Skip to main content

book

บุ ต ร แ ห่ ง ม นุ ษ ย์

คาลิล ยิบราน
แปลโดย มักดาเลนา

line mass
ใ น ส า ย ต า ข อ ง

นักปราชญ์ท่านหนึ่ง

เวลาที่เขาอยู่กับพวกเรา เขามองเราและมองโลกด้วยสายตาที่ตื่นตะลึง สายตาของเขาไม่ได้ถูกบดบังด้วยม่านแห่งขวบปี เขาสามารถมองทุกอย่างกระจ่างชัดในลำแสงแห่งวัยเยาว์ของเขา

          แม้เขาจะรู้จักความงดงามล้ำลึกเป็นอย่างดี เขาก็ยังตื่นตาตื่นใจกับสันติและความยิ่งใหญ่ของมัน เขายืนอยู่ต่อหน้าโลกของเราคล้ายเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้ยืนหยัดในวันแรกของชีวิต

          ส่วนเรา ผู้มีสัมผัสอันตื้นเขิน เรามองไปยังวันวัยอันสวยงามสุกใส แต่ไม่เห็น เราป้องหูฟัง แต่ไม่ได้ยิน เราเหยียดมือออกไป แต่ไม่อาจสัมผัส ต่อให้ธูปหอมอารเบียเผาอวลกลิ่น และเดินตามกลิ่นนั้นไป เราก็ไม่มีทางได้ดอมดม

          เราไม่เคยเห็นชาวนาเดินกลับจากทุ่งในยามเย็นย่ำ ไม่เคยได้ยินเพลงขลุ่ยของคนเลี้ยงแกะเวลาพวกนั้นนำแกะไปในหุบเขา เราไม่เคยเอื้อมมือไปสัมผัสตะวันที่กำลังชิงพลบ นาสิกของเราไม่เคยโหยหากลิ่นหอมของกุหลาบแห่งชารอน

          ไม่เคยเลย เราไม่สรรเสริญราชาที่อาภัพอาณาจักร ไม่ฟังเพลงพิณอ่อนครวญ เมื่อเส้นสายถูกกรีดกราย เราไม่เอ็นดูเด็ก ๆ ที่มาเล่นใต้ซุ้มมะกอกของเรา ไม่เคยเปรียบเขาเป็นดังมะกอกช่อละอ่อน เราเชื่อมั่นแต่ว่าทุกคำพูดต้องมาจากริมปากแห่งเนื้อหนัง  และคิดว่าคนอื่นนั่นแหละที่บ้าใบ้หนวกบอดไปแล้ว

          ความจริงเราได้เพ่งมองแล้ว แต่ไม่เห็น เราเงี่ยหูฟัง แต่ไม่ได้ยิน เรากิน เราดื่ม แต่ไม่ได้ลิ้มรส สิ่งเหล่านี้แหละคือข้อแตกต่างระหว่างเยซูแห่งนาซาเร็ธกับพวกเรา

          ความรู้สึกของเขาแปลกใหม่เรื่อยไป และโลกของเขาก็เปลี่ยนแปลงเสมอ

          สำหรับเขา เสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเสียงร้องครวญของมนุษยชาติ ในขณะที่สำหรับเรา มันก็เป็นเพียงเสียงอ้อแอ้เท่านั้น

          สำหรับเขา รากดอกไม้น้อยใบสีเหลืองอาจลากเลื้อยไปถึงพระเจ้า ขณะที่สำหรับเรา มันก็แค่รากไม้เท่านั้น

นักปราชญ์ท่านหนึ่ง

มาลาคีแห่งบาบิโลน คนดูดาว

อูรียาห์ พ่อแก่แห่งนาซาเร็ธ

book

jesus man

book