Skip to main content

เตรียมเผชิญ

ค ว า ม ต า ย

บทที่ 20 ความบ้าของคนบาป

book

1. จำนวนคนบ้า

ท่านยวง แห่งอาวีลา อยากจะแบ่งโลกนี้ออกเป็นสองคุก คุกหนึ่งสำหรับพวกผู้ไม่มีความเชื่อ อีกคุกหนึ่งสำหรับพวกผู้มีความเชื่อ แต่ดำรงชีพอยู่ในบาปห่างเหินจากพระเป็นเจ้าท่านกล่าวว่า คนพวกหลังนี้ น่าจะขังไว้ในโรงพยาบาลคนโรคจิต คนอาภัพเหล่านี้ น่าสังเวชเหลือเกิน: เขาคิดว่าตนเป็นผู้มีปรีชา และเฉลียวฉลาด แต่ที่แท้ เป็นคนบ้า และโง่เง่าที่สุดในโลก! ซ้ำร้าย “จำนวนคนบ้า มีนับไม่ถ้วน” (ปญจ. 1, 15) ต้องนับอยู่ในพวกคนบ้า คนที่แสวงหารยศศักดิ์ ความสนุกสุขสบาย ข้าวของอันถ่อยต่ำสารเลวของแผ่นดิน ทั้งคนที่บังอาจเรียกนักบุญว่าเป็นคนบ้า เพราะเห็นท่านประมาทข้าวของของแผ่นดิน ด้วยต้องการจะเอาตัวรอด ด้วยหวังจะได้ของดีแท้ คือพระเป็นเจ้า พวกคนดังกล่าวถือว่า การอดความสนุกทางประสาท การบำเพ็ญตบะ การสละละยศศักดิ์ และทรัพย์สมบัติ การชอบอยู่สงบ การดำรงชีพอย่างสุภาพ และเก็บตัวเหล่านี้เป็นความบ้า อนิจจา! เขาช่างไม่สำเหนียกบ้างเลยว่า ที่พวกเขาถือว่า เป็นความปรีชาฉลาดนั้น พระสวามีเจ้าทรงเรียกว่าเป็นความบ้า “ความดำริปรีชาของโลกนี้คือ ความบ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระเป็นเจ้า” (1 คส. 3, 19)

            อา! จะมีวันหนึ่งหรอกที่เขาจะยอมรับว่าตนเองนั่นแหละเป็นบ้า และเขาจะสำนึกรู้เช่นนี้เมื่อไร?- พระดำริกล่าวว่า: อนิจจา! พวกเราช่างเคราะห์ร้ายเหลือหลาย! เราเคยถือว่าพวกนักบุญเป็นคนบ้า แต่บัดนี้สิ เรากลับรู้ว่าตัวเราเองนั่นแหละเป็นบ้า นั่นอย่างไร! พวกเขาเข้าอยู่ในหมู่ผู้มีบุญ เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า มีโชคชะตาอยู่ร่วมหมู่พวกนักบุญ และวาสนาของเขานี้ จะคงดำรงอยู่ตลอดนิรันดรภาพ เขาจะได้เป็นสุขอยู่ตลอดไป ส่วนพวกเราเล่าต้องตกเป็นขี้ข้าของปีศาจถูกโทษเผาไฟอยู่ในขุมทรมานตลอดทั้งชั่วนิรันดร!แล้วกัน! พวกเราหลงไปเสียแล้ว! นี่ก็เพราะเราได้ปิดตา ไม่มองดูแสงสว่างของพระเป็นเจ้านั่นเอง! (ปชญ. 5, 4-6) และที่เป็นเวรกรรมกันร้ายกาจสุดพรรณาของพวกเรา ก็คือ ไม่มีทาง และจะไม่มีทางแก้ไขได้เลย ตราบเท่าที่พระเป็นเจ้ายังคงเป็นพระเป็นเจ้า!

            เป็นอันว่า ต้องถือเป็นความบ้าบอหนักหนามิใช่หรือ การที่ยอมเสียพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์อันเลวทราม เพราะเห็นแก่ควันหน่อยหนึ่ง เพราะเห็นแก่ความสนุกชั่วแล่นหนึ่ง! มีอะไรบ้างไหม ที่ข้าแผ่นดินจะไม่ยอมทำเพื่อได้ความชอบของพระเจ้าแผ่นดิน! อนิจจา! ไฉนเขาจึงยอมเสียองค์คุณงามความดีที่ล้นที่พ้น กล่าวคือ พระเป็นเจ้า ยอมเสียสวรรค์ ยอมเสียแม้สันติสุขในชีวิตนี้ โดยปล่อยให้บาปเข้ามาสิงอยู่ในวิญญาณ ซึ่งคอยทรมานวิญญาณด้วยเดือดร้อนเรื่อยไป ไฉนเขาจึงปลงใจลงโทษตัวเองให้ไปสู่มหันตทุข์อันดำรงอยู่ตลอดนิรันดร ทั้งนี้เพราะเห็นแก่ความสนุกถ่อยต่ำเลวทรามอันหนึ่งเล่า! ถามจริง ๆ : ท่านจะเอาความสนุกอันนั้นไหม หากเมื่อเอาแล้วมือข้างหนึ่งของท่านจะไหม้ไป หรือตัวท่านจะถูกขังอยู่ในหลุมหนึ่งปี? ท่านจะยอมทำบาปประการนั้นหรือไม หากเมื่อทำแล้วท่านจะต้องเสียเงินหนึ่งร้อยบาท? ท่านเป็นผู้มีความเชื่อ ท่านรู้อยู่ดีว่าเมื่อทำบาปท่านก็เสียสวรรค์ เสียพระเป็นเจ้าท่านถูกคาดดทษต้องเผาไฟเป็นนิจกาล แล้วไฉนท่านยังทำบาปได้อีกเล่า

ข้อเตือนใจและคำภาวนา

            ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าแห่งวิญญาณของข้าพเจ้า หากพระองค์มิได้ทรงพระเมตตาต่อข้าพเจ้าอย่างเหลือล้น บัดนี้ข้าพเจ้าจะเป็นอย่างไรไปแล้ว! แน่นอนจะต้องอยู่ในนรก ในคุกของพวกคนบ้า ซึ่งข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้น! พระสวามีเจ้าข้า ขอสมนาพระคุณทั้งนี้ โปรดอย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าจมอยู่ในความบอดมืดนั้นเลย พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าสมแล้วจะถูกทอดทิ้ง ให้อดเห็นความสว่างของพระองค์ต่อไป แต่เดชะบุญ พระหรรษทานยังมิได้ทอดทิ้งข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระหรรษทานของพระองค์กำลังเรียกหาข้าพเจ้าด้วยน้ำใจดี และกำลังเชื้อเชิญข้าพเจ้าให้มาขอขมาโทษต่อพระองค์ ทั้งยังช่วยให้ข้าพเจ้ามีหวังจะได้เกียรติศักดิ์อันสูงส่งอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าได้กระทำเคืองพระทัยของพระองค์มากมายนักหนา เป็นความจริง พระมหาไถ่เจ้าข้า ข้าพเจ้าหวังว่าพระองค์จะทรงรับข้าพเจ้าเป็นบุตรอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่สมจะได้ชื่อดังนั้น เพราะได้ดูหมิ่นพระองค์เป็นหลายครั้ง ซึ่ง ๆ หน้าทีเดียว! “คุณพ่อครับ ผมได้ผิดต่อสวรค์และต่อท่านด้วย ผมไม่สมจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านต่อไปแล้ว” (ลก. 15, 18) แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า พระองค์กำลังทรงตามหาลูกแกะที่หลงทาง ทั้งกำลังทรงชื่นชมยินดีสวมกอดลูกที่เสียคนไป พระบิดาที่สุดเสน่หา ข้าพเจ้าเสียใจที่ได้กระทำเคืองพระทัย ขอกราบลงจูบพระบาท ข้าพเจ้าจะไม่ยอมปล่อยพระองค์ไป ดุจดังยากอบจนกว่าพระองค์จะทรงอภัยบาป และทรงอำนวยพระพร (ชาดก 32, 26) พระบิดาเจ้าข้า โปรดอำนวยพระพร ให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ถึงบาปอย่างใหญ่หลวง และให้ข้าพเจ้ารักพระองค์มาก ๆ พระบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้ารักพระองค์ รักพระองค์ด้วยสิ้นสุดดวงใจ โปรดอย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าห่างเหินจากพระองค์อีกเป็นอันขาด โปรดให้ข้าพเจ้าไร้ทุกสิ่งเถิด ขอเพียงอย่าให้ข้าพเจ้าไร้ความรักต่อพระองค์เท่านั้น พระเจ้าข้า

            ข้าแต่พระนางมารีอา พระเป็นเจ้าคือบิดาของข้าพเจ้า ท่านคือมารดาของข้าพเจ้าโปรดอำนวยพระพรแก่ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าไม่สมเป็นบุตรของท่านแต่ขอท่านรับไว้ต่างคนใช้ก็แล้วกัน โปรดให้คนใช้คนนี้รักท่านจริง ๆ และวางใจในความอุปถัมภ์ของท่านเสมอเถิด

2. ความบ้าอันอุกฤษฎ์

            คนบาปน่าสงสารแท้! เขายอมเหนื่อยยาก เขาออกแรงสุดกำลัง เพื่อจะได้ความรู้ฝ่ายโลก จะได้วิชาอันเป็นทางจะได้มาซึ่งโภคสมบัติในชีวิตนี้ อันเป็นสมบัติซึ่งจะจบสิ้นในไม่ช้า แต่แล้ว เขาละเวยต่อทรัพย์สมบัติแห่งชีวิตหน้าซึ่งไม่รู้จะกจบสิ้น! เขาเสียสติ ไม่ใช่แต่ว่ากลายเป็นคนบ้า แต่กลายเป็นสัตว์เดียรัจฉานเองทีเดียว! ทำไม? เพราะว่าเขาครองชีพเยี่ยงสัตว์ เขาไม่คิดถึงอะไรดี อะไรชั่ว มีแต่ทำตามสัญชาติญาณทางประสาทอยางสัตว์เดียรัจฉาน เอาแต่ได้ในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ชอบเนื้อชอบหนักของตนในปัจจุบันนี้ ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ตนเสียหาย ไม่คำนึงถึงหายนะชั่วนิรันดร อันกำลังคอยท่านตนอยู่ ก็การกระทำดังกล่าวนี้ ไม่ใช่การกระทำอย่างมนุษย์ แต่เป็นการกระทำอย่างสัตว์เดียรัจฉาน นักบุญยวง คริสซอสโตมกล่าวว่า “ใครรักษาเค้าของมนุษย์ไว้เป็นอันดี เราก็เรียกเขาว่ามนุณย์ คือ เป็นสัตว์มีเหตุผล หมายความว่า เป็นผู้ปฏิบัติตามสติปัญญา ไม่ใช่ตามความใคร่ของประสาท หากพระเป็นเจ้าทรงโปรดให้สัตว์เดียรัจฉานใช้ปัญญาได้ และมันทำตามสติปัญญาแล้ว จะต้องเรียกว่า มันทำอย่างมนุษย์ ฉะนั้น เมื่อตรงกันข้ามมนุษย์ไปทำตามประสาท ทำขัดกับสติปัญญา จึงต้องเรียกว่า มนุษย์ทำอย่างสัตว์เดียรัจฉานดุจกัน!

            “โอ้! หากพวกเขาฉลาด พอจะเข้าใจ พอจะมองเห็นล่วงหน้า ซึ่งจุดหมายปลายทาง อันกำลังคอยตนอยู่” (ฉธบ. 32, 29) ผู้ที่ทำอะไรอย่างฉลาดทำตามสติปัญญาสอน ย่อมมองดูล่วงหน้าซึ่งอนาคตกาลของตน คือ มองดูสิ่งที่จะเป็นมาแก่เขาในปลายชีวิต กล่าวคือ มองดูความตาย การพิพากษา แล้วก็นรกหรือสวรรค์ โอ! คนบ้านนอก ที่เอาตัวรอดช่างเป็นคนฉลาดกว่าในหลวงที่ตกนรกเพียงไรหนอ! “เด็กคนจน แต่ฉลาด ยังดีกว่ากษัตริย์ผู้สูงอายุแต่โง่เง่า ไม่รู้จักคิดเผื่อข้างหน้า” (ปญจ. 4, 13)

            อย่างไรกัน! ใคร ๆ ก็ย่อมว่าเป็นคนบ้ามิใช่หรือ คนที่อยากจะได้หนึ่งสตางค์ในเดี๋ยวนี้ แล้วยอมเสี่ยงภัยจะเสียทรัพย์ที่ตนมีทั้งหมดทีเดียว? ก็คนที่เห็นแก่ความสนุกเพลิดเพลินประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วยอมเสียวิญญาณ ยอมเสี่ยงภัยเสียวิญญาณเสมอไป ไม่นับว่า เป็นคนบ้าดอกหรือ? สิ่งที่เป็นเหตุให้วิญญาณจำนวนมาก พินาศไปในนรก ก็คือการเอาใจใส่ต่อเฉพาะทรัพย์สมบัติ และหายนะในปัจจุบัน แต่ไม่เอาใจใส่ต่อทรัพย์สมบัติ และหายนะ ตลอดทั้งชั่วนิรันดรนั่นเอง

            พระเป็นเจ้าทรงโปรดให้เราอยู่ในโลกนี้ มิใช่เพื่อหาความร่ำรวย เพื่อหายศศักดิ์หรือ เพื่อหาความสนุกสุขสบายทางประสาท แต่เพื่อให้หาชีวิตชั่วนิรันดรต่างหาก “จุดหมายปลายทางของท่าน คือ ชีวิตชั่วนิรันดร” (รม. 6, 22) สิ่งสำคัญของชาวเรา คือการได้มาซึ่งจุดหมายปลายทางอันนี้เท่านั้น “มีสิ่งเดียวที่จำเป็น” (ลก. 10, 42) แต่จุดหมายอันนี้เขาถือเป็นของถ่อยอย่างที่สุด เขาคิดถึงแต่ปัจจุบันกาล ส่วนตัวเขาก็กำลังเดินไปสู่ความตาย กำลังเข้าใกล้นิรันดรภาพแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าตัวไปไหน นักบุญเอากุสติน ถามว่า “ท่านคิดเห็นอย่างไร เมื่อถามต้นหนว่า เขากำลังนำเรือไปไหน แต่เขาตอบว่า ไม่ทราบ? ใคร ๆ ก็ว่าเขากำลังนำเรือไปอับปาง” ท่านลงท่านว่า: คนที่ออกนอกทางที่ตนต้องเดิน ก็เป็นคนเช่นนี้เอง (2) เป็นดังนี้แหละ คนฉลาดของโลก ซึ่งรู้จักแต่หาเงินทอง หาความสนุกสบาย หาตำแหน่งยศศักดิ์ แต่ไม่รู้จักทำให้วิญญาณของตนรอด เศรษฐีใจดำก็เคยได้เป็นคนฉลาด ทางหาความร่ำรวย แต่แล้ว เมื่อตาไปก็ถูกฝังอยู่ในขุมนรก (ลก. 16. 22) พระเจ้าอาเลกซันเดอร์มหาราช ทรงเฉลียวฉลาดนักหนา ในการแผ่ราชอาณาจักร แต่ต่อมาไม่กี่ปี ก็ได้สิ้นพระชนม์ แล้วต้องโทษทั้งชั่วนิรันดร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ก็ชาญฉลาดในการครองราชบัลลังก์ แม้ต่อเมื่อได้ทรยศต่อพระศาสนาจักรแล้ว ที่สุดตัวเขาเองได้แลเห็นว่า ตนได้เสียไปทุกสิ่ง จึงยอมรับว่า “เราได้เสียทุกสิ่งหมด” มีกี่คนแล้วน่าทุเรศนักหนา ซึ่งบัดนี้กำลังร้องไห้ และตะเบ็งเสียงอยู่ในนรกว่า “ความเย่อหยิ่งอันนั้น มันทำประโยชน์อะไรให้แก่เรา? การอวดอ่างความมั่งมีอันนั้น มันให้ผลอะไรแก่เราบ้าง? ทุกสิ่งเหล่านั้น มันล่วงพ้นไปคล้ายกับเงาเสียแล้ว” (ปชญ. 5, 8)

            “ชีวิตและความตายตั้งอยู่ต่อหน้ามนุษย์ เขาเลือกเอาอันไหน ก็จะได้อันนั้น” (บสร. 15, 18) คริสตชนที่รัก ในโลกนี้ชีวิตและความตาย ตั้งอยู่ต่อหน้าท่านกล่าวคือการรอดความสนุกที่ต้องห้ามพร้อมกับการได้ชีวิตชั่วนิรันดร หรือว่าการเอาความสนุกที่ต้องห้ามพร้อมกับความตายชั่วนิรันดร ท่านตกลงใจอย่างไร? ท่านเลือกเอาตอนไหน?- จงเลือกเอาอย่างมนุษย์เถิด อย่าเลือกเอาอย่างสัตว์เดียรัจฉาน จงเลือกอย่างประสาคริสตังผู้มีความเชื่อ และให้พูดกับตนเองว่า “จะมีประโยชน์อะไรแก่มนุษย์ แม้เขาจะได้ทั้งโลกจักรวาลหากมาเสียวิญญาณไป” (มธ. 16, 26)

ข้อเตือนใจและคำภาวนา

            อา! พระผู้เป็นเจ้า เจ้าข้า พระองค์ได้ทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีสติปัญญา และมีความสว่างแห่งความเชื่ออีกด้วย ถึงกระนั้นครั้งก่อนนี้ ข้าพเจ้าได้กระทำเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉาน ยอมเสียพระหรรษทานของพระองค์ เพราะเห็นแก่ความสนุกทางประสาทอันเลวทราม และอันล่วงพ้นไปรวดเร็วราวกับลมพัดบัดนี้เหลืออะไร นอกแต่ ความกลัดกลุ้มในมโนธรรม และบัญชีอันจะต้องให้การต่อพระยุติธรรมของพระองค์! พระสวามีเจ้าข้า ขออย่าทรงพิพากษาตามที่ข้าพเจ้าสมควรได้รับนั้นเลย (สดด. 142, 2) แต่โปรดพิพากษาตามพระทัยเมตตากรุณาของพระองค์เถิด พระเจ้าข้า โปรดส่องสว่าง โปรดบันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ เพราะได้ทำเคืองพระทัย โปรดอภัยบาปแก่ข้าพเจ้าเถิด พระเจ้าข้า ข้าพเจ้า คือ ลูกแกะที่ได้พลัดหายไป หากพระองค์ไม่ทรงตามหา ข้าพเจ้าก็จะต้องพินาศไปเป็นแน่แท้ (สดด. 118, 176) เดชะพระโลหิตที่ได้ทรงหลั่งเพราะทรงรักข้าพเจ้า ทรงพระเมตตาต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด! องค์คุณงามความดีที่ล้นพ้นเจ้าข้าข้าพเจ้าเป็นตทุกข์เสียใจ เพราะได้ห่างเหินจากพระองค์ และได้ปลงใจสละละพระหรรษทาน ข้าพเจ้าใคร่จะตรอมใจตาย ทรงพระกรุณาบันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ยิ่งขึ้นอีกเถิด ขอให้ข้าพเจ้ามีบุญได้บรรลุถึงสวรรค์ จะได้ซร้องสาธุการความเมตตากรุณาของพระองค์ พระเจ้าข้า

            ข้าแต่พระนางมารีอา ท่านคือที่กลบภัยของข้าพเจ้า โปรดวิงวอนพระเยซูเพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด วิงวอนให้พระองค์ทรงอภัยบาป และโปรดให้ข้าพเจ้าคงเจริญอยู่ในความดีจนถึงที่สุดเถิด

3. ผู้ฉลาดแท้ คือ พวกนักบุญเท่านั้น

            จงตระหนักให้ดีเถิด คนฉลาด คือ ผู้ที่รู้จักทำให้ตัวของตนได้มาซึ่งพระหรรษทานและสวรค์ ฉะนั้นชาวเราจงวิงวอนขอต่อพระสวามีเรื่อยไป ให้ทรงประทานให้เรามีวิชาความรู้เยี่ยงนักบุญ และผู้ใดขอ พระองค์ก็จะทรงประทานให้ (ปชญ. 10, 10) โอ! การรู้จักพระเป็นเจ้า และการรู้จักทำให้วิญญาณของตนรอด เป็นวิชาอันประเสริฐจริงหนอ! วิชาอันนี้อยู่ที่การเกินตามทางอันนำไปสู่ความรอด และอยู่ที่การใช้วิธีการอันทำให้เราบรรลุถึงความรอดนั่นเอง ความรู้ที่สอนวิธีทำให้วิญญาณรอด เป็นความรู้ที่จำเป็นกว่าความรู้อะไรอื่นทั้งหมด นักบุญเอากุสติน กล่าวว่า : แม้เราจะรู้อะไรต่ออะไรทุกสิ่งหมดหากไม่รู้จักเอาตัวรอด ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่เราสักนิด เราจะต้องเป็นอยู่เช่นนี้เรื่อยไปตรงกันข้าม หากเรารู้จักพระเป็นเจ้า แม้นอกจากนี้ จะเป็นคนโง่ไม่รู้จักวิชาอะไรเลย เราก็ยังจะเป็นผู้มีบุญลาภเสมอไป (3) วันหนึ่ง ภราดาเอยีดีโอ พูดกับนักบุญบอนาแวนตูราว่า “คุณพ่อบอนาแวนตูราขอรับ คุณพ่อมีบุญมาก มีความรู้สูง ส่วนผมนี้ น่าสงสาร โง่เง่า ไม่รู้จักอะไรเลย คุณพ่อมีทางจะเป็นนักบุญใหญ่กว่าผมมากนัก!” ท่านนักบุญตอบว่า “ฟังนี่แน่ะ! แม้ยายแก่คนโง่ ๆ หากรู้จักรักพระเป็นเจ้ามากกว่าฉัน เขาก็จะเป็นนักบุญใหญ่กว่าฉัน” เมื่อได้ยินดังนั้น ภราดาเอยีดีโอ ก็ร้องตะโกนลั่นทั่วไปว่า “ฟังเถิด ยายแก่เอ๋ย ฟังเถิด หากท่านรู้จักรักพระเป็นเจ้า ท่านก็จะเป็นนักบุญใหญ่กว่าคุณพ่อบอนาแวนตูรา เสียอีก!”

            นักบุญบอนาแวนตูรา ยังกล่าวอีกว่า “มีคนโง่กี่คน ที่อ่านหนังสือไม่ออกแต่เขารู้จักรักพระเป็นเจ้า และได้เอาตัวรอดแล้ว” (4) แล้วก็มีนักปราชญ์ชาวโลกกี่คนที่ไปนรกแล้ว! พวกต้นนั่นแหละ เป็นคนฉลาดแท้ หาใช่พวกที่สองไม่ ผู้ที่จะออกนามต่อไปนี้ช่างเป็นคนฉลาดจริง ๆ คือคนเช่น นักบุญปาสกัล นักบุญเฟลิกษ์ ฤษีกาปูชิน นักบุญยวงแห่งพระเจ้า แม้ว่าท่านเหล่านี้เป็นคนโง่ทางวิชาฝ่ายโลก! ช่างฉลาดมากจริงหนอบรรดานักบุญผู้ได้สละละโลก ไปขังตัวอยู่ในพระอารามหรือไปดำรงชีพอยู่ในป่า เช่นนักบุญเบเนดิกโต นักบุญฟรังซีสอัสซีซี นักบุญหลุยแห่งตูลูสผู้ที่ได้ยอมถึงกับสละละราชสมบัติ! ช่างเป็นคนฉลาดจริงหนอพวกมาร์ตีร์พวกพราหมจาริณีผู้ได้สละละการแต่งงานอย่างมีเกียรติมีหน้ามีตา แล้วสมัครใจตายเพื่อพระเยซูคริสต์! ความจริงข้อนี้ แม้คนชาวโลกก็รู้ เมื่อเขาเห็นมีผู้ไปถวายตัวแด่พระเป็นเจ้า เขาก็อดชมไม่ได้ว่า “เขาเป็นคนมีบุญ เขาเลือกเอาทางที่ถูกแล้ว เขาคิดเอาวิญญาณของตนรอด” พูดโดยสรุปก็คือ คนที่สละละทรัพย์สมบัติฝ่ายแผ่นดิน เพื่อถวายตัวแด่พระเป็นเจ้า ได้ชื่อว่าเป็นคนฉบาด ฉะนั้นคนที่สละละพระเป็นเจ้าเพราะเห็นแก่ทรัพย์สมบัติฝ่ายแผ่นดินควรได้ชื่อว่าอย่างไรเล่า? ควรได้ชื่อว่าเป็นคนโง่ ไม่ใช่หรือ?

            พี่น้องที่รัก ท่านอยากสังกัดอยู่ในคนจำพวกไหน? เลือกเอาให้ดี นักบุญยวงคริสซอสโตม บอกว่า ให้ไปเยี่ยมสุสาน (5) หลุมฝังศพนั่นแหละเป็นโรงเรียนอันวิเศษ สอนให้รู้จักความฟุ้งเฟ้อแห่งทรัพย์สมบัติของโลกนี้ สอนให้รู้จักวิชาของนักบุญ นักบุญคริสซอสโตมยังเสริมอีกว่า: ช่วยบอกทีเถิด ที่หลุมนั้น ท่านจะแยกออกหรือไม่ว่า ใครได้เป็นในหลวง ใครได้เป็นขุนนาง และใครได้เป็นนักปราชญ์? สำหรับข้าพเจ้า นักบุญกล่าวต่อ ข้าพเจ้ามองเห็นแต่ความเปื่อยเน่ากระดูก และหมู่หนอน ทุก ๆ สิ่งแห่งโลกนี้จะจบสิ้นลงในไม่ช้า จะหมดไปราวกับละคร ความฝัน และเงา (6)

            คริสตชนที่รัก หากท่านอยากเป็นคนฉลาดจริง ที่จะรู้จักจุดหมายปลายทางของตนว่า เป็นสิ่งสำคัญเท่านั้น ยังหาเพียงพอไม่ ท่านยังต้องให้วิธีการ หรือเครื่องมือ ที่จะให้ท่านบรรลุถึงจุดหมายอันนั้นจงได้ ใคร ๆ ก็อยากเอาตัวรอดอยากเป็นนักบุญด้วยกันทั้งนั้น แต่เพราะเขาไม่ใช้วิธีการ เขาจึงอดเป็นนักบุญเขาจึงต้องไปสู่นรก จำเป็นจะต้องหนีท่าทางบาป ต้องแก้บาปรับศีลบ่อย ๆ ต้องสวดภาวนา และเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องจำใส่ใจไว้เสมอ ซึ่งคติพจน์ต่าง ๆ ของพระวรสาร เช่น “จะประโยชน์อะไรแก่มนุษย์ แม้จะได้ทั้งโลกจักวาล...” (มธ. 16, 26) “ผู้ใดรักวิญญาณของตน ผู้นั้นจงยแมเสียมันไป” (ยน. 12, 25) ซึ่งหมายความว่า สำหรับเอาวิญญาณรอด จำเป็นต้องยอมเสียสละ กระทั่งแม้ชีวิต “ผู้ใดพอใจตามเรามา ผู้นั้นต้องสละละตัวเอง” (มธ. 16, 24) เพื่อเดินตามพระเยซูเราต้องสละละความรักต่อตัวเอง ทั้งความสนุกสบายที่มันใฝ่ฝันหา ความรอดของเรา อยู่ที่การปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า (สดด. 29, 6) จงจำคติพจน์ดังกล่าว และอื่น ๆ ที่มีเนื้อความคล้ายคลึงกัน ใส่ใจไว้เสมอเถิด

ข้อเตือนใจและคำภาวนา

            ข้าแต่พระบิดา ผู้ทรงพระทัยเมตตากรุณาหาที่สุดมิได้ โปรดทอดพระเนตรดูความอาภัพของข้าพเจ้า และทรงสมเพชเถิด! โปรดส่องสว่าง และบันดาลให้ข้าพเจ้าสำนึกรู้จักความบ้าของข้าพเจ้าแต่หนหลัง จะได้ร้องไห้ตรอมใจโปรดบันดาลให้ข้าพเจ้ารู้จักความเมตตากรุณาอันหาขอบเขตมิได้ของพระองค์จะได้ปฏิพัทธ์รัก พระเยซูเจ้าข้า ไหน ๆ พระองค์ได้ทรงหลั่งพระโลหิตเพื่อให้ข้าพเจ้ารอดแล้ว โปรดอย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าตกเป็นขี้ข้าของปีศาจอย่างแต่ก่อนอีกเลย พระเจ้าข้า (7) องค์คุณงามความดีที่ล้นพ้น เจ้าข้า ข้าพเจ้าเสียใจที่ได้สละละพระองค์ ข้าพเจ้าสาปแช่งเวลาทุกขณะที่ข้าพเจ้าได้ปลงใจกระทำบาปนั้นบัดนี้ ข้าพเจ้าขอเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับน้ำพระทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงมีแต่หวังดีต่อข้าพเจ้า ข้าแต่พระบิดา ผู้สถิตสถาพรตลอดนิรันดร โปรดเห็นแก่พระบารมีของพระมหาเยซูคริสต์ และประทานให้ข้าพเจ้ามีพละกำลังทำทุกสิ่งตามน้ำพระทัยของพระองค์อีก โปรดประทานพระหรรษทานให้ข้าพเจ้ารักเฉพาะพระองค์ผู้เดียว และให้ข้าพเจ้าปลีกตัวออกจากความรักอื่นทั้งหลาย ที่ไม่ใช่เพื่อพระองค์ พระเจ้าข้า โอ้ พระผู้เป็นเจ้าแห่งวิญญาณของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารักพระองค์ รักพระองค์ยิ่งกว่าอะไร ๆ ทั้งหมด และหวังจะได้รับพระราชทานพระคุณต่อไปนี้ คือ การอภัยบาป ความคงเจริญในความรักต่อพระองค์ เรื่อยไปและสวรรค์ ทั้งนี้เพื่อจะได้รักพระองค์ตลอดนิรันดรภาพ พระเจ้าข้า

            ข้าแต่พระแม่มารีอา โปรดช่วยเสนอให้ข้าพเจ้าได้รับพระคุณดังกล่าวมานี้ด้วยเถิด พระบุตรของท่าน จะไม่ทรงเมินเฉยต่อคำภาวนาของท่านเป็นแน่แท้ ท่านคือ ความหวังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าวางใจในท่าน

(1) Hominem illum dicimus, qui imaginem hominis salvam retinet; quae autem est imago hominis?

      rationalem esse. (In Gen. Hom. 23).

(2) …et dicatur ei: Quo is ? et dicat nescio. Nonne iste navem ad naufragium perducet? Talis est qui currit

      praeter viam.

(3) Beatus qui te novit, etsi alia nescit.

(4) Surgunt indocti et rapiunt coelum.

(5) Proficiscamur ad sepulchral.

(6) Nihil video nosi putredinem, ossa et vermes. Omnia fibula, somnium, umbra.

(7) Ne tradas bestiis animas confidentes tibi.

 

book

บทที่ 20 ความบ้าของคนบาป