Skip to main content

เตรียมเผชิญ

ค ว า ม ต า ย

บทที่ 17 การล่วงเกินความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า

book

1. พระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้ยุติธรรมด้วย

   ในอุปมาเรื่องข้าวละมาน โดยนักบุญมัทธิว บทที่ 13 มีกล่าวว่า: เมื่อเห็นข้าวละมานขึ้นปะปนอยู่กับข้าวดี พวกคนใช้อยากจะถอนออก “ท่านประสงค์ให้พวกข้าพเจ้าถอนมันออกหรือไม่?” แต่เจ้าของตอบว่า “อย่าเลย ปล่อยให้มันขึ้นไปพลางก่อน ต่อภายหลังค่อยเก็บแล้วเอาเผาไฟเสีย” จากอุปมาเรื่องนี้นัยหนึ่งเราแลเห็นว่า พระเป็นเจ้าทรงมีความเพียรต่อคนบาป อีกนัยหนึ่ง เราก็แลเห็นว่าพระองค์ทรงเข้มงวดต่อคนใจกระด้าง นักบุญเอากุสติน กล่าวว่า ปีศาจหลอกลวงเรามนุษย์ด้วยกลยุทธ์สองวิธีคือ “ทำให้เสียใจ และทำให้ไว้ใจ” เมื่อคนบาปทำผิดไปแล้ว มันมาประจญให้เสียใจ โดยยั่วให้กลัวความยุติธรรมของพระเป็นเจ้าแต่เมื่อคนบาป ก่อนจะทำผิด มันยั่วให้เขาไว้ใจในความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้าฉะนั้น ท่านนักบุญจึงเตือนสติทุก ๆ คนว่า: เมื่อได้กระทำผิดแล้ว ให้วางใจในความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้าเถิด แต่เมื่อก่อนจะทำผิดให้กลัวพระยุติธรรมไว้ (1) ถูกแล้ว ต้องปฏิบัติดังกล่าวนี้ เหตุว่า บุคคลใดใช้ความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า เพื่อทำผิดต่อพระองค์ บุคคลนั้นไม่สมจะได้รับความเมตตากรุณาความเมตตากรุณามีไว้สำหรับผู้ที่เกรงกลัวพระเป็นเจ้า หาใช่สำหรับผู้ที่บังอาจใช้ความเมตตากรุณา เพื่อไม่เกรางกลัวพระองค์ไม่ ท่านอังฟองโซ โคสตาต์ กล่าวว่า: บุคคลที่ทำผิดต่อความยุติธรรม ยังอาจพึ่งความเมตตากรุณาได้ แต่บุคคลที่ทำผิดต่อความเมตตากรุณา จะไปพึ่งอะไรเล่า?

            ยากมากจะพลคนบาปชนิดที่เสียใจ จนต้องการจะไปนรกเสียทีเดียวคนบาปทั่วไปย่อมทำบาป โดยยังมีหวังว่าจะเอาตัวรอด เขาทำบาป พลางพูดว่า: พระเป็นเจ้าทรงพระทัยกรุณา ฉันจะทำบาปประการนี้ แล้วก็จะแก้ไขต่อภายหลัง นักบุญเอากุสติน กล่าวว่า คนบาปชอบพูดทำนองนี้แหละ (2) แต่อนิจจา! คนที่ได้พูดอย่างนี้ จำนวนมาก บัดนี้ไปอยู่ในนรกเสียแล้ว!

            พระสวามีเจ้าตรัสว่า “เจ้าอย่าพูดว่า พระทัยเมตตากรุณาของพระสวามีเจ้านั้นยิ่งใหญ่ แม้ฉันจะทำบาปเท่าไร ๆ พอฉันเป็นทุกข์ถึงบาป ฉันก็จะได้รับอภัยโทษ” (บสร. 5, 6) ไฉนพระเป็นเจ้าจึงตรัสว่า “เจ้าอย่าพูดดังนี้?” “ก็เพราะว่าพระทัยเมตตากรุณา และ พระพิโรธ แล่นออกจากพระองค์ ตามติดกันมา และพระพิโรธของพระองค์เล็งไปทางคนบาป” (บสร. 5, 7) จริงอยู่ความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้าไม่มีขอบเขต แต่กิจการของความเมตตากรุณานั้น มีขอบเขตพระเป็นเจ้าทรงเมตตากรุณาก็จริง แต่พระองค์ยังทรงยุติธรรมด้วย วันหนึ่งพระสามีเจ้าได้ตรัสแก่นักบุญปริชดว่า “เรานี้ทรงยุติธรรม ทั้งทรงเมตตากรุณาแต่คนบาปคิดว่าเราทรงเมตตากรุณาเพียงด้านเดียว” (3) นักบุญบาซีลีโอ กล่าวว่า “คนบาปชอบพิจารณาดูพระเป็นเจ้าเพียงครึ่งเดียว แต่พระสวามี ทรงพระทัยดี ทั้งทรงยุติธรรมด้วย ชาวเราจึงไม่พอใจพิจารณาดูพระองค์เพียงครึงเดียวเท่านั้น” (4) ท่านยวงแห่งอาวีลากล่าวว่า “การอดทนบุคคลที่บังอาจใช้ความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า เพื่อทำผิดต่อพระองค์ยิ่งขึ้นนั้น ไม่ใช่เป็นการกรุณา แต่เป็นการไร้ความยุติธรรม” ความเมตตากรุณานั้น พระเป็นเจ้าทรงสัญญาไว้แก่คนที่เกรงกลัวพระองค์ หาใช่แก่คนที่ล่วงเกินความเมตตากรุณาของพระองค์ไม่พระมารดาของพระเป็นเจ้าก็ได้ทรงร้อยกรองไว้ในบท “วิญญาณข้าพเจ้าขอเทอดพระเกียรติ” ว่า “พระทัยเมตตากรุณาของพระองค์ สำหรับผู้ที่เกรงกลัวพระองค์” พระเป็นเจ้าได้ทรงกำชับว่า จะทรงใช้ความยุติธรรม ต่อคนดื้อกระด้าง และนักบุญเอากุสตินเน้นว่า พระเป็นเจ้าไม่ทรงหลอกลวง เมื่อพระองค์ทรงสัญยาฉันใด พระองค์ก็ไม่ทรงหลอกลวง เพื่อพระองค์ทรงขู่ฉันนั้น (5)

            นักบุญยวง กลีมาโก เตือนว่า “ให้ระวังไว้จงดี เมื่อปีศาจ (ไม่ใช่พระเป็นเจ้า) สัญญาว่าพระเป็นเจ้าจะทรงแมตตา ทั้งนี้เพื่อจะชักชวนท่านให้ทำบาป (6) นักบุญเอากุสตินเสริมต่อว่า “วิบากกรรมแก่ผู้ที่ไว้ใจ เพื่อทำบาป!” (7) “โอ้! มีกี่คนแล้ว ท่านนักบุญพูดต่อไป ได้หลงและได้พินาศไปแล้วเพราะความไว้ใจอันบ้าบอนี้!” (8) น่าสังเวชแท้ คนที่เอาความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้ามาใช้ล่วงเกินพระองค์ยิ่งขึ้นไปอีก! นักบุญเบอร์นาร์ดกล่าวว่า: ที่พระเป็นเจ้าได้ทรงลงพระอาชญาแก่ลูชีแฟร์ในทันทีทันใด ก็เพราะมันได้คิดทรยศ โดยไว้ใจว่าจะไม่ถูกโทษ เป็นความจริง กษัตริย์มานัสแซสได้เป็นคนบาป แต่แล้วได้กลับใจพระเป็นเจ้าจึงได้ทรงอภัยบาปให้ แต่อัมมอนโอรสของมานัสแซส เห็นว่า บิดาได้รับอภัยบาปอย่างง่ายดายเข่นนี้ จึงได้ปล่อยตัวประพฤติชั่ว ไว้ใจว่าตัวเองก็จะได้รับอภัยบาปเหมือนกัน แต่แล้วสำหรับอัมมอน พระเป็นเจ้าหาได้ทรงพระเมตตาไม่ นักบุญยวง คริสซอสโตมยังกล่าวว่า : ยูดาสได้ฉิบหายไปในการทำบาปโดยหวังในความเอ็นดูปราณีของพระเยซูเจ้า (9) พูดรวบรัด แม้พระเป็นเจ้าทรงเพียรทนแต่พระองค์ก็ไม่ทรงพียรทนเสมอไป ถ้าพระองค์จะทรงเพียรทนเสมอไปแล้วคงจะไม่มีใครสักคนไปนรก แต่ตามความเห็นของคนส่วนมากมีว่า: คริสตังส่วนใหญ่ไปนรก นี่พูดถึงผู้มีอายุรู้ความแล้ว “ประตูและทางนำไปสู่ความพินาศนั้นกว้างขวาง และคนเป็นอันมากเดินเข้าไปทางนี้” (มธ. 7, 13)

            นักบุญเอากุสติน กล่าวว่า: คนที่ทำเคืองพระทัยของพะรเป็นเจ้า โดยหวังจะได้รับอภัยโทษ เขาล้อพระองค์เล่น หาใช่เป็นทุกข์จริงใจไม่ (10) และนักบุญเปาโลก็ได้กำชับว่า: พระเป็นเจ้าไม่ทรงปล่อยให้ล้อพระองค์เล่น “พระเป็นเจ้าจะล้อเล่นไม่ได้” (คาลัต. 6, 7) ต้องถือเป็นการล้อพระเป็นเจ้าเล่นเมื่อทำเคืองพระทัยของพระองค์เรื่อยไปแล้วยังอยากจะไปสวรรค์ ผู้ใดหว่านบาปไว้ ผู้นั้นมีแต่จะต้องคอยรับพระอาชญาและนรก: คนเราหว่านอะไรก็จะเก็บเกี่ยวผลอันนั้น (คาลัต. 6, 8) คริสตังแทบทุกคนที่บัดนี้อยู่ในนรกแล้ว เขาติดข่ายของปีศาจลากไปสู่นรกก็โดยที่มันหลอกลวงบอกแก่เขาว่า: ทำบาปเข้าไปเถิด ทำตามชอบใจ แม้จะมีบาปมากเท่ามาก ท่านก็จะเอาตัวรอดอยู่ดี แต่พระเป็นเจ้าทรงสาบแช่ง ผู้กระทำบาปโดยหวังว่าจะได้รับอภัย (11)  จริงอยู่ เมื่อเราทำบาปแล้ว หากเรามีความไว้ใจพร้อมทั้งเป็นทุกข์ถึงบาป ความไว้ใจเช่นนี้เป็นที่โปรดปรานของพระเป็นเจ้า แต่ความไว้ใจของคนดื้อกระด้าง เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสาปแช่ง (โยบ. 11, 20) ความไว้ใจดังกล่าว ยั่วให้พระเป็นเจ้าทรงลงโทษเหมือน ๆ กับคนใช้ที่เห็นว่านายใจดีจึงได้ล่วงเกิน การทำอย่างนี้มีแต่ยั่วให้นายลงโทษเท่านั้น

     ข้อเตือนใจและคำภาวนา

          ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งในจำนวนคนดังกล่าว ข้าพเจ้าได้กระทำเคืองพระทัยของพระองค์ เพราะเห็นว่าพระองค์ทรงพระทัยดีต่อข้าพเจ้า! อา! พระสวามีเจ้าข้า โปรดรอข้าพเจ้าก่อนเถิด ขออย่าเพิ่งทอดทิ้งข้าพเจ้าเลยข้าพเจ้าหวังว่า เดชะพระหรรษทานของพระองค์ช่วย ข้าพเจ้าจะไม่ยั่งพระองค์ให้ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าต่อไป องค์คุณงามความดีล้นพ้นเจ้าข้า ข้าพเจ้าเสียใจที่ได้ทำขัดเคืองพระทัย และที่ได้ล่วงเกินความเพียรของพระองค์เช่นนั้น ขอขอบพระคุณที่ได้โปรดช่วยข้าพเจ้าจนบัดนี้ แต่นี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะไม่ยอมทรยศต่อพระองค์ดังแต่ก่อน พระองค์ได้ทรงเพียรทนข้าพเจ้าเป็นเวลาช้านาน ก็โดยหวังว่าสักวันหนึ่งข้าพเจ้าจะกลับมาปฏิพัทธ์รักพระทัยดีของพระองค์ ข้าพเจ้าเชื่อว่าวันนั้นมาถึงแล้วเพราะว่าบัดนี้ข้าพเจ้ากำลังรักพระองค์ยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ และข้าพเจ้ายิดมั่นว่า พระหรรษทานของพะรองค์ประเสริฐกว่าอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินกลบข้าพเจ้าพร้อมจะพลีชีพสักพันครั้ง ดีหว่าจะเสียพระหรรษทานของพระองค์อีกเลย พระเจ้าข้า

          ข้าแต่พระแม่มารีอา ท่านเป็นที่วางใจของพข้าพเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้าได้รับความคงเจริญในความดี และข้าพเจ้าจะไม่พอใจในอะไรอีกแล้ว           

2. คนบาปที่ถูกกระเป็นเจ้าทอดทิ้ง

         บางคนจะว่า: ในเวลาที่ล่วงมาแล้วนั้น พระเป็นเจ้าได้ทรงกรุณาต่อฉันหลายครั้งกลายหนแล้วฉันใด ฉันก็หวังว่า พะรองค์จะทรงพระกรุณาต่อฉันต่อ ๆ ไปในภายหน้า ฉันนั้น ขอตอบว่า: เพราะเหตุที่พระเป็นเจ้าได้ทรงพระกรุณาต่อท่าน หลายครั้งหลายหนแล้ว เพราะหุนี้ ท่านจึงอยากจะทำเคืองพระทัยของพระองค์อีก กระนั้นหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็สมจริงตามวาทะของนักบุญเปาโลที่ว่า: ท่านดูหมิ่นพระทัยดี และความเพียรของพระเป็นเจ้า! ท่านไม่รู้หรือว่าพระสวามีเจ้าได้ทรงเพียรทนต่อท่านจนถึงบัดนี้ ไม่ใช่เพื่อให้ท่านดื้อกระด้างทำเคืองพระทัยต่อไป แต่เพื่อให้ท่านร้องไห้คิดเสียดายความชั่วที่ได้กระทำมา? “นี่ท่านประมาทขุมคลังแห่งพระทัยดี และความอดทนของพระเป็นเจ้าหรือ? ท่านไม่ทราบหรือว่า พระทัยอารีของพระองค์นั้น ชักจูงให้ท่านเป็นทุกข์กลับใจ” (รม. 2, 4) หากว่าท่านวางใจในความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า โดยไม่รู้จักจบสิ้นดังนั้น พระสวามีเจ้าเอง จะทรงเลิกและทำให้จบสิ้น “หากพวกเจ้าไม่กลับใจพระองค์จะทรงควงกระบี่” (สดด. 7, 13) “เป็นธุระของเราที่จะแก้แค้น ครั้นถึงเวลาของมัน เราจะกระทำตามยุติธรรม” (ฉธบ. 32, 35) พระเป็นเจ้าทรงรอคอยแต่เมื่อถึงเวลาแก้แค้น จะไม่ทรงรอคอยต่อไป แต่จะทรงเอาโทษ

           ที่พระเป็นเจ้าทรงรอคอยคนบาป ก็โดยมุ่งหวังให้เขาดัดแปลงกิริยา “พระสวามีทรงรอคอยท่าน ก็เพื่อจะทรงเอ็นดูกรุณาท่าน” (อสย. 30, 18) แต่เมื่อทรงเห็นว่า เวลาที่ทรงประทานแก่คนบาป เพื่อให้เขาร้องไห้เป็นทุกข์กลับใจนั้นเขากลับนำมาใช้ทำบาปยิ่งขึ้น พระองค์จะทรงเรียกเอาเวลานั้นเองมาใช้พิพากษาเขา (12) เป็นอันว่า เวลาที่ได้ทรงประทานให้นั้น ความเมตตาที่ได้ทรงให้นั้นจะทำให้คนบาปต้องรับโทษานุโทษเข้มงวดขึ้นและจะต้องถูกทอดทิ้งเร็วขึ้น “เราได้เยียวยากรุงบาบีโลน แต่มันไม่หาย ชาวเราจงทิ้งมันเสียเถิด” (ยรม. 51, 9) และพระเป็นเจ้าจะทรงละทิ้งเขา ด้วยวิธีใด?- พระองค์ทรงปล่อยให้ความตายมาหาเขา และให้เขาตายไปในบาป หรือว่าทรงปล่อยให้เขาขาดพระหรรษทานปล่อยให้เขาได้รับแต่เพียงพระหรรษทานชนิดพอดี ๆ จริงอยู่อาศัยพระหรรษทานชนิดหลังนี้ คนบาปอาจจะเอาตัวรอดได้ แต่ก็จะไม่รอด ดวงจิตรอันมืดมน ดวงใจอันกระด้าง นิสัยชั่วอันติดสันดานของเขา เหล่านั้น เมื่อพูดตามความประพฤติจะทำให้เขาเอาตัวรอดไม่ได้ และดังนั้น จึงว่าเขาถูกทอดทิ้ง ถ้าไม่ใช่โดยเด็ดขาดทีเดียว อย่างน้อยก็โดยความประพฤติ “เราจะถอนรั้วออก และสวนนั้นจะร้าง” (อสย. 5, 5) โอ นี่คือ พระอาชญาโทษอันร้ายแรง! เมื่อเจ้าของรื้อรั้วสวนองุ่นออก ก็หมายความว่า ปล่อยให้ใครอยากเข้าก็เข้าได้ ไม่ว่าคน หรือสัตว์ก็ตาม! นี่แปลว่าอะไร?- แปลว่า เขาทิ้งสวนนั้นแล้ว เมื่อพระเป็นเจ้าทรงทิ้งวิญญาณใดพระองค์ก็ทรงทำต่อวิญญาณนั้นดังนี้ คือ รื้อถอนความเกรงกลัว และความร้อนใจออกจากมโนธรรม ซึ่งเปรียบได้กับรั้วออกเสีย แล้วทรงปล่อยเขาให้อยู่ในความมืดมน เมื่อนั้นพยศชั่วชนิดต่าง ๆ ซึ่งเป็นดังสัตว์กาลี ก็พากันเข้ามาในวิญญาณ “พระองค์ได้ทรงวางความมืดลง แล้วก็กลายเป็นกลางคืน สัตว์ร้ายนานาชนิดของป่า ก็เดินเพ่นพ่านเข้าไปในนั้น” (สดด. 103, 20) ครั้งคนบาปถูกทอดทิ้งให้อยู่ในความมืดดังนี้แล้ว เขาจะประมาทต่อทุกสิ่ง ไม่ว่าพระหรรษทานสวรรค์ คำตักเตือน หรือพระอาชญาโทษ: เขาจะหวังเราได้ กระทั่งแม้การตกนรกของเขาเอง “เมื่อคนอธรรมเลยเถิดลงไปถึงก้นบึ้งแห่งกองบาปแล้วเขาก็ประมาทเนต่อทุกสิ่ง” (สภษ. 18, 3)

          พระเป็นเจ้าจะทรงไว้ชีวิตเขา โดยไม่ลงพระอาชญา แต่การที่ไม่ทรงลงพระอาชญานั้น กลับเป็นพระอาชญาที่ร้ายแรงขึ้นอีก “ชาวเราจงสงสารคนอธรรมเถิด เขาจะไม่สำนึก และกลับมาประพฤติความดีหรอก” (อสย. 26, 10) เมื่อนักบุญเบอร์นาร์ดอธิบายพระคัมภีร์ตอนนี้ ท่านอุทานว่า “ขออย่าให้ข้าพเจ้าได้รับความกรุณาชนิดนี้เลย เพราะมันร้ายกว่าพระพิโรธทุกชนิดเสียอีก” (13) โอ้! มันช่างเป็นพระอาชญาโทษที่ใหญ่หลวงยิ่งนัก เมื่อพระเป็นเจ้าทรงทิ้งคนบาปให้อยู่ในอุ้งมือบาปของเขา และดูเหมือนว่าพระองค์ไม่ทรงเอาใจใส่อีกต่อไป! (สดด. 10, 4) มีพระอาการดังไม่ทรงขึ้นโกรธต่อไปแล้ว “เราจะไม่เอาใจใส่ต่อเขาอีก เราจะทำเฉย จะไม่โกรธอีก” (อสค. 16, 42) และดูเหมือนว่า พระองค์ทรงปล่อยให้เขาได้ตามความปรารถนาทุกอย่างในโลกนี้: “และเราจะปล่อยให้เขาได้สมปรารถนาของเขา” (สดด. 80, 13) เวรกรรมแท้! คนบาปที่มั่งคั่งเป็นสุขในชีวิตนี้! เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่า พระเป็นเจ้าทรงรอจะลงพระอาชญาโทษแก่เขาตามความยุติธรรมของพระองค์ในชีวิตชั่วนิรันดร ท่านประกาศกเยเรมีย์ถามว่า “เหตุไรทุกสิ่งจึงเป็นผลดีแก่คนอธรรม?” แล้วท่านตอบว่า “เพราะพระองค์ทรงรวมเขาไว้ ดังฝูงสัตว์สำหรับจะนำไปฆ่า” (ยรม. 13, 1-3) ไม่มีอะไรล้า จะเป็นพระอาชญาโทษที่ใหญ่ไปกว่าการที่พระเป็นเจ้าทรงปล่อยให้คนบาปทำบาปทับถมบาปยิ่งขึ้น มันเป็นไปตามพระราชนิพนธ์ของกษัตริย์ดาวิดว่า “โปรดเพิ่มความชั่วทับถมความชั่วของมันขึ้นอีก...ขอจงลบมันออกจากบัญชีผู้มีชีวิต” (สดด. 68, 28) ณ ที่นี้ท่านแบลลาร์มีโน กล่าวว่า “ไม่มีอะไรเป็นพระอาชญาโทษใหญ่เท่าบาปเป็นอาชญาโทษของบาปอีกต่อหนึ่ง” (14) ผู้เคระห์ร้ายดั่งนี้ หากจะถูกพระเป็นเจ้าปล่อยให้ตายไป เมื่อครั้งได้ทำบาปประการแรกก็ยังจะดีกว่า ด้วยว่าเมื่อตายไปทีหลัง จะต้องตกนรกมากเท่าจำนวนบาปที่เขาจะได้ประกอบขึ้นนั้นแล

        ข้อเตือนใจและทำภาวนา

            ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้านี้อยู่ในฐานะอันน่าสังเวชนั้น ฐานะอันสมควรที่จะไม่ได้รับพระหรรษทานและแสงสว่างจากพระองค์อีกต่อไป แต่เมื่อมองเห็นแสงสว่างอันพระองค์โปรดปรพทานให้ในขณะนี้ และได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ เชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์กลับใจ ก็ปรากฏชัดว่า พระองค์ยังมิได้ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้า พระสวามีเจ้าข้า ไหน ๆ พระองค์ก็ยังมิได้ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าขอโปรดเพิ่มความเมตตากรุณาต่อวิญญาณของข้าพเจ้าด้วยเถิด โปรดเพิ่มความสว่าง ความปรารถนาในการปรนนิบัติ และรักใคร่พระองค์เถิด พระเจ้าข้า ข้าแต่พระเป็นเจ้า ผู้ทรงสรรพานุภาพ โปรดเปลี่ยนใจข้าพเจ้า จากคนทรยศ ให้กลับเป็นผู้ร้อนระอุอยู่ด้วยความรักต่อความเมตตากรุณาของพระองค์ เพี่อจะได้บรรลุถึงวิมานสวรรค์ในวันหนึ่ง จะได้ร้องสาธุการความเมตตากรุณาของพระองค์ตลอดทั้งนิรันดรภาพ แน่นอน พระองค์ทรงใคร่จะอภัยบาปแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่อย่ากได้อะไรนอกจากการอภัยบาป และความรักต่อพระองค์ พระเจ้าข้า องค์พระผู้ทรงทัยดีที่ล้นพ้น เจ้าข้า ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ตรอมใจ เพราะที่ได้ทำเคืองพระทัย องค์คุณงามความดีที่ล้นพ้น เจ้าข้า ข้าพเจ้ารักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสั่งให้รัก ข้าพเจ้ารักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงน่ารักหาที่สุดมิได้พระมหาไถ่ เจ้าข้า โปรดเห็นแก่พระบารมีแห่งพระโลหิตของพระองค์ และทรงช่วยคนบาปที่พระองค์ทรงรักมากและได้เพียรทนมาก เป็นเวลาช้านานหลายปีมาแล้วนี้ ให้เขาได้รักพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าหวังจะได้ทุกสิ่งดังทูลขอนี้ ด้วยเดชะ ความเอ็นดูปราณีของพระองค์ ข้าพเจ้าหวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะรักพระองค์เรื่อยไปจวบจนสิ้นชีวิต และตลอดทั้งนิรันดรภาพด้วย “ข้าพเจ้าจะซร้องสาธุการความเมตตากรุณาของพระองค์ตลอดทั้งนิรันดรภาพ” (สดด. 88, 1) แน่นอน พระเยซูเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะซร้องสาธุการความเมตตากรุณาของพระองค์ทั้งชั่วนิรันดร พระเจ้าข้า

            พระแม่มารีอา เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญความเมตตากรุณาของท่านด้วย ท่านนี้แหละ เป็นผู้ช่วยให้ข้าพเจ้าได้รับพระหรรษทานมากต่อมาก พระหรรษทานทั้งหลายนี้ ข้าพเจ้าได้รับก็โดยอาศัยคำเสนอวิงวอนของท่าน พระสวมีเจ้าข้า โปรดช่วยข้าพเจ้าต่อ ๆ ไปเถิด ช่วยข้าพเจ้าเจริญในความดีเสมอเถิด

3. เร็วเข้า! รีบกลับใจเสียเถิด

            ในประวัจิของคุณพ่อหลุยส์ ลานูซา มีเรื่องเล่าว่า: วันหนึ่ง ที่นครปาแลร์โม มีเพื่อนสองคนกำลังเนเล่น คนหนึ่งชื่อ เซซาร์ มีอาชีพทางละครเขาผู้นี้ สังเกตเห็นเพื่อนของตนกำลังคิดครุนอะไรอยู่ในใจ จึงเอ่ยขึ้นว่า: นี่แน่ะ! ผมจับได้แล้ว คุณเพิ่งไปแก้บาปมาเมื่อไม่นานนี่ใช่ไหม? เพราะฉะนั้นนี่เล่าจึงไม่สบายใจ แล้วเขาพูดต่อ: ฟังให้ดีนะเพื่อน ครั้งหนึ่ง คุณพ่อลานูซา บอกกับผมว่า พระเป็นเจ้าทรงไว้ชีวิตผมอีก 12 ปี และถ้าผมไม่เปลี่ยนกิริยาในระยะนี้ผมจะต้องตายร้าย ตั้งแต่นั้นมา ผมได้ท่องเทียวไปตามถิ่นต่าง ๆ ได้เจ็บไข้ได้ป่วยก็หลายครั้ง มีครั้งหนึ่งจวนเจียนจะไม่รอดทีเดียว และก็ในเดือนนี้เองจะครบ 12 ปี ตามคำทำนาย แต่ผมรู้สึกว่า ไม่มีคราวใดในชีวิตที่ผมจะสบายดีเท่ากับขณะนี้ครั้นเล่าเรื่องจบแล้ว เขาก็เชิญเพื่อนคนนั้นให้ไปดูละคร เป็นบทใหม่ที่เขาเพิ่งประพันธ์ขึ้น ในวันเสาร์ที่จะถึง ซึ่งตกเป็นวันที่ 24 พฤศจิกายน 1668 วันนั้นเมื่อเขากำลังเตรียมตัวจะออกโรง ก็มีอันเป็น เป็นลม และตายไปอย่างปัจจุบันในอ้อมแขนของนางละครผู้ร่วมอาชีพ ละครของเขาจึงได้ลาโรงไป ด้วยประการฉะนี้

            บัดนี้ จงหันมาดูตัวของเราเองเถิด พี่น้อง ต่อไป เมื่อปีศาจจะมาชักชวนท่านให้ทำบาป หากท่านอยากไปนรก ก็ให้ทำตามความชอบใจเถิด แต่เมื่อนั้นท่านอย่าพูดว่า “ฉันอยากจะเอาตัวรอดก็แล้วกัน” เมื่อท่านอยากทำบาป ก็ให้ถือเสียว่า ตัวท่านตกนรกแล้ว และให้ท่านคิดเหมือนว่า พระเป็นเจ้ากำลังบันทึกคำตัดสินลงโทษท่าน และตรัสแก่ท่านว่า “เจ้าคนใจดำ มีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำเพื่อเจ้า” (อสย. 5, 4) ไหน ๆ เจ้าอยากไปนรก ก็ไปเลย โทษของเจ้าเอง

            ท่านอาจจะว่า “แล้วก็ ความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า?”- อา! คนเคราะห์ร้าย! ท่านไม่เห็นหรือว่า เป็นความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า ที่ได้ทรงทนท่านในกองบาป เป็นเวาหลายปีมานักแล้ว? ท่านน่ะน่าจะต้องก้มกราบ หน้าจรดกับพื้นดิน สมนาพระคุณของพระองค์เรื่อยไปว่า “ด้วยเดชะพระมหากรุณาธิคุณของพระสวามีเจ้า พวกข้าพเจ้าจึงไม่กลายเป็นเปล่าไป” เมื่อท่านได้ทำบาปแม้ประการเดียว ท่านก็ได้ทำอาชญากรรมร้ายแรงยิ่งกว่าได้ทำร้ายพระเจ้าแผ่นดินผู้สูงศักดิ์กว่าหมดในโลก แต่ท่านได้กระทำบาปจำนวนมากมายก่ายกอง จนว่าความผิดตามจำนวนที่ท่านได้กระทำต่อพระเป็นเจ้านั้น ถ้าท่านไปกระทำต่อพี่น้องในไส้ของท่านคนใดก็ตามเขาจะอดทนท่านไม่ไหวแน่ มีแต่พระเป็นเจ้าผู้เดียวเท่านั้น ที่ทรงคอยท่านเรียกร้องหาท่านหลายครั้งหลายหน และเชื้อเชิญท่านให้มารับอภัยโทษ “จะให้พระองค์ทรงทำอะไรยิ่งไปกว่านี้อีกเล่า?” สมมุติว่า หากเป็นไปได้ พระเป็นเจ้าทรงต้องการท่าน หรือว่าท่านได้ทำคุณต่อพระองค์มากมายเหลือล้น ก็ยังจะมีทางให้พระองค์ทรงเมตตาต่อท่านมากไปกว่านี้ได้อีกหรือ? หากท่านขืนดื้อ ทำเคืองพระทัยต่อไป ท่านก็จะทำให้ความเมตตากรุณาของพระองค์กลายเป็นพระพิโรธและอาชญาโทษสำหรับท่าน

            ต้นมะเดื่อเทศที่เจ้าของไปพบ ไม่มีผล และต่อเมื่อได้ให้เวลาอีกหนึ่งปีเพื่อบำรุงรักษามันแล้ว มันก็ไม่มีผลอีก ใครเล่าจะหวังว่า พระสวามีเจ้าจะทรงประทานเวลาให้อีกและจะทรงงดโทษ ไม่ตัดมันเสีย? ท่านพึงฟังคำตักเตือนของนักบุญเอากุสตินว่า “ต้นไม้ที่ไม่มีผล ได้รับเพียงการพักรอเวลาตัดไว้ ตัวท่านเองก็อย่านอนใจ จะต้องถูกตัดลง” นักบุญประสงค์จะเตือนสติว่า: อาชญาโทษสำหรับท่านได้รับการพักรอไว้ หาใช่ถูกยกเสียเลยไม่ หากท่านขืนละเมิดความเมตตากรุณาของพระองค์ทรงผลักท่านลงไปในขุมนรกหรือ? ก็เมื่อท่านไปนรกแล้ว ท่านก็ทราบดีอยู่ว่า ไม่มีทางจะแก้ไขสำหรับท่านอีกต่อไป พระสวามีเจ้าทรงนิ่งเฉย แต่จะไม่ทรงนิ่งเฉยเสมอไปหรอก เมื่อถึงเวลาแก้แค้น พระองค์จะไม่ทรงนิ่งต่อไป “เจ้าได้กระทำการเหล่านี้ และเราได้นิ่งเสีย เจ้าคนบาป เจ้าคิดว่าเราจะต้องเหมือนเจ้า! แต่เราจะทำให้เจ้าเห็นดำเห็นแดง เราจะแจงสี่เบี้ยทุกสิ่งทุกอย่างต่อหน้าต่อตาเจ้า” (สดด. 49, 21) พระองค์จะทรงเผยแลดงความเมตตากรุณาที่ได้ทรงมีต่อท่าน และจะทรงให้ความเมตตากรุณาเหล่านั้น พิพากษาและลงโทษท่าน

           

       ข้อเตือนใจและคำภาวนา

            อา! พระผู้เป็นเจ้า เจ้าข้า จะเป็นเวรกรรมของข้าพเจ้านักหนา หากเมื่อได้รับ แสงสว่างดั่งนี้แล้ว ยังไม่ประพฤติตนสัตย์ซื่อต่อพระองค์อีก ยังยังอาจคิดคดทรยศต่อพระองค์อีก! แสงสว่างอันข้าพเจ้าได้รับอยู่บัดนี้ แสดงว่าพระองค์ทรงใคร่จะอภัยบาปแก่ข้าพเจ้า โอ้! องค์คุณงามความดีที่ล้นพ้นเจ้าข้า ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ถึงบาปที่ได้กระทำต่อพระองค์ทุก ๆ ประการ เพราะมันทำเจ็บช้ำน้ำพระทัยอันดีปราศจากขอบเขตของพระองค์ ข้าพเจ้าไว้ใจว่า ด้วยเดชะพระโลหิตของพระองค์ ข้าพเจ้าได้รับอภัยโทษแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นว่าตนสมจะไปนรกทีเดียว โอ้! พระผู้เป็นเจ้าแห่งวิญญาณของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าหวั่น ๆ อยู่ก็คือข้าพเจ้าอาจจะเสียพระหรรษทานของพระองค์ไปอีกก็ได้ ข้าพเจ้าคิดถึงคำมั่นสัญญา ที่ได้เคยให้แด่พระองค์เป็นหลายครั้งหลายหนแล้ว แล้วข้าพเจ้าก็ได้กลับคิดคดทรยศอีก อา! พระสวามีเจ้าข้า ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าเป็นเข่นนั้นอีกเลย อย่าทรงปล่อยข้าพเจ้าไว้ในภัย อันจะทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นศัตรูของพระองค์อีก โปรดทำโทษข้าพเจ้าเถิด ทำโทษอย่างได ๆ ก็ตาม ขอแต่อย่าให้เป็นโทษอันนี้เท่านั้น พระเจ้าข้า โปรดอย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าพรากจากพระองค์หากพระองค์ทรงเห็นว่า ข้าพเจ้าจะทำเคืองพระทัยอีก โปรดอย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าพรากจากพระองค์หากพระองค์ทรงเห็นว่า ข้าพเจ้าจะทำเคืองพระทัยอีก โปรดให้ข้าพเจ้าตายเสียยังดีกว่า ข้าพเจ้ายินดีรับความตายทุกชนิดแม้ร้ายเท่าร้าย ยังดีกว่าจะต้องร้องไห้เพราะได้เสียพระหรรษทานของพระองค์ไป “ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าพรากจากพระองค์” ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอย้ำทูลเช่นนี้ และขอโปรดให้ข้าพเจ้าย้ำทูลเรื่อย ๆ ไปด้วย: “ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าพรากจากพระองค์” พระมหาไถ่ที่สุดเสน่หาเจ้าข้า ข้าพเจ้ารักพระองค์ ข้าพเจ้าไม่อยากพรากจากพระองค์เดชะพระบุญญาบารมีแห่งการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ โปรดให้ข้าพเจ้ามีความรักอันใหญ่หลวง ซึ่งผูกมัดข้าพเจ้าให้ผนึกแน่นกับพระองค์อย่างที่จะแยกออกจากพระองค์ไม่ได้อีกเลย พระเจ้าข้า

            โอ้ พระนางมารีอา พระแม่เจ้าข้า หากข้าพเจ้าจะกลับไปทำเคืองพระทัยของพระเป็นเจ้าอีก ก็น่ากลัวว่า ท่านเองก็จะทอดทิ้งข้าพเจ้าเสียด้วย ฉะนั้นโปรดภาวนาอุทิศแก่ข้าพเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพเจ้าได้รับความคงเจริญในความดี และความรักต่อพระเยซูคริสต์ด้วยเถิด

(1) Post peccatum spera misericordiam: ante peccatum pertimesce justitiam.

(2) Bonus est Deus, faciam quod mihi placet (Tract. 32 in Jo.).

(3) Ego sum Justus et misericors, peccatores tantum misericordem me existimant.

(4) Bonus est Dominus, sed etiam Justus nolumus Deum eX dimidia parte cogitare.

(5) Qui verus est in promittendo, verus est in minando.

(6) Cave ne unquam canem illum suscipias. qui misericordiam Dei policetur. (Scala spir. gr. 6)

(7) Sperat ut pecccet; vae a perversa spe. (In Ps. 144)

(8) Dinumerari non possunt quantos haec inanis spei umbra deceperit.

(9) Fidit in lenitate Magistri.

(10) Irrisor est, non poenitens.

(11) Maledictus homo, qui peccat in spe.

(12) Vocavit adversum me tempus (Thren. 1, 15). Ipsum tempus ab judicandum venit. (S. Gregorius).

(13) Misericordiam hanc ego nolo; super omnem iram miseratio ista. (Serm. 42 in Cant.).

(14) Nulla poena major, quam peccatum est poena peccati.

book

บทที่ 17 การล่วงเกินความเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า