Skip to main content

ชีวิตฝ่ายจิต, เยซูบุตรแห่งมนุษย์

book

บุ ต ร แ ห่ ง ม นุ ษ ย์

คาลิล ยิบราน
แปลโดย มักดาเลนา

line mass
ใ น ส า ย ต า ข อ ง

มัธทิว

บทเทศนาบนภูเขา

วันหนึ่งในฤดูเก็บเกี่ยวพระเยซูเรียกพวกเราและหมู่มิตรของเขาขึ้นไปบนภูเขา ผืนแผ่นดินส่งกลิ่นหอม ดังธิดาสาวของพระราชากำลังร่วมในพิธีสมรสของเธอ เธอสวมเพชรพลอยวูบวับ มีท้องฟ้าเป็นดังเจ้าบ่าวของเธอ

          เมื่อพวกเราขึ้นไปถึงยอดเขา พระเยซูก็ยืนสง่าอยู่กลางละเมาะไม้ เขากล่าวขึ้น 

          “ให้เราพักผ่อนที่นี่เถิด พักความคิดและเปิดใจออก ฉันมีเรื่องอยากจะบอกพวกเธอ”

          พวกเราจึงเอนกายลงบนหญ้า ดวงดอกไม้แห่งฤดูร้อนรายล้อมพวกเราไว้ ส่วนพระเยซูนั่งอยู่กลางกลุ่มพวกเรา

          พระเยซูกล่าวขึ้นดังนี้:

          “ใครรู้สึกสงบใจก็เป็นสุข”

          “ใครไม่ยึดติดกับข้าวของก็เป็นสุข เพราะเขาจะเป็นอิสระ”

          “ใครตกทุกข์ได้ยากก็เป็นสุข เพราะในความทุกข์ยากนั้นมีความชื่นบานรอคอยเขาอยู่”

          “ใครกระหายหาความงามและความจริงก็เป็นสุข เพราะเขาจะได้รับขนมปังดับหิว และน้ำเย็นดับกระหาย”

          “ใครมีใจกรุณาก็เป็นสุข ด้วยว่าเขาจะได้รับความกรุณาตอบ”

          “ใครมีใจสะอาดก็เป็นสุข เพราะเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า”

          “ใครมีใจเมตตาก็เป็นสุข เพราะความเมตตาจะเป็นส่วนหนึ่งของเขา”

          “ใครเป็นผู้สร้างสันติก็เป็นสุข เพราะใจของเขาจะอยู่เหนือการต่อสู้ล้างผลาญ เขาจะเปลี่ยนลานของช่างปั้นให้เป็นสวนดอกไม้”

          “ใครถูกเบียดเบียนไล่ล่าก็เป็นสุข เพราะเขาจะมีฝีเท้าเร็วดังติดปีก”

          “จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะพวกเธอได้พบอาณาจักรสวรรค์ในตัวเองแล้ว นักขับร้องแห่งอดีตกาลถูกปลิดชีพ เพราะเขาร้องเพลงที่กล่าวถึงอาณาจักรแห่งนั้น พวกเธอก็จะถูกปลิดชีพเช่นกัน แต่เพราะการปลิดชีพนี้แหละ พวกเธอจะได้รับเกียรติ และได้รับรางวัล”

          “พวกเธอคือเกลือของแผ่นดิน ถ้าเกลือหมดรสเค็มเสียแล้ว จะใช้ปรุงรสอาหารได้อย่างไรเล่า?”    

          “พวกเธอคือแสงสว่างของโลก อย่าจุดไฟแล้วเอาถังครอบไว้ แต่จงตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้แสงส่องสว่างแก่ผู้ที่กำลังค้นหาอาณาจักรของพระเจ้า”

       “อย่าคิดว่าฉันมาเพื่อล้มล้างกฎของธรรมาจารย์และฟาริ-สี เพราะเวลาแห่งชีวิตของฉันถูกกำหนดไว้แล้ว คำพูดของฉันก็มีบันทึกไว้หมด ฉันมาที่นี่เพื่อเผยให้พวกเธอเห็นกฎใหม่และ พันธสัญญาใหม่”

          “พวกเธอรู้ดีว่า มีกฎเขียนไว้ว่า อย่าฆ่าคน แต่ฉันขอบอกว่า อย่าโกรธเคืองใครอย่างไร้เหตุผล”

          “พวกเธอถูกสอนมาแต่โบราณว่า ให้นำลูกวัว ลูกแกะ และนกเขาไปยังวิหาร และฆ่ามันบนแท่นบูชา เพื่อนาสิกของพระเจ้าจะได้รับกลิ่นไหม้ของสัตว์พวกนั้น แล้วพวกเธอจะได้รับการอภัยบาป”

          “แต่ฉันขอบอกพวกเธอว่า พวกเธอจะมอบสิ่งที่เป็นของพระองค์ให้แก่พระองค์ได้หรือ? พวกเธอจะเอาใจพระองค์ผู้อยู่เหนือความเงียบทั้งมวล และผู้ที่เอามือหมุนจักรวาล ได้อย่างไร?”

          “เอาเถิด จงไปหาพี่น้องและขอโทษเขาก่อนเข้าสู่วิหาร จงแสดงความรักต่อเพื่อนบ้าน เพราะในความรักนี้พระเจ้าได้สร้างวิหารซึ่งไม่อาจทำลายลงได้ และในใจรักนั้น พระองค์ได้สร้างแท่นบูชาที่ไม่มีวันพังทลายเอาไว้”

          “เขาสอนพวกเธอว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ฉันขอบอกว่า อย่าต่อสู้กับความชั่ว เพราะการต่อสู้เท่ากับการให้อาหารบำรุงเลี้ยงมัน มีแต่ความอ่อนแอเท่านั้นที่จะแก้แค้นมันได้ วิญญาณแข็งแกร่งซึ่งยกโทษนั้นไม่ได้ล้ำค่ากว่าวิญญาณบาดเจ็บที่ยก โทษเลย”

          “มีแต่ต้นไม้ได้ผลเท่านั้น ที่คนเขาปาหินและเขย่าต้นเพื่อเอาลูก”

          “อย่าวาดหวังถึงพรุ่งนี้ จงอาศัยอยู่แต่เพียงวันนี้ เพราะความยุ่งยากในแต่ละวันก็ถือเป็นเรื่องอัศจรรย์มากพออยู่แล้ว”

          “อย่าคิดมากเมื่อให้ของใครไป จงคิดแต่เรื่องที่จำเป็นเท่านั้น เพราะผู้ที่ให้ย่อมได้รับจากพระบิดาอยู่แล้ว และสิ่งที่พระองค์ให้นั้นก็อุดมสมบูรณ์เหลือเกิน”

          “จงให้ตามแต่ที่เธอเห็นว่าเหมาะว่าควร เพราะพระบิดาไม่ให้เกลือแก่ผู้ร้องขอน้ำ ไม่ให้ก้อนหินแก่ผู้หิวโหย หรือให้นมแก่เด็กที่หย่านมแล้ว”

          “อย่าให้สิ่งสูงค่าแก่หมา อย่าโยนไข่มุกให้หมู เพราะมันจะเหยียบย่ำของดี ๆ เหล่านั้น และแว้งมากัดเธอได้”

          “อย่าสะสมข้าวของที่อาจสูญหายหรือถูกขโมยไปได้ แต่จงแสวงหาสมบัติที่ไม่มีวันสูญหายหรือถูกขโมยไปได้เถิด ยามมีใครมาจดจ้อง เธอจะหวงแหนสิ่งนั้นดุจหวงคนรัก เพราะทรัพย์สมบัติของเธออยู่ที่ใด หัวใจของเธอก็อยู่ที่นั่นด้วย”

          “เขาบอกพวกเธอว่า ฆาตกรต้องตายด้วยดาบ หัวขโมยต้องถูกตรึงกางเขน และหญิงแพศยาต้องถูกหินทุ่ม แต่ฉันขอบอกพวกเธอว่า หากพวกเธอยังผูกพันธะกับการกระทำแบบฆาตกร แบบหัวขโมย หรือแบบหญิงแพศยาล่ะก็ พวกเธอก็กำลังลงโทษตัวเอง และใจของพวกเธอจะกระด่างดำไปด้วย”

          “แท้จริงแล้ว ไม่มีความผิดใดที่กระทำโดยชายหรือหญิงเพียงคนเดียว บาปทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะทุกคน ผู้ต้องโทษจะฉีกทึ้งสายโซ่ที่ร้อยรัดข้อเท้าของเขา   บางทีเขาต้องถูกปรับโทษด้วยความโศกเศร้า  เพื่อแลกกับความชื่นบานที่กำลังจะผ่านไป”

          พระเยซูพูดดังที่ว่ามานี้ ทำให้ข้าอยากจะคุกเข่าลงแทบเท้าและกราบนมัสการเขา แต่ทว่าข้ายังรู้สึกเขินอายอยู่ จึงไม่อาจเคลื่อนกายหรือเอ่ยวาจาใด

          แต่ท้ายที่สุด ข้าก็กล่าวขึ้น “ข้าปรารถนาจะภาวนาในเวลานี้ แต่ลิ้นของข้านั้นหนักเหลือเกิน โปรดสอนให้ข้าภาวนาด้วยเถอะ”

          พระเยซูจึงกล่าว “เมื่อเธอจะภาวนา จงให้ความปรารถนาของเธอได้เปล่งวาจาออกมา ความปรารถนาของฉันในเวลานี้ร่ำร้องภาวนาว่า:

          “ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย 

          พระองค์สถิตในสวรรค์  พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ

          ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยในแผ่นดินดังในสวรรค์

          ขอประทานอาหารประจำวันแก่เราในวันนี้

          โปรดยกโทษแก่เรา เหมือนเรายกให้เขาอื่น

          โปรดนำเราและประคับประคองเราในที่มืด

          เพราะพระองค์คืออาณาจักรสวรรค์ 

          ในพระองค์คือพละกำลังและความครบครันของเรา”

          เวลานั้นยังไม่เย็นย่ำแต่อย่างใด พระเยซูดำเนินลงมาจากภูเขา พวกเราทั้งหลายเดินตามลงมาด้วย ในขณะที่เดินไปนั้น ข้าพยายามทบทวนบทภาวนาของเขา เฝ้าครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาพูด เพราะข้าทราบดีว่า คำพูดเหล่านี้ร่วงหล่นลงมาดังเกล็ดหิมะ แสงยามกลางวันจะกลั่นกรองมันจนเป็นเหมือนแก้วใส คำพูดของเขาเป็นดังปีกมากมายที่กระพืดพัดอยู่เหนือหัวเรา และดังว่าจะเหยีบย่ำพื้นโลกของเราเหมือนเป็นเกือกม้า

 

มัธทิว

◀️ ลูกา

ยอห์น บุตรเศเบดี ▶️

book

jesus man

book