วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ พระเยซูเข้าไปที่ตลาดกลางกรุงเยรูซาเลม กล่าวประกาศถึงเรื่องอาณาจักรสวรรค์
เขาด่าพวกธรรมาจารย์และฟาริสีว่า คอยแต่วางข่ายและขุดหลุมดักตามทางของผู้ที่จะเดินไปสู่อาณาจักรสวรรค์ เขาประ-ณามพวกนั้นอย่างรุนแรง
ในกลุ่มคน มีอยู่พวกหนึ่งที่เข้าข้างฟาริสีและธรรมาจารย์ พยายามไล่ยื้อยุดชุดกระชากเขาและพวกเรา
แต่เขาก็หลบหลีกออกมาได้ และเดินตรงไปยังประตูเมืองทางทิศเหนือ
เขาหันมากล่าวกับพวกเรา “เวลาของฉันยังมาไม่ถึง ยังมีอีกหลายสิ่งที่ฉันต้องบอกพวกเธอ ยังมีอีกหลายอย่างที่ฉันต้องทำ และหลังจากนั้นฉันจึงจะจากโลกนี้ไป”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง สนุกสนาน “ให้พวกเราขึ้นไปทางเหนือเถิด เราจะไปพบกับฤดูใบไม้ผลิ ตามฉันไปที่เนินเขา เพราะฤดูหนาวได้ผ่านไปแล้ว และหิมะแห่งเลบานอนก็ตกลงมาในหมู่บ้าน เพื่อร่วมร้องเพลงกับลำธาร
“ทุ่งหญ้าและเถาองุ่นที่ถูกบังคับให้หลับนอน จะตื่นขึ้นร้องรับดวงอาทิตย์ด้วยใบมะเดื่อเขียวกับผลองุ่นรสนุ่ม”
ว่าแล้วเขาก็ออกเดินนำหน้า พวกเราจึงติดตามเขาไปนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา
บ่ายของวันที่สามเรามาถึงยอดเขาเฮอร์โมน ที่นั่นเขาหยุดยืนกวาดตามองลงไปยังบ้านเมืองแห่งพื้นราบ
ใบหน้าของเขาสุกใสคล้ายเนื้อทอง เขากางแขนออกแล้วกล่าวกับพวกเรา “จงมองดูแผ่นดินในอาภรณ์สีเขียวของนางเถิด จงมองดูว่าธารน้ำขลิบริมผ้าของนางด้วยด้ายสีเงินได้อย่างไร”
“เป็นความจริงที่ว่า แผ่นดินนี้ยุติธรรม และทุกสิ่งที่ประกอบกันเป็นนางก็ยุติธรรม
“แต่มีอีกอาณาจักรหนึ่งซึ่งโพ้นไกลจากแผ่นดินที่เธอเห็นนี้ ที่นั่นฉันได้ปกครองอยู่ ถ้าเธอเลือกและปรารถนาอย่างจริงใจแล้ว พวกเธอจะไปและร่วมปกครองอาณาจักรนั้นพร้อมกับฉัน
“ใบหน้าของฉันและของพวกเธอจะไม่สวมหน้ากาก มือของเราจะไม่กำดาบหรือคทา ผู้ที่เราปกครองจะรักเราด้วยสันติ และไม่หวาดกลัวพวกเรา”
พระเยซูกล่าวเช่นนั้น ทำให้นัยน์ตาของข้ามืดบอดต่ออาณาจักรทั้งหลายในโลก ต่อบรรดาเมือง ต่อกำแพงและหอคอย จิตใจของข้าติดตามอาจารย์ไปสู่อาณาจักรของเขา
มีอยู่ตอนหนึ่ง ยูดาส อิสคาริโอทเดินนำหน้าไป เขาออกคู่เคียงข้างพระเยซู และกล่าวขึ้น “ดูเถอะครับ อาณาจักรของโลกนั้นกว้างใหญ่ ดูเถอะครับ หมู่เมืองของดาวิดและซาโลมอนที่จะต่อกรกับพวกโรม ถ้าอาจารย์ขึ้นเป็นกษัตริย์ของชาวยิว พวกเราจะอยู่ยืนข้างอาจารย์ คอยถือดาบเพื่อปกป้องคุ้มกัน พวกเราจะชนะพวกต่างชาติ”
พระเยซูได้ยินดังนั้นจึงหันไปที่ยูดาส ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ขึ้งโกรธ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงน่ากลัวราวแสงแลบในท้องฟ้า “ถอยออกไป ไอ้ซาตาน ความคิดของเจ้าดังว่า ให้ฉันเดินทางรอนแรมนับปี เพื่อมาปกครองพวกมดปลวกสักวันหนึ่งหรือ?
“บัลลังค์ของฉันคือบัลลังค์ที่เจ้ามองไม่เห็น ผู้ที่มีปีกบินไปรอบโลก และพบรังหลบภัย เขาจะละทิ้งและหลงลืมมันได้หรือ?
“คนเป็นจะได้รับการสรรเสริญเยินยอในขณะที่แต่งกายด้วยตราสังได้หรือ?
“อาณาจักรของฉันไม่ใช่ของโลกนี้ และบัลลังค์ของฉันก็ไม่ได้สร้างบนกบาลปู่ย่าตาทวดของพวกเจ้า
“ถ้าเจ้าต้องการสิ่งอื่นใดที่ดีกว่าอาณาจักรแห่งวิญญาณ ก็จงปล่อยฉันไว้ที่นี่ แล้วเดินไปสู่ถ้ำแห่งความตายเถิด ที่นั่นราชาแห่งอดีตกาลกำลังครองบัลลังค์ในหลุมศพของพวกเขา และยอมรับคำสรรเสริญเยินยอบนกองกระดูกปู่ย่าตาทวดของพวกเจ้า
“เจ้าหลอกลวงฉันให้สวมมงกุฎของอาจม หน้าผากของฉันจะได้ประดับด้วยดาวลูกไก่ หรือด้วยกอหนามของเจ้ากันแน่?
“สิ่งนี้ไม่ใช่ความใฝ่ฝันของชนชาติที่ถูกลืม ฉันจะไม่ทนแบกดวงอาทิตย์ของเจ้าไว้บนบ่าของฉัน และไม่ยอมให้ดวงจันทร์ของเจ้าฉายเงาของฉันทาบทึบทางของเจ้า
“สิ่งนี้ไม่ใช่ความปรารถนาของแม่ที่เปลื้องผ้าอ้อมปล่อยฉันมา แล้วลี้จากไป
“สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องโศกเศร้าสำหรับพวกเจ้า ฉันจะไม่อยู่ที่นี่เพื่อร่ำไห้
“เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ยูดาส อิสคาริโอท? ทำไมต้องล่อลวงฉันด้วย?
“เจ้าชั่งฉันบนตาชั่งของเจ้า ตั้งฉันเป็นผู้นำกองทัพผี ให้ชักม้าที่ไม่มีตัวตนเข้าต่อกรกับศัตรูที่รายล้อมใจที่ขึ้งเคียดของเจ้า และเดินทัพไปสู่ความหวาดกลัวของเจ้าเองละหรือ?
“มีหนอนเน่ามากมายชอนไชที่เท้าของฉัน แต่ฉันไม่ถือสากับมัน ฉันเอือมกับเรื่องล้อเล่น เอือมกับการสงสารไอ้พวกสันหลังยาวที่ว่าฉันเป็นไอ้ขี้ขลาด เพียงเพราะฉันไม่ยอมย่างกรายไปใกล้กำแพงและเชิงเทินปราการของมัน”
“มันเป็นเรื่องน่าสังเวช ซึ่งฉันต้องการให้มันจบลง แต่ถ้าฉันก้าวเข้าไปสู่โลกใหญ่โตที่คนใหญ่โตอาศัยอยู่นั้น ฉันจะเป็นอย่างไร?
“พระสงฆ์องค์เจ้าและเจ้านายของพวกเจ้าเรียกร้องเลือดของฉัน พวกเขาอยากให้สมใจก่อนที่ฉันจะมาที่นี่ด้วยซ้ำ ฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงกฏบัญญัติ และจะไม่ปกครองพวกหน้าโง่ด้วย
“ให้พวกหน้าโง่บังเกิดพวกหน้าโง่ด้วยกัน จนมันเบื่อหน่ายกับลูกหลานของมันเถิด
“ให้คนตาบอดจูงคนตาบอดไปสู่หลุมพราง
“ให้คนตายฝังตนตาย จนกระทั่งพื้นดินต้องสำรากผลพวงที่ขมขื่นของมัน
“อาณาจักรของฉันไม่ได้เป็นของโลกนี้ อาณาจักรของฉันคือที่ที่สองหรือสามคนในพวกเธอสัมพันธ์กันด้วยความรัก ในชีวิตที่อบอวลไปด้วยความรักอันสวยงาม ในน้ำใจดี และในความทรงจำที่มีต่อฉัน”
จากนั้น เขาหันไปทางยูดาส กล่าวขึ้น “กลับไปเถิด ไอ้หนุ่ม อาณาจักรของเจ้าไม่ได้อยู่ในอาณาจักรของฉัน”
ขณะนั้นตะวันกำลังชิงพลบ เขาหันมาหาพวกเรา เอ่ย ขึ้น “ให้เราลงจากที่นี่เถิด ค่ำคืนปกคลุมแล้ว ให้เราเดินในแสงสว่าง ในขณะที่แสงสว่างยังเป็นของเรา”
เขาเดินนำลงจากภูเขา พวกเราตามเขาไป ยูดาสเดินตามมาห่าง ๆ
เมื่อเรามาถึงที่ราบ ก็เป็นเวลาค่ำพอดี
โทมัส บุตรไดโอเฟเนสกล่าวกับเขา “อาจารย์ ขณะนี้ก็มืดแล้ว เรามองไม่เห็นทางเลย ถ้าเป็นความปรารถนาของท่าน ขอนำเราไปสู่แสงสว่างในหมู่บ้านข้างหน้า เพื่อเราจะได้หุงหาอาหารและจัดที่พัก”
พระเยซูกล่าวกับโทมัส “ฉันนำพวกเธอขึ้นไปบนที่สูงเวลาพวกเธอหิว และฉันนำพวกเธอลงมาในที่ราบพร้อมด้วยความหิวโหยที่สาหัสกว่า แต่ฉันไม่อาจอยู่กับพวกเธอได้ในค่ำคืนนี้ ฉันจะออกไปอยู่ตามลำพัง”
ซีมอน เปโตรก้าวออกมาและกล่าวขึ้น “อาจารย์ อย่าทิ้งพวกเราให้เดินตามลำพังในความมืดเลย โปรดให้เราไปกับท่านตามทางนี้เถอะ เงาทึมของค่ำคืนไม่อ้อยอิ่งเนิ่นนานนัก และเวลาเช้าจะมาถึงเรา หากท่านปรารถนาเช่นนั้น ดังนี้โปรดอยู่กับเราเถอะ”
พระเยซูตอบเขา “คืนนี้ หมาจิ้งจอกยังมีโพรงของมัน นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์กลับไม่มีที่ซุกหัวนอน ฉันต้องออกไปตามลำพังจริง ๆ แต่หากพวกเธอต้องการฉัน พวกเธอก็จะพบฉันอีก ฉันจะไปรอพวกเธออยู่ที่ทะเลสาบ”
พวกเราเดินจากเขามาด้วยใจทุกข์หนัก เพราะไม่เป็นความต้องการของเราเลยที่จะต้องละจากเขามา
หลายต่อหลายครั้ง พวกเราหยุดเดิน หันไปมองเขา เห็นร่างของเขาดุ่มเดินอยู่โดดเดี่ยว ดูสง่าผ่าเผย เคลื่อนไปทางทิศตะ-วันตก
ในพวกเรามีอยู่คนเดียวที่ไม่ได้หันไปมองความเดียวดายของเขา คือยูดาส อิสคาริโอท
ตั้งแต่นั้นมายูดาสได้กลายเป็นคนบูดบึ้งตึงและดูห่างไกลเกินกว่าเราจะเข้าใจ ข้าคิดว่า ในดวงตาของเขานั้นแฝงไว้ด้วยความน่ากลัวที่ไม่อาจคาดคิด
เจมส์ บุตรเศเบดี
เจฟาธาแห่งเซซีเลีย
อันนา มารดาของมารี
- เจฟาธาแห่งเซซีเลีย
- มานัสเสห์ หมอความแห่งเยรูซาเลม
- นางฮันนาห์แห่งเบธไซดา
- โจนาธาน
- ซัคเคียส
- โจเธม ชาวนาซาเร็ธ กับเพื่อนชาวโรมัน
- ฟูมิยาห์ หัวหน้าภิกษุณีแห่งไซดอน กับเพื่อนภิกษุณี
- บาร์คา พ่อค้าแห่งไทระ
- เอฟราอิม แห่งเยริโค
- เบนจามิน ธรรมาจารย์
- อันนา มารดาของมารี
- มารี มักดาเลน
- จอจิอุสแห่งเบรุต
- ยอห์น บุตรเศเบดี
- เอลมาดาม นักตรรกวิทยา
- บุรุษผู้มาจากทะเลทราย
- โยแซฟชาวบ้านอาริมาเทีย ในอีกสิบปีต่อมา
- บุรุษแห่งเลบานอน ในอีกสิบเก้าศตวรรษต่อมา
- นิโคเดมัส ผู้เป็นกวี และมีอายุน้อยที่สุดในหมู่สภาสงฆ์
- อูรียาห์ พ่อแก่แห่งนาซาเร็ธ
- นักปราชญ์ท่านหนึ่ง
- มาลาคีแห่งบาบิโลน คนดูดาว
- ยูดาส ญาติของพระเยซู
- แม่ม่ายในกาลิลี
- เลวี ลูกศิษย์คนหนึ่ง
- รูมานุส กวีชาวกรีก
- หนึ่งในบรรดาหญิงชื่อ มารี
- โทมัส
- นาอามานแห่งเกซารา สหายของสเตเฟน
- เคลโอปัส แห่งเบธรูนี
- ราเชล ศิษย์หญิงนางหนึ่ง
- ซาโลเม กับเพื่อนหญิงของนาง
- ซาบา แห่งอันติโอก
- นาธานาเอล
- โยเซฟ ชาวบ้านอาริมาเทีย
- ยอห์น บัปติสตา กับศิษย์คนหนึ่ง
- คนเลี้ยงแกะ แห่งพื้นราบตอนใต้ของเลบานอน
- มารี มักดาเลน
- เจมส์ บุตรเศเบดี
- เลวีผู้ร่ำรวย เพื่อนบ้านที่นาซาเร็ธ
- พระหนุ่ม แห่งคาเปอร์นาอุม
- คายาฟาส มหาปุโรหิต
- มัธทิว
- ลูกา
- ดาวิด หนึ่งในผู้ติดตามของเขา
- ปราชญ์เปอร์เซีย แห่งดามัสกัส
- ราฟกา เจ้าสาวแห่งเมืองคานา
- โยฮันนา ภรรยาของคนเก็บภาษีในสังกัดเฮโรด
- ฟิเลโมน หมอยาชาวกรีก
- ซีมอน ที่เรียกกันว่าเปโตร
- แอสเสฟห์ (ที่เรียกกันว่า นักพูดแห่งไทระ)