Skip to main content

book

บุ ต ร แ ห่ ง ม นุ ษ ย์

คาลิล ยิบราน
แปลโดย มักดาเลนา

line mass
ใ น ส า ย ต า ข อ ง

โยเซฟ ชาวบ้านอาริมาเทีย

ท่านต้องทราบถึงจุดมุ่งหมายชั้นแรกของพระเยซูเสียก่อน และข้ารู้สึกยินดีที่จะบอกให้ท่านทราบเดี๋ยวนี้แหละ แต่ท่านต้องเข้าใจด้วยว่า  ไม่มีมนุษย์คนใดใช้นิ้วสัมผัสกับพลังชีวิตในผลองุ่น หรือเห็นสายน้ำเลี้ยงในกิ่งก้านของต้นไม้ได้

          ดังนั้น แม้ข้าจะได้ลิ้มรสผลองุ่น และจิบชิมเหล้าใหม่จากบ่อย่ำ แต่ข้าก็ไม่อาจบรรยายความรู้สึกทั้งหมดได้

      อาจารย์ผู้เป็นที่รักของข้าใช้ชีวิตเช่นประกาศกอยู่ได้สามฤดูกาลคือ คราวใบไม้ผลิแห่งการขับเพลง ฤดูร้อนแห่งความยินดี และวันใบไม้ร่วงแห่งความทุกข์ทรมาน แต่ละฤดูกาลยาวนานถึงพันปีทีเดียว

          คราวใบไม้ผลิแห่งการขับเพลงเกิดขึ้นที่กาลิลี  เรื่องมีอยู่ว่า เขารวบรวมเพื่อนพ้องที่ชอบพอกัน พาไปยังริมทะเลสาบสีน้ำเงิน แล้วจึงเริ่มพูดถึงพระบิดา พูดถึงการปลดปล่อยและอิสรภาพของพวกเรา

          ที่ทะเลสาบกาลิลี พวกเราสูญเสียตัวเองและพบหนทางไปหาพระบิดา อา! เล็กน้อย เล็กน้อยเหลือเกินท่าน เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับมา

          มีเทวดาขับเพลงอยู่ที่ริมหูเรา บอกให้ละทิ้งสวนรกร้างในจิตใจของตนเองเสีย

     อาจารย์พูดถึงท้องนาและทุ่งหญ้าสีเขียว พูดถึงเนินลาดแห่งเลบานอนซึ่งมีดอกพลับพลึงสีขาวชูช่ออยู่ข้างทาง แต่กอง คาราวานกลับเคลื่อนผ่านไปสู่ลานฝุ่นทรายอย่างไม่แยแส

          เขาพูดถึงกุหลาบป่าที่ยิ้มแย้มแก่พระอาทิตย์ และลอยรวยกลิ่นหอมในสายลม

     เขากล่าวขึ้น “เจ้าพลับพลึงและกุหลาบป่า เจ้ามีชีวิตยืนยาวเพียงวัน แต่วันนั้นกลับกลายเป็นตลอดกาลสำหรับเสรีภาพของเจ้า”

          เย็นหนึ่ง เรานั่งกันอยู่ริมธาร เขากล่าวขึ้น “จงมองลำธารและฟังดุริยบันเทิงของมันเถิด มันพุ่งโผนสู่ทะเลอยู่ตลอดกาล และแม้ต้องกระทำเช่นนั้น มันก็ยังคร่ำครวญถึงความลึกลับของตัวเองได้แต่เที่ยงวันจวบอีกเที่ยงวัน

          “จงพุ่งโผนสู่พระบิดา ดุจธารน้อยพุ่งโผนสู่ทะเลเถิด”

    จากนั้น ฤดูร้อนแห่งความยินดีก็มาเยือน เดือนมิถุนาฯแห่งความรักของเขาแผ่คลุมพวกเรา เขาเล่นหัวกับทุกคน ทั้งเพื่อนบ้าน คนผ่านทาง  ชายแปลกหน้า  หรือแม้แต่เพื่อนครั้งเยาว์วัยของเรา

          เขากล่าว “พี่น้องของเธอคือตัวตนซ่อนเร้นของเธอที่เผยออกมา ดวงหน้าของเขาสะท้อนกลับดังน้ำนิ่ง และถ้าจับจ้องให้ดี เธอจะพบตัวเอง

    “จงคอยสดับในยามค่ำ  แล้วจะได้ยินเขาเอ่ยปาก  คำพูดของเขาจะโยกคลอนใจเธอให้ไหวสะท้าน

          “จงทำแก่เขา ดังที่เธออยากให้เขาทำแก่เธอ

     “นี่คือกฎของฉัน ซึ่งฉันได้บอกกับเธอ กับลูก กับหลานของเธอ และคนรุ่นต่อ ๆ ไป”

          วันต่อมา เขากล่าวอีก “อย่าอยู่เพียงลำพัง แต่จงอยู่กับคนอื่น แม้จะเป็นคนแปลกหน้าที่มาเกาะแกะเธอทั้งวันก็ตามที

     “ก็เขาไม่ได้กระทำการเสียหาย และมือของเธอไม่ได้ร่วมทำกับเขามิใช่หรือ

          “เขาจะไม่ล้ม ส่วนเธอจะล้ม เขาจะไม่ได้ลุก ส่วนเธอจะลุกขึ้น ยืนเช่นเขา

          “เธอและพี่น้องของเธอ คือเมล็ดพันธุ์สองเมล็ดในทุ่งนา พวกเธอเติบโตขึ้นมาพร้อมกัน และเอนไหวไปตามสายลมด้วยกัน เธอทั้งสองจะไม่เรียกร้องสิทธิ์ต่อทุ่งนา เพราะเมล็ดพันธุ์ที่เติบโตตามหนทางของมัน จะไม่เรียกร้องอะไร แม้แต่ความปิติปรีดา

          “วันนี้ ฉันอยู่กับเธอ แต่พรุ่งนี้ ฉันก็ไปเสียแล้ว แต่ก่อนไป ฉันขอบอกเธอว่า พี่น้องของเธอคือตัวตนซ่อนเร้นของเธอที่เผยออกมา  จงออกไปหาเขาด้วยความรัก  แล้วเธอจะรู้จักตัว เอง ไม่เพียงเท่านั้น การรู้นี้จะทำให้เธอเป็นพี่น้องกับฉันด้วย”

          แล้ววันใบไม้ร่วงแห่งความทุกข์ทรมานก็ดำเนินมาถึง

     เขากล่าวกับเราอย่างเป็นอิสระดุจเดียวกับที่เขาเคยกล่าวในคราวใบไม้ผลิแห่งการขับเพลง: แต่คำพูดของเขาช่างห่างไกลจากความเข้าใจของเรา

    เขาว่า ใบไม้จะร้องเพลงในยามที่ลอยร่างตามลม แต่สำหรับมนุษย์นั้น ถ้วยของเทวดาจะปริ่มล้นดับกระหายก็ด้วยเลือดของหัวหน้าเทวดาเอง และไม่ว่าถ้วยนี้จะเปรมปริ่มหรือว่างเปล่า มันก็ตั้งเป็นประกายสุกใสอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าเสมอ

          เขาเอ่ยขึ้น “เธอคือถ้วยและเธอคือเหล้าองุ่น เธอจะเลือกดื่มขี้กะโล้โท้จากตัวเอง หรือไม่ก็ระลึกถึงฉัน เพื่อเธอจะไม่กระ-หายอีกเลย”

          ระหว่างที่เราเดินกันไปทางใต้ เขาเอ่ยขึ้น “เยรูซาเลมซึ่งยืนตระหง่านอวดโฉมบนที่สูงในขณะนี้ จะดำดิ่งลงสู่ยาฮันนุมหุบมืดลึก  และในท่ามกลางความเดียวดายของนาง  ฉันจะยืนเปล่าเปลี่ยวอยู่ที่นั่น

          “วิหารจะทลายลงเป็นผงฝุ่น ที่รอบระเบียงหน้ามุขมีแต่เสียงแม่ม่ายและลูกกำพร้า ผู้คนลังเลไม่รู้จะเดินหน้าหรือถอยหลัง  ทุกคนลืมใบหน้าของพี่น้องหมดสิ้น เพราะความกลัวได้ปกคลุมใจพวกเขาไว้หมดแล้ว

          “แต่ในขณะนี้ถ้าสองคนในพวกเธออยู่ร่วมกัน เรียกหาฉัน และหันไปทางทิศตะวันตก พวกเธอจะพบฉันที่นั่น คำพูดของฉันจะมาเยี่ยมเยียนเธออีกครั้ง     

          เมื่อเรามาถึงเนินเขาเบธานี เขากล่าวขึ้น “ให้เราไปยังเยรูซาเลมกันเถิด นางกำลังคอยเราอยู่ ฉันจะขี่ลาน้อยเข้าไปในเมือง  และจะพูดคุยกับชาวบ้าน

          “มีหลายคนอยากจับฉันขังคุก หลายคนอยากจับฉันเผาไฟ แต่ในความตายของฉัน เธอจะพบกับชีวิตและเป็นอิสระ

    “พวกเขาต้องการลมหายใจที่นอนระทวยร่อแร่อยู่ระหว่างจิตใจและความคิด เหมือนนกที่บินล้าแรงอยู่ระหว่างทุ่งนากับรังรักของมัน แต่ลมหายใจของฉันจะหนีรอดไปจากเขาและเขาไม่มีวันเอาชนะฉันได้

    “กำแพงที่พระบิดาสร้างไว้รายรอบตัวฉันไม่มีวันทลายลง  และสถานศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ไม่มีวันแปดเปื้อนมลทิน

      “เวลาเช้าใกล้เข้ามาแล้ว พระอาทิตย์จะเป็นมงกุฎของฉัน ฉันจะอยู่กับพวกเธอเพื่อเจอะเจอกับวันนั้น  วันนั้นยาวนานนัก  และโลกไม่ต้องการให้มันจบลงอย่างรวดเร็วเกินไปนัก

     “พวกธรรมาจารย์และฟาริสีบอกว่า แผ่นดินร้องเรียกเลือดของฉัน ฉันจึงอยากดับกระหายให้แผ่นดินด้วยเลือด เลือดจะหล่อเลี้ยงต้นโอ๊กและเมเปิลให้เติบโต ลมตะวันออกจะได้พัดพาลูกไม้ไปยังดินแดนอื่น”

          เขากล่าวต่อไป “ยูเดียจะมีกษัตริย์ นางจะเดินทัพเข้าต่อสู้กับทหารโรมัน

          “แต่ฉันไม่ใช่กษัตริย์ของนาง รัดเกล้าแห่งศิโยนงามเกินกว่าจะประดับบนหน้าผากนี้ และแหวนของซาโลมอนก็เล็กเกินกว่าจะสวมนิ้วนี้

          “ดูที่มือของฉันสิ  เธอไม่เห็นว่ามันแกร่งเกินกว่าจะใช้จับคทาหรือจับดาบหรือ?

          “ไม่มีทาง ฉันไม่มีวันสั่งให้ซีเรียนหาญสู้กับโรมันเด็ดขาด แต่เธอสามารถใช้วาจาของฉันไปปลุกเมืองให้ฟื้นขึ้นมาได้ วิญญาณของฉันจะกล่าวกับนางในอรุณรุ่งที่สอง

     “วาจาของฉันคือกองทัพที่มองไม่เห็น พร้อมทั้งรถรบและม้าศึก ฉันจะกำชัยเหนือพวกสงฆ์ในเยรูซาเลมและซีซาร์โดยไม่ต้องใช้ขวานหรือหอก

          “ฉันไม่ยอมนั่งบนบัลลังค์ที่พวกทาสใช้ปกครองทาสด้วยกัน และฉันไม่หาญสู้กับบุตรชายแห่งอิตาลี

     “แต่ฉันจะเป็นความทะมืนมืดบนฟ้าของเขา เป็นโศลกเศร้าในวิญญาณของเขา

          “ฉันจะเป็นที่เล่าขานจดจำ

          “ใคร ๆ เขาเรียกฉันว่า เยซู ผู้ได้รับการเจิม

          คำกล่าวเหล่านี้ เขาพูดไว้ที่นอกกำแพงเยรูซาเลม ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าไปในเมือง

          และที่สุด คำกล่าวของเขาก็ถูกจารจารึกดังลิ่มสลักไว้จริง  ๆ 

โยเซฟ ชาวบ้านอาริมาเทีย

ยอห์น บัปติสตา กับศิษย์คนหนึ่ง

นาธานาเอล

book

jesus man

book