป็นผู้มั่งมีด้วยทุกสิ่ง ก็ใครเล่าเป็นผู้มีพระเป็นเจ้า? ผู้ที่รักพระองค์นั้นแหละ “ผู้ใดดำรงอยู่ในความรัก ผู้นั้นดำรงอยู่ในพระเป็นเจ้า และพระเป็นเจ้าทรงดำรงอยู่ในผู้นั้น”     (1 ยน. 4, 16)

        ข้อเตือนใจและคำภาวนา

        อา! พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ปีศาจเป็นเจ้าของวิญญาณข้าพเจ้าต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าต้องการให้พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นเป็นเจ้าและผู้ปกครอง พระเจ้าข้า ข้าพเจ้ายอมสละทุกสิ่งเพื่อจะได้มาเฉพาะพระหรรษทานและถือว่า พระหรรษทานของพระองค์ มีค่ามากกว่า มงกุฎพันอัน หรืออาณาจักรพันอาณาจักร ข้าพเจ้าจะต้องไปรักใคร นอกจากรักพระองค์ องค์ความน่ารักหาที่เปรียบมิได้ องค์ความดีอันปราศจากขอบเขต องค์ความงามวิไล องค์ความใจดี และองค์ความรักอันหาขอบเขตมิได้? ครั้งก่อน ข้าพเจ้าได้ละทิ้งพระองค์ เพราะเห็นแก่สัตว์โลก การกระทำอันนี้ทิ่มแทงและจะทิ่มแทงดวงใจของข้าพเจ้าเสมอ เพราะได้ทำขัดเคืองพระทัยดีของพระองค์ซึ่งได้ทรงรักข้าพเจ้าถึงปานฉะนี้!

        พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า พระเดชพระคุณของพระองค์ที่มีต่อข้าพเจ้าเป็นล้นพ้น ข้าพเจ้าไม่ยอมไม่รักพระองค์ต่อไปแล้ว! องค์ความรักเจ้าข้า โปรดเข้ายึดเจตนาของข้าพเจ้ารวมทั้งข้าวของของข้าพเจ้าจนหมดสิ้น แล้วพระองค์จะทรงทำอย่างไรแก่ข้าพเจ้า ก็สุดแล้วแต่จะทรงเห็นชอบเถิดพระเจ้าข้า ในครั้งก่อน เมื่อถูกความยากลำบาก ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ชอบใจบ้าง ขอพระองค์ทรงพระกรุณาอภัยโทษ แต่นับแต่บัดนี้ไป พระสวามีเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ยอมบ่น ไม่ว่าพระองค์จะทรงโปรดให้เป็นมาอย่างไร เพราะข้าพเจ้าทราบว่าน้ำพระทัยของพระองค์ที่ทรงจัดนั้น เป็นน้ำพระทัยอันศักดิ์สิทธิ์และมุ่งหวังแต่คุณประโยชน์ของข้าพเจ้า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า โปรดทำแก่ข้าพเจ้า ตามแต่จะทรงเห็นดีเห็นควรเถิด ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะยินดีเสมอ จะฉลองพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์สิ่งไดอีกแล้ว ทรัพย์สมบัติ! ยศฐาบรรดาศักดิ์! โลก ฯลฯ! ข้าพเจ้าก็ไม่เอาทั้งนั้นข้าพเจ้าต้องการแต่พระเป็นเจ้าเท่านั้น

        พระแม่มารีอาเจ้าข้า ท่านเป็นผู้มีบุญ เพราะท่านมิได้ทรงรักอะไรในโลกนี้นอกจากพระเป็นเจ้า! โปรดเสนอให้ข้าพเจ้าทำตามอย่างท่านด้วยเถิดอย่างน้อยในชีวิตที่ข้าพเจ้ายังมีเหลืออยู่นี้ข้าพเจ้าวางใจใจท่าน

(1) Non nostra sunt. quae non possumus auferre nobiscum, sola virtus nos comitatur, (S. Ambr.)

(2) Ne projicias me a facie tua (Ps. 50, 13). 13).

(3) In manu ejus stetera dolosa (Os. 12, 7).

(4) Quid hic habebit, attendis, quid secum fert attende (Serm. 13 Dom. de Adv.

(5) Periit memoria eorum cum soritu (Ps. 9, 7)

(6) Intueamur quanta homines sustineant pro rebus, quas vitiose diligunt.

(7) Mundus est instar scenae, generation praeterit, generation advenit. Qui regem agit non auferet secum purpuram. Dic mihi, o domus, o villa, quot dominos habuisti. (Cor. a Lap.).

(8) Quid habet dives, si caritatem non gabet? Pauper, si caritatem habet, quid non habet?

book

บทที่ 13 "ความฟุ้งเฟ้อของโลก"